|
02 มีนาคม 2555
4 มีนาคม ระลึกถึงนักบุญ กาสิมีร์
กำยานในพิธีมิสซา
ประวัติความเป็นมา การใช้กำยานในพิธีทางศาสนามีมาก่อนศาสนาคริสต์ เช่น ในอียิปต์ใช้กำยานเผาเพื่อเป็น การให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ หรือเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นการถวายบูชา แด่เทพเจ้า และเป็นเครื่องหมายแสดงความยินดี และแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศแห่งความ ศักดิ์สิทธิ์ ชาวอิสราเอลใช้กำยานเผาบูชารอบ “หีบพันธสัญญา” และต่อมาใช้ในพระวิหารที่กรุง เยรูซาเล็ม มีบัญญัติของพระเจ้าต่อโมเสสว่า ชาวอิสราเอลจะต้องมีพระแท่นเผากำยาน ซึ่งจะเผากำยานหอมทุกเช้าและทุกเย็น เป็นเครื่องหมายแห่งการสดุดีพระเจ้า วางไว้บนพระแท่นนั้น (เทียบ อพย 30:1-10) ใน ลก 1:8-9 ได้กล่าวถึงเศคาริยาห์ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่สมณะ ตามเวรในหมวดของตน ตามธรรมเนียมของสมณะ และท่านจับสลากได้หน้าที่เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าเพื่อถวายกำยาน นอก จากนั้น มธ 2:1-11 ได้กล่าวถึงโหราจารย์จากทิศตะวันออกนำทองคำ กำยาน และมดยอบมาถวายแด่พระกุมารเยซู ในยุคแรกของคริสตชนในพระศาสนจักรตะวันตกยังไม่มีการนำกำยานมาใช้ในพิธีกรรม เนื่อง จากในสมัยนั้นคนต่างศาสนาในกรุงโรมใช้กำยานเพื่อถวายคารวะบรรดาเทพเจ้าและจักรพรรดิ โดย เฉพาะอย่างยิ่งก่อนศตวรรษที่ 4 ที่การถวายกำยานแก่เทพเจ้าหรือจักรพรรดิเป็นเครื่องหมายถึงการ ละทิ้งศาสนาของคริสตชน ในสมัยจักรพรรดิคอนสตันตินในศตวรรษที่ 4 เมื่อคริสตศาสนาเป็นที่ยอมรับในอาณาจักรโรมัน และไม่มีการบังคับให้คริสตชนถวายกำยานแก่เทพเจ้าหรือจักรพรรดิอีกต่อไป พระศาสนจักรตะวันตกจึงเริ่มใช้กำยานในพิธีกรรม ส่วนพิธี กรรมของพระศาสนจักรตะวันออกในสมัยเดียวกัน เช่นที่กรุงเยรูซาเล็มก็มีการใช้กำยานด้วย (จากบันทึกการแสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ของ Egeria 24:10) ความหมายของกำยาน กฎทั่วไปสำหรับมิสซาตามจารีตโรมัน ข้อ 276 ได้ให้ความหมายของการถวายกำยานว่า เป็นการ แสดงความเคารพและหมายถึงคำภาวนา ดังที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ “ขอให้คำภาวนาของข้าพเจ้าเป็นดั่งกำยานเฉพาะพระพักตร์พระองค์” (สดด 140:2) “ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือถาดทองคำสำหรับเผากำยานถวายมายืนอยู่หน้าพระแท่นบูชา ทูตสวรรค์ องค์นี้ได้รับกำยานมา เพื่อถวายร่วมกับคำอธิษฐานภาวนาของผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนพระแท่นทองคำ ซึ่งอยู่หน้าพระบัลลังก์ ควันของกำยานจากมือของทูตสวรรค์พร้อมกับคำอธิษฐานภาวนาของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ลอยขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า” (วว 8:3-4) นอกจากนั้นกลิ่นหอมของกำยานที่เผา ยังสร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ความสง่างามและบรรยากาศแห่งการฉลองในพิธีกรรม การใช้กำยานในพิธีมิสซา กฎทั่วไปสำหรับมิสซาตามจารีตโรมัน ข้อ 276 กล่าวว่า “อาจใช้กำยานได้ตามความสมัครใจในการถวายบูชามิสซาแบบใด ๆ ก็ได้” 1.ขณะที่ถือหม้อไฟใสกำยานเดินเป็นขบวนแห่เข้ามาในวัดและเมื่อเริ่มมิสซา ถวายกำยานแก่ไม้กางเขนและพระแท่นบูชา ให้ความห มายถึงการเคารพต่อสถานที่ ต่อบุคคล และต่อพระแท่นเอง นอกจากนั้นยังให้ความหมายถึงบรรยากาศของการฉลองและความศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เริ่มพิธีกรรม 2.การถวายกำยานแด่พระวรสาร เริ่มนำมาใช้ในพิธีกรรมตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เป็นเครื่องหมายถึงการถวายเกียรติ และคารวะต่อพระ คริสตเจ้าที่เรากำลังตั้งใจฟังพระดำรัสของพระองค์ 3.การถวายกำยานแก่เครื่องบูชา ได้แก่ แผ่นปังและถ้วยกาลิกษ์ที่วางไว้บนพระแท่น มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เป็นเครื่องหมายว่า “การถวายบูชาและคำภาวนาของพระศาสนจักรขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” ต่อจากนั้นพระสงฆ์ซึ่งมีหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์และสัตบุรุษซึ่งมีศักดิ์ศรี เพราะได้รับศีลล้างบาป อาจรับการถวายกำยานจากสังฆานุกรหรือผู้ช่วยพิธีกรรม (กฎทั่วไปสำหรับมิสซาตามจารีตโรมัน ข้อ 75) นอกจากนี้ก ารถวายกำยานต่อพระสงฆ์และสัตบุรุษยังเป็นเครื่องหมายว่า ตัวบุคคลอันประกอบด้วยพระสงฆ์และสัตบุรุษรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “ของถวาย” บนพระแท่น คือ องค์พระคริสตเจ้า มอบถวายแด่พระบิดาเจ้า 4.การถวายกำยานแด่ศีลมหาสนิทขณะพระสงฆ์ชูแผ่นศีลและถ้วยกาลิกษ์ในภาคเสกศีล หมายถึงการถวายคารวะแด่องค์พระคริตเจ้าผู้ ประทับอยู่ในศีลมหาสนิท การปฏิบัตินี้มีมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 13 |
คริสตชนควรทำมากกว่าพูด
“พันธกิจงานแพร่ธรรมเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป และเพื่อสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยอย่างจริงจังทั้งในบุคคลและระดับชุมชน เราอาจดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนพี่น้องได้ เมื่อเราได้สัมผัสถึงความรักของพระเป็นเจ้า”
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน4
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน
ตอนจบ
“ถ้าพระเป็นเจ้ารักพระองค์ ก็ให้พระเป็นเจ้าปลดปล่อยพระองค์เดี๋ยวนี้”
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
ตอนจบ
“ถ้าพระเป็นเจ้ารักพระองค์ ก็ให้พระเป็นเจ้าปลดปล่อยพระองค์เดี๋ยวนี้”
ชาวยิวยังไม่สะใจที่ได้ทำร้ายพระเยซูและสบประมาทพระองค์เหลือคณนา เขาเยาะเย้ยพระองค์โดยเอ่ยพระนามของพระบิดาของพระองค์ “พระองค์เชื่อในพระเป็นเจ้า ก็ให้พระเป็นเจ้าปลดปล่อยพระองค์ถ้าพระองค์มีพระเป็นเจ้า เพราะพระองค์ตรัสว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า’” ประกาศกดาวิดได้พรรณนาถึงคำสบประมาทนี้ล่วงหน้าเมื่อเขาพูดแทนพระคริสต์ว่า “ทุกคนที่เห็นข้าพเจ้าเย้ยหยันข้าพเจ้า เขาพูดจากริมฝีปาก ส่ายหัวไปมาว่า ‘พระองค์เชื่อในพระเป็นเจ้า ก็ให้พระเป็นเจ้าปลดปล่อยพระองค์ ช่วยพระองค์ให้รอดปลอดภัย เพราะพระองค์เป็นบุตรสุดที่รักของพระเป็นเจ้า’”ในบทสรรเสริญ ดาวิดเรียกคนที่กล่าวคำผรุสวาทว่า วัว สุนัข และสิงห์โต “วัวอ้วนตีวงล้อมข้าพเจ้า สุนัขหลายตัวล้อมกรอบข้าพเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าพ้นจากปากสิงห์โต” ฉะนั้น เมื่อชาวยิวดูถูกว่า“ให้พระเป็นเจ้าปลดปล่อยพระองค์เดี๋ยวนี้ถ้าพระองค์มีพระเป็นเจ้า” เขาแสดงตัวเป็นเหมือน วัว สุนัข และสิงห์โตตามคำทำนายของดาวิด
นักปราชญ์คนหนึ่งก็ได้ทำนายอย่างละเอียดว่า คนจะสบประมาทพระมหาไถ่ องค์พระเจ้า “พระองค์ประกาศว่าพระองค์รู้จักพระเป็นเจ้า และเรียกพระองค์เองว่าบุตรพระเจ้า พระองค์ทรงพระสิริโรจนาว่า พระองค์มีพระเจ้าเป็นพระบิดา ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้าจริง ก็ให้พระเป็นเจ้าช่วยปลดปล่อยพระองค์จากเอื้อมมือของศัตรู ให้เราทดสอบพระองค์ด้วยคำสบประมาทและการทรมาน เพื่อเราจะได้เห็นพระฤทธานุภาพของพระองค์ และพิสูจน์ความอดทนของพระองค์ ให้เราลงโทษประหารชีวิตพระองค์ด้วยความตายอันน่าละอายขายหน้าอย่างที่สุด”
เนื่องจากความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังต่อพระเยซูคริสตเจ้า พระสงฆ์ชั้นหัวหน้าสบประมาทพระองค์ ในเวลาเดียวกัน เขาก็เกิดความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจ เพราะเขาได้เห็นกับตามหัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทำ ฉะนั้น พระสงฆ์ทั้งหมดและหัวหน้าโรงธรรมจึงมีจิตใจไม่สงบ ยุ่งเหยิง เสียขวัญ ดังนั้นเขาต้องการอยู่ดูความตายของพระองค์ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความกลัวที่ทรมานจิตใจของเขา เมื่อเห็นพระองค์ถูกตรึงกับไม้กางเขนและพระบิดาไม่ได้เสด็จมาช่วยพระองค์ เขาแสดงความกล้าบ้าบิ่น ด่าว่า เหน็บแนม หาว่าพระองค์ไม่มีอิทธิฤทธิ์ ไม่สมกับที่ตรัสว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า เขาพูดว่า “พระองค์เชื่อว่า พระเป็นเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์ แล้วทำไมพระเป็นเจ้าไม่มาช่วยปลดปล่อยพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระองค์” พวกคนชั่วได้ทำผิดอย่างมหันต์ พระเป็นเจ้าทรงรักพระเยซูคริสตเจ้าจริงๆ และรักพระองค์ในฐานะบุตรพระเจ้า พระเป็นเจ้ารักพระเยซูเพราะในการนบนอบพระบิดาพระองค์พลีพระชนม์ชีพบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งมวล พระเยซูตรัสว่า “ข้าพเจ้าพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะของข้าพเจ้า ฉะนั้น พระบิดาทรงรักข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมเสียสละชีวิตของข้าพเจ้า”พระบิดามีพระประสงค์ให้พระบุตรเป็นเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่ เครื่องบูชานี้จะนำมาให้พระองค์พระสิริโรจนาหาที่สุดมิได้ และความรอดของมนุษยชาติ ถ้าพระบิดาปลดปล่อยพระองค์จากความตาย เครื่องบูชาก็จะไม่ครบบริบรูณ์ พระบิดาก็จะไม่ได้รับพระสิริโรจนาอย่างสมพระเกียรติ และมนุษย์ก็จะไม่ได้รับความรอด
เทอร์ทูลเลียนเขียนว่า คำสบประมาททั้งหมดที่คนชั่วถวายแด่พระเยซูคริสตเจ้าเป็นยาวิเศษบำบัดโรคความเย่อหยิ่งทะนงของเรา ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเหล่านี้ไม่ยุติธรรมและไม่เหมาะสมสำหรับพระองค์ แต่จำเป็นสำหรับความรอดของเรา เพราะพระเป็นเจ้าบังเกิดเป็นมนุษย์เลือกพระมหาทรมานเพื่อช่วยเราพ้นจากความหายนะชั่วนิรันดร เขายังกล่าวถึงการสบประมาทของพระเยซูว่า “พระองค์ไม่สมควรได้รับการสบประมาท แต่เพื่อกอบกู้เรา การสบประมาทเป็นสิ่งจำเป็น สิ่งเดียวที่เป็นความปรารถนาของพระเป็นเจ้า คือ การไถ่บาปมนุษยชาติ”
โอ้ พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้ายินดียอมรับการสบประมาทหลายครั้งหลายคราวข้าพเจ้าสมควรให้ปิศาจเหยียบย่ำข้าพเจ้าในนรก
โดยบุญกุศลแห่งการสบประมาทในพระมหาทรมานของพระองค์
โปรดประทานพระหรรษทานให้ข้าพเจ้ามีความอดทนต่อคำสบประมาทที่ข้าพเจ้าจะได้รับ
เพื่อความรักต่อพระองค์ ๆ ได้ยอมรับการสบประมาทเหลือล้นเพื่อความรักต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใดและยอมทนทุกข์เพื่อพระองค์ ๆ ได้ทนทุกข์เหลือล้นเพื่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าหวังรับพระหรรษทานทุกชนิดจากพระองค์
ผู้ได้ซื้อข้าพเจ้าด้วยพระโลหิตของพระองค์
โอ้ พระมารดามารีอา ช่วยวิงวอนเพื่อลูกเทอญ
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน3
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน
ตอนสาม
“พระองค์ช่วยคนอื่นได้ แต่ช่วยพระองค์เองไม่ได้”
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
ตอนสาม
“พระองค์ช่วยคนอื่นได้ แต่ช่วยพระองค์เองไม่ได้”
นักบุญแมทธิวเล่าการสบประมาทอย่างอื่น ที่ชาวยิวถวายแด่พระเยซูคริสตเจ้า “พระองค์ช่วยคนอื่นได้ แต่ช่วยพระองค์เองไม่ได้”
ด้วยเหตุนี้ เขาปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนนักหลอกลวงมนุษย์ โดยอ้างถึงมหัศจรรย์ที่พระองค์ทำให้คนตายกลับเป็นขึ้นมา เขาปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนคนที่ไม่สามารถช่วยชีวิตตัวเอง
นักบุญเลโอ โต้ตอบว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่พระเยซูจะแสดงพระฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์จะไม่อนุญาตอะไรมาขัดขวางการไถ่บาปมนุษยชาติของพระองค์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำสบประมาทของเขา
นักบุญเกรกกอรี่ ให้เหตุผลทำไมพระเยซูไม่ยอมลงจากไม้กางเขน “ถ้าพระองค์ลงจากไม้กางเขน เราก็จะไม่ได้เห็นฤทธิ์กุศลแห่งความอดทนของพระองค์” ถ้าพระองค์ลงจากไม้กางเขนจริง ๆ เพื่อพ้นจากคำสบประมาท เราก็จะไม่ได้เรียนความอดทนในการทำงานของเราให้เป็นที่สบพระทัยพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูจะไม่ช่วยพระองค์เองพ้นจากความตายจนกว่าพระองค์ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา และเราเลียนแบบความอดทนของพระองค์
นักบุญออกัสติน พูดว่า “เนื่องจากพระองค์ปรารถนาสอนความอดทน พระองค์ก็ต้องยับยั้งพระฤทธานุภาพของพระองค์”
พระเยซูคริสตเจ้าได้ฝึกฝนความอดทนต่อความอัปยศอดสูจากคำสบประมาททั้งหมดที่ชาวยิวถวายแด่พระองค์ เพื่อเราจะได้รับพระหรรษทานในการต่อสู้กับการสบประมาทและการเบียดเบียนในโลก ด้วยความอดทนและสันติสุขแห่งจิตใจ ฉะนั้น นักบุญเปาโลชักชวนเราติดตามพระเยซูเมื่อพระองค์แบกไม้กางเขนจนถึงเขากัลวาริโอ “เพราะฉะนั้น ให้เรา โดยไม่มีกระโจม ไปพบและช่วยพระองค์แบกคำสบประมาทต่าง ๆ”
เมื่อนักบุญถูกทำร้ายร่างกาย เขาไม่เคยคิดล้างแค้นเพื่อตัวเอง ไม่อนาทรร้อนใจ เขากลับได้รับความบรรเทาใจที่เห็นตัวเองถูกสบประมาทเหมือนพระเยซู ฉะนั้น จงอย่ากลัวที่จะยอมรับการสบประมาทเพื่อแสดงความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ถูกสบประมาทเหลือล้นเพราะพระองค์ทรงรักเรา
โอ้ พระมหาไถ่ของข้าพเจ้า เวลาผ่านไปโดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้ ต่อจากนี้ไป ข้าพเจ้าปรารถนายอมอดทนต่อทุกสิ่ง เพราะข้าพเจ้ารักพระองค์ โปรดประทานความเข้มแข็งแก่ข้าพเจ้า เพื่อความปรารถนานี้ของข้าพเจ้าจะได้บรรลุผล
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน2
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน
ตอนสอง
“ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ลงจากไม้กางเขนซิ”
ตอนสอง
“ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ลงจากไม้กางเขนซิ”
ขณะพระองค์เข้าตรีทูตบนไม้กางเขนและใกล้จะสิ้นพระชนม์ พระสงฆ์, ศาสนาจารย์, ผู้เฒ่า, และทหารยืนอยู่ใกล้ ๆ สบประมาทเยาะเย้ยพระองค์จนเหนื่อยหมดแรง นักบุญมัทธิว เขียนว่า คนที่เดินผ่านหมิ่นประมาทพระองค์ หันศีรษะไปมา ประกาศกดาวิดทำนายพระคริสต์ล่วงหน้าว่า “ทุกคนที่เห็นข้าพเจ้า ด่าข้าพเจ้า เขาพูดด้วยริมฝีปากและส่ายหัว”
คนที่เดินผ่านพูดว่า “พระองค์สามารถทำลายพระวิหารและสร้างใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเอง ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ลงจากไม้กางเขนซิ” เขาพูดว่า พระองค์คุยโอ้อวดว่าพระองค์จะทำลายพระวิหารและสร้างใหม่ในสามวัน แน่นอน พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า พระองค์จะทำลายพระวิหารที่สัมผัสได้และสร้างใหม่ในสามวัน แต่ตรัสว่า “ทำลายพระวิหารนี้และในสามวันข้าพเจ้าจะยกมันขึ้นมาใหม่” โดยพระวาจานี้ พระองค์ตั้งใจเผยแสดงพระฤทธานุภาพของพระองค์ ตามคำอธิบายของ ยูไทมิอุส และหลายท่าน พระองค์ตรัสเป็นเชิงเปรียบเทียบ บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า โดยการกระทำของชาวยิว วันหนึ่งพระวิญญาณจะแยกออกจากพระกายของพระองค์ แต่ในวันที่สามพระองค์จะกลับเป็นขึ้นมา
คนที่พูดว่า “ช่วยตัวเอง” เป็นมนุษย์อกตัญญู ถ้าบุตรพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพ ในเวลาบังเกิดเป็นมนุษย์ เลือกการช่วยตัวเอง พระองค์ก็คงจะไม่เลือกความตาย
“ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ลงจากไม้กางเขนซิ” แน่นอน ถ้าพระเยซูลงจากไม้กางเขน งานไถ่บาปมนุษย์ของพระองค์ด้วยการสิ้นพระชนม์ก็ประสบความล้มเหลว เราจะไม่ได้รับการปลดปล่อยจากความตายชั่วนิรันดร นักบุญอัมโบรส พูดว่า “ถ้าพระองค์ลงมาจริง ๆ ข้าพเจ้าก็ตาย” ธีโอฟีแลคท์ เขียนว่า “คนที่พูดประโยคนี้ได้รับการยุยงส่งเสริมจากปิศาจ มันพยายามขัดขวางการไถ่บาปของพระเยซูคริสตเจ้าบนไม้กางเขน ซึ่งกำลังจะสัมฤทธิ์ผล” เขายังเขียนด้วยว่า พระเป็นเจ้าจะไม่ลงจากไม้กางเขนเด็ดขาดจนกว่าการไถ่บาปมนุษย์ทั้งมวลของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว นักบุญจอห์นคริสโสสโทม กล่าวว่า ชาวยิวพูดคำสบประมาทนี้เพราะพระเยซูสมควรตายถูกเยาะเย้ยเป็นนักหลอกลวงมนุษย์ และเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่สามารถช่วยตัวเองลงจากไม้กางเขนหลังจากพระองค์คุยโอ้อวดว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า
นักบุญจอห์นคริสโสสโทม กล่าวด้วยว่า ชาวยิวพูดอย่างไม่ประสีประสาว่า “ถ้าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ลงจากไม้กางเขนซิ” ถ้าพระเยซูลงจากไม้กางเขนก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ไม่ใช่บุตรพระเจ้า องค์พระสัญญาของพระเป็นเจ้า ผู้กอบกู้เราด้วยความตายของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์ไม่ยอมลงจากไม้กางเขนจนกว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อพลีชีวิตของพระองค์ในการไถ่บาปมนุษย์ นักบุญอะธานาซิอุส พูดอย่างเดียวกันว่า พระมหาไถ่ของเราต้องการให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่าพระองค์ คือ บุตรพระเจ้า โดยไม่ลงจากไม้กางเขน แต่ทรงอดทนต่อไปจนกระทั่งพระองค์หมดลมหายใจ ฉะนั้นประกาศกทำนายล่วงหน้าว่า พระมหาไถ่ของเราต้องถูกตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ นักบุญเปาโล เขียนว่า “พระคริสต์ได้ไถ่บาปเราจากคำสาปแช่งของกฎ พระองค์กลายเป็นคำสาปแช่งสำหรับเรา มีบันทึกไว้ว่า ทุกคนที่แขวนอยู่บนต้นไม้ถูกสาปแช่ง”
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน1
พระเยซูถูกสบประมาทขณะพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขน
ตอนแรก
พระมหาทรมานของพระเยซูบนไม้กางเขน
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
พระมหาทรมานของพระเยซูบนไม้กางเขน
ความเย่อหยิ่งจองหอง คือ ต้นเหตุของบาปอาดำ และความหายนะของมนุษยชาติ ฉะนั้น พระเยซูเสด็จมาชดเชยความหายนะนี้ด้วยความสุภาพถ่อมตนของพระองค์ ไม่ปฏิเสธการสบประมาทที่ศัตรูถวายแด่พระองค์ตามคำทำนายของประกาศกดาวิด “เพื่อเห็นแก่พระองค์ ข้าพเจ้ายอมอดทนต่อคำตำหนิติเตียน ความสับสนอลหม่านปกคลุมใบหน้าข้าพเจ้า” ชีวิตพระมหาไถ่ของเราเต็มไปด้วยความละอายขายหน้าและการสบประมาทที่พระองค์ได้รับจากมนุษย์ พระองค์ไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ถึงแม้พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ก็ตาม เพื่อปลดปล่อยเราออกจากความละอายขายหน้าชั่วนิรันดร“ความยินดีอยู่ข้างหน้า พระองค์ทรงอดทนต่อมหาทรมานของไม้กางเขน และความอัปยศอดสู”
พระเจ้าข้า ใครจะไม่เศร้าโศกเสียใจด้วยความสงสารและความรัก เมื่อรำพึงว่า พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเป็นเวลา 3 ชั่วโมงบนไม้กางเขน? ทุกส่วนบนพระกายของพระองค์ชอกช้ำเจ็บปวดทรมานโดยไม่มีความบรรเทาเลย บนเตียงมหาทรมานพระเป็นเจ้าผู้บาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่ได้ เนื้อหนังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ปกคลุมด้วยบาดแผล โดยเฉพาะ พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์เจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดต้องพยุงพระกายของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ บนไม้กางเขนพระองค์จะบิดพระกายไปทางไหน ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มขึ้นทางนั้น เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า ในเวลา 3 ชั่วโมงที่พระองค์เข้าตรีทูตบนไม้กางเขน พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสในความตายหลาย ๆ ครั้งขณะที่เวลาผ่านไปแต่ละวินาที โอ้ ลูกแกะ บริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากมลทิน พระองค์เจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเพื่อข้าพเจ้า! ลูกแกะพระเจ้า ผู้ยกบาปของโลก ทรงเมตตาข้าพเจ้าเทอญ!
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดภายนอกร่างกายขมขื่นน้อยกว่า ความเจ็บปวดภายในวิญญาณขมขื่นกว่าหลายเท่า พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้รับความบรรเทาหรือการลดความรุนแรง แต่เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียระโหยโรยแรง มหาทุกข์ และความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส พระองค์จึงตรัสว่า; “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า?” พระมหาไถ่ ผู้สมควรได้รับความรักจากเรา จมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ภายในและภายนอก คิดว่าเหมาะสมแล้ว พระองค์จบชีวิต ตามคำพูดของดาวิด “ข้าพเจ้าตกลงไปถึงก้นทะเล พายุพัดข้าพเจ้าจมลงไป”
นำเสนอโดย... สิริโรจนา
พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับผู้มีความศรัทธาต่อการเดินรูป 14 ภาค
พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับผู้มีความศรัทธาต่อการเดินรูป 14 ภาค
1. เราจะประทานทุกสิ่งที่ผู้เดินรูปสวดขอด้วยความเชี่อ
2. เราจะประทานชีวิตนิรันดรแก่ผู้เดินรูปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
3. เราจะติดตามผู้เดินรูปไปทุกหนทุกแห่งในชีวิต และจะช่วยเขาโดยเฉพาะในเวลาเข้าตรีทูต
4. ถึงแม้ผู้เดินรูปได้ทำบาปมากกว่าใบหญ้าในทุ่งนาหรือเม็ดทรายในทะเล การเดินรูปจะลบล้างบาปของเขาทั้งหมด (อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องสารภาพบาปหนักทุกข้อในที่แก้บาปก่อนรับศีลมหาสนิท)
5. ผู้ที่ชอบเดินรูปบ่อยๆจะได้รับสิริมงคลพิเศษในสวรรค์
6. เราจะปลดปล่อยผู้เดินรูปออกจากไฟชำระในวันอังคารแรกหรือวันศุกร์แรกหลังจากเขาสิ้นชีวิตแล้ว
7. เราจะอวยพระพรผู้เดินรูปทุกสถาน พระพรของเราจะติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินนี้ และหลังจากสิ้นใจแล้ว ไปในสวรรค์ตลอดกาล
8. เราจะทำลายอำนาจทั้งหมดของปิศาจ และไม่อนุญาตมันล่อลวงผู้เดินรูปขณะเข้าตรีทูต เขาจะได้หมดลมหายใจอย่างสงบในอ้อมแขนของเรา
9. ถ้าผู้เดินรูปสวดด้วยความรักอย่างแท้จริง เราจะให้เขาเป็นเหมือนพระอบศีล ซึ่งเราจะใช้สำหรับแจกจ่ายพระหรรษทานของเรา
10. ผู้ที่เดินรูปเป็นประจำจะได้รับการพิทักษ์รักษาและการคุ้มครองจากเราเป็นพิเศษ
11. เราจะอยู่ใกล้ชิดสนิทกับผู้เดินรูปอย่างสม่ำเสมอเป็นเกียรติแก่เรา
12. ผู้เดินรูปจะไม่มีวันพลัดพรากจากเรา เราจะประทานพระหรรษทานแก่เขา เขาจะได้ไม่ทำบาปหนัก
13. เราจะมาบรรเทาใจ ขณะเข้าตรีทูต ผู้ที่เดินรูปเป็นเกียรติแก่เราตลอดชีวิตและจะพาเขาเข้าสวรรค์ ความตายของเขาจะไม่ขมขื่น แต่จะหวานชื่น
14. วิญญาณของเราจะเป็นโล่คอยคุ้มกันผู้เดินรูป และจะช่วยเขาในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)