15 มิถุนายน 2555

คาทอลิกกับความเชื่อเรื่องวิญญาณ

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 ระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์



ฉลองดวงหทัยของพระนางมารีย์ 

ปฏิทินพิธีกรรมฉบับใหม่ได้ใส่วันฉลองดวงหทัยของพระนางมารีย์ทันทีในวันถัดไป ( วันเสาร์ ) หลังวันฉลองดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า  ทั้งนี้เป็นการกลับไปหาความศรัทธาภักดีของวันฉลองอย่างเดิมนักบุญ ยอห์น เอวแดส ในศตวรรษที่ 17 ได้เขียนไว้ว่าไม่ควรแยกหัวใจทั้งสองดวงนี้ออกจากกันในโครงสร้างของพิธีกรรม

ความศรัทธาภักดีต่อดวงหทัยของพระนางมารีย์นี้ได้แพร่หลายยิ่งขึ้น เป็นต้นหลังจากการประจักษ์มาของพระนางที่ฟาติมาในปี 1942 พระสันตะปาปาปีโอ 12 ทรงถวายมนุษยชาติแด่ดวงหทัยของพระนางมารีย์ และได้ทรงกำหนดให้ฉลองดวงหทัยนี้ในวันที่ 22 สิงหาคม แปดวันหลังจากฉลองแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์  เพื่อจะวิงวอนขอสันติภาพ

“ชนทุกชาติทุกสมัยจะเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นผู้มีบุญ” ( ลก 1:48 ) พระนางพรหมจารีได้ทรงทำนายถึงตัวพระนางเองไว้ล่วงหน้าในบทเพลง “มักญีฟิกัต” ( Magnificat ) คลังสมบัติอันไม่รู้จักหมดแห่งความรักและพระหรรษทานที่มีอยู่ในดวงหฤทัยของพระเยซูเจ้าก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ในดวงหทัยของพระนางมารีย์ด้วย ตลอดระยะเวลา 9 เดือน ในครรภ์ของพระนาง หัวใจ ( = ชีวิต ) ของพระบุตรพระเป็นเจ้าที่ได้เสด็จลงมารับเอาเนื้อหนังก็ได้เต้นไปตามจังหวะพร้อมกับของพระนางมารีย์ นี่แหละที่เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่เคยขาดจากกันเลย และยิ่งได้รับการกระชับให้แน่นแฟ้นแข็งแรงยิ่งขึ้นเมื่อพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งวิญญาณและร่างกาย

ในบูชามิสซา  ผู้ที่เป็นประธานได้กล่าวทักทายกับสัตบุรุษด้วยคำกล่าวทักทายเดียวกับที่เทวทูตได้ทักทายพระนางมารีอา   โดยกล่าวว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” และเวลาที่เรารับศีลมหาสนิท หัวใจของเราก็ได้กลายเป็นเหมือนกับหัวใจของพระนางคือเช่นเดียวกับพระนางและพร้อมกับพระนาง เราได้กลายเป็นผู้ประกาศพระคริสตเจ้าให้กับบรรดาพี่น้องของเรา ดังนั้น ขอให้เราอย่าได้มีความกลัว เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางพวกเราและพร้อมๆ กับ “พระคริสตเจ้าองค์แห่งสันติภาพของเรา” เราได้กลายเป็น “ผู้สร้างสันติภาพ.... บุตรของพระเป็นเจ้า” ( อฟ. 2:14-22 ; มธ. 5:9 )

ปัญหาเรื่องสันติภาพเป็นปัญหาที่เร่งด่วนและใหม่อยู่เสมอ สันติภาพที่แท้จริงมิใช่อยู่ที่เฉพาะการไม่ทำสงครามกันเท่านั้น  แต่ที่สำคัญจะต้องอยู่ที่การมีทัศนคติ ความประพฤติ การทำงานที่ไปกันได้ระหว่างชนชั้นทางสังคม และในหมู่ประชาชนเอง การทำงานเพื่อสร้างสันติภาพต้องถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ( เทียบ GS 77-93 )

ในบูชามิสซา  ผู้ที่เป็นประธานได้กล่าวทักทายกับสัตบุรุษด้วยคำกล่าวทักทายเดียวกับที่เทวทูตได้ทักทายพระนางมารีอา  โดยกล่าวว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” และเวลาที่เรารับศีลมหาสนิท หัวใจของเราก็ได้กลายเป็นเหมือนกับหัวใจของพระนางคือเช่นเดียวกับพระนางและพร้อมกับพระนาง เราได้กลายเป็นผู้ประกาศพระคริสตเจ้าให้กับบรรดาพี่น้องของเรา ดังนั้น ขอให้เราอย่าได้มีความกลัว เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางพวกเราและพร้อมๆ กับ “พระคริสตเจ้าองค์แห่งสันติภาพของเรา” เราได้กลายเป็น “ผู้สร้างสันติภาพ.... บุตรของพระเป็นเจ้า” ( อฟ. 2:14-22 ; มธ. 5:9 )

ปัญหาเรื่องสันติภาพเป็นปัญหาที่เร่งด่วนและใหม่อยู่เสมอ สันติภาพที่แท้จริงมิใช่อยู่ที่เฉพาะการไม่ทำสงครามกันเท่านั้น  แต่ที่สำคัญจะต้องอยู่ที่การมีทัศนคติ ความประพฤติ การทำงานที่ไปกันได้ระหว่างชนชั้นทางสังคม และในหมู่ประชาชนเอง การทำงานเพื่อสร้างสันติภาพต้องถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ( เทียบ GS 77-93 )


เล่าเรื่องพระเยซู 27. พระเยซูเจ้าทรงทำพินัยกรรม



bluesilvanimcross.gif

27
พระเยซูเจ้าทรงทำพินัยกรรม

       ยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารส่งทอดเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำในช่วงอาหารค่ำครั้งสุดท้ายมาให้เราอย่างละเอียดละออ พระเยซูเจ้าทรงประสงค์จะยืดเวลาการอยู่กับศิษย์ของพระองค์ในความสนิทสนมและช่วยทำให้พวกเขามีความมั่นใจในคืนอันมืดมิดที่ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นใจ
       พระองค์ไม่ทรงมีทีท่าอาจารย์และเจ้านายกับพวกเขา แต่ทรงพูดคุยกับพวกเขาดุจเพื่อน ทรงเตือนให้พวกเขาจดจำควมจริงแห่งข่าวดีที่พระบิดาเจ้าทรงเผยให้โลกรู้ผ่านทางพระองค์
       พระองค์ทรงสร้างความมั่นใจแก่พวกเขาว่า สำหรับพวกเขาและคนที่เชื่อถึงพระองค์ผ่านทางการเป็นประจักษ์พยานของพวกเขา พระองค์จะเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต ที่จะปลดปล่อยพวกเขาและนำพวกเขาไปยังชีวิตอันเต็มเปี่ยม พระองค์ทรงพยายามทำให้พวกเขาเข้าใจความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระบิดาและต่อพวกเขา พระองค์ทรงขอให้พวกเขาเชื่อในพระองค์ ให้พวกเขาวอนขอทุกอย่างจากพระองค์และให้พวกเขามั่นใจว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ
       สิ่งที่พระองค์ทรงพูดคุยกับบรรดาศิษย์เป็นดังพินัยกรรมฝ่ายจิตสำหรับพวกเขาตลอดไป เป็นพินัยกรรมที่มากด้วยความรักและแง่มุมมองเทววิทยา ซึ่งเป็นมรดกล้ำค่าสำหรับพระศาสนจักรทุกยุคทุกสมัย
       และนี่คือสิ่งล้ำค่าที่พระองค์ทรงส่งต่อมาให้ศิษย์ของพระองค์คือ
  • ที่อยู่อย่างแน่นอนในสวรรค์
  • อำนาจที่จะทำในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ
  • พระวาจาของพระองค์เป็นดังแสงสว่างและพลังสำหรับผู้รับฟัง
  • พระจิตของพระองค์จะเสริมพลังให้พวกเขาในเวลายุ่งยากลำบากและเจ็บปวด อีกทั้งจะปกป้องพวกเขาจากศัตรู
  • สันติภาพอันแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูด
  • ความเต็มเปี่ยมแห่งความยินดีที่ไม่มีใครพรากไปจากพวกเขาได้
  • ชีวิตของพระองค์ในปังและเหล้าองุ่นที่ได้รับการเสก
       เราสามารถรวบรวมมรดกฝ่ายจิตของพระองค์ดังนี้
  • เพื่อนรัก เพื่อจะเห็นและพบพระเจ้าอย่างแน่นอน พวกท่านต้องอยู่กับเรา
  • พระเจ้า พระบิดา พระบุตรและพระจิต ทรงดำรงอยู่ในพวกท่าน
  • พระจิตจะทรงช่วยให้พวกท่านมีความทรงจำเกี่ยวกับเรา
  •  เราเป็นดังต้นองุ่น พวกท่านเป็นกิ่งก้าน พระบิดาทรงเป็นผู้ทำสวนองุ่น
  • จงรักกันและกัน
  • ถ้าโลกเกลียดชังพวกท่าน จงรู้ไว้ว่า โลกได้เกลียดชังเราก่อน
  • ความทุกข์ทรมานของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี
  • จงขอและจะได้รับ
  • เรามีชัยเหนือโลก พวกท่านกับเราจะช่วยโลกให้รอด
       ในตอนท้ายของพินัยกรรม พระเยซูเจ้าทรงภาวนาต่อพระบิดาด้วยบทภาวนาสามบท
       ภาวนาบทแรก ทรงภาวนาเพื่อพระองค์เองเพื่อจะทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จ นั่นคือการทำให้ทุกคนรู้จักพระเจ้าแท้จริง หนึ่งเดียว และสรรเสริญพระองค์
       แล้วทรงภาวนาสำหรับศิษย์ของพระองค์เพื่อขอพระบิดาได้ทรงปกป้องพวกเขา ทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ในความจริงและเป็นหนึ่งเดียวกัน
       ที่สุด ทรงสวดขอพระบิดาสำหรับพระศาสนจักร นั่นคือทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เพื่อให้ทุกคนมีเอกภาพ ให้ทุกคนอยู่ในที่ซึ่งพระองค์ทรงประทับอยู่ และขอให้ความรักของพระเจ้าอยู่ในพวกเขาเสมอไป •

       จของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว ยน14: 1-4

      โทมัสทูลว่า
       “พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร”         พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
       "เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย  บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว "
       ฟิลิปทูลว่า
       “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่า นี้ก็พอแล้ว”
        พระเยซูเจ้าตรัสว่า 
       "ฟิลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า 'โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด' ท่านไม่เชื่อหรือ ว่าเราดำรงอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงดำรงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดา ผู้สถิตในเรา ทรงกระทำกิจการของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำรงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด"เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำลังจะไปเฝ้าพระบิดา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำให้ ยน14: 5-14
      ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราและเราจะวอนขอพระบิดา แล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระจิตแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองพระองค์ไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับท่านและอยู่ในท่าน เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า เราจะกลับมาหาท่านในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตและท่านก็จะมีชีวิตด้วย ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา ท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน ผู้ที่มีบทบัญญัติของเราและปฏิบัติตาม
ผู้นั้นรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขาและเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา’
       ยูดาส มิใช่ยูดาส อิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า
      “พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทรงต้องการแสดงพระองค์แก่พวกเรา แต่ไม่แสดงพระองค์แก่โลก”         พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
       “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำนักอยู่กับเขา ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ปฏิบัติตามวาจาของเรา วาจาที่ท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่วาจาของเรา แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา
      เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟัง ขณะที่เรายังอยู่กับท่าน แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้า
ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน เรามอบสันติสุข ไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเรากับท่าน เราให้สันติสุขกับท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย
       ท่านได้ยินที่เราบอกกับท่านแล้วว่า เรากำลังจะไป และเราจะกลับมาหาท่านทั้งหลาย ถ้าท่านรักเรา ท่านคงยินดีที่เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา
       และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะเชื่อ เราจะพูดกับท่านต่อไปอีกไม่ได้นาน เพราะซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้กำลังมา มันไม่มีอำนาจอันใดเหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น… ลุกขึ้น เราจงไปกันเถิด” ยน14: 15-33

เถาองุ่นแท้

       ราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาด อยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น
       เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย
       ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ
       พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเรา พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์
       เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดี ของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ ยน15: 1-11
       นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา
       มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน ยน15: 12-17

บรรดาศิษย์และโลก

       "ถ้าโลกเกลียดชังท่านทั้งหลายก็จงรู้ไว้เถิดว่า โลกเกลียดชังเราก่อนแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายโลก โลกก็คงรักสิ่งที่เป็นของตน แต่เพราะท่านมิได้เป็นฝ่ายโลก และเราเลือกท่านออกมาจากโลก โลกจึงเกลียดชังท่าน จงจำวาจาที่เราบอกแล้วเถิดว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามวาจาของท่านทั้งหลายด้วย แต่เขาจะทำทุกอย่างเช่นนี้แก่ท่าน ก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนเขา เขาจะไม่มีบาป แต่บัดนี้ เขาไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับบาปของตน ผู้ใดเกลียดชังเรา ผู้นั้นเกลียดชังพระบิดาของเราด้วย ถ้าในหมู่พวกเขา เรามิได้กระทำกิจการที่ไม่เคยมีผู้อื่นกระทำเลย เขาจะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเห็นกิจการเหล่านี้แล้ว เขายังเกลียดชังทั้งเรา และพระบิดาของเรา ดังนี้พระวาจาที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของเขาก็เป็นความจริง ที่ว่า เขาทั้งหลายเกลียดชังเราโดยไม่มีเหตุผล
       "เมื่อพระผู้ช่วยเหลือซึ่งเราจะส่งมาจาก พระบิดา จะเสด็จมา คือพระจิตแห่งความจริง ผู้ทรงเนื่องมาจากพระบิดา พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา ท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานให้เราด้วย เพราะท่านอยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว ยน15: 18-27

       "เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะไม่แคลงใจ เขาจะขับไล่ท่านออกจากศาลาธรรม เวลานั้นกำลังมาถึง เมื่อผู้ที่ฆ่าท่านจะคิดว่าตนกำลังถวายคารวะกิจแด่พระเจ้า เขาจะทำเช่นนี้ เพราะเขาไม่รู้จักทั้งพระบิดาและเรา แต่เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะระลึกได้ว่าเราบอกท่านแล้ว ยน16: 1-4



การเสด็จมาของพระผู้ช่วยเหลือ

       "เราไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้กับท่านตั้งแต่ต้น เพราะเรายังอยู่กับท่าน แต่บัดนี้เรากำลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ไม่มีผู้ใดถามเราว่า “พระองค์จะเสด็จไปไหน” แต่เพราะเราได้บอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์กับท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงแสดงให้โลกเห็นความหมาย ของบาป ของความถูกต้อง และของการตัดสินบาปของโลกคือ เขาไม่ได้เชื่อในเรา ความถูกต้องคือ เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา และท่านจะไม่เห็นเราอีก การตัดสินคือ ซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสินลงโทษแล้ว
       "เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา ยน16: 5-15

พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมา

       "อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก"
       ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า “อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก” หมายความว่าอย่างไร และที่พระองค์ตรัสว่า “เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา” หมายความว่าอย่างไร  เขาพูดกันอีกว่า ที่พระองค์ตรัสว่า “อีกไม่นาน” นั้นหมายความว่าอย่างไร’ เราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไร 
        พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านกำลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เราบอกว่า อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก” "เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี
       หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์ เพราะถึงเวลาของนางแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็จำความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในโลก ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้ วันนั้น ท่านทั้งหลายจะไม่ถามสิ่งใดจากเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานให้กับท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ ยน16: 16-24
       "เราใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน จะถึงเวลา ที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะบอกถึงพระบิดาของเราให้ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่บอกกับท่านว่า เราจะขอพระบิดา เพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่านเพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก’
        บรรดาศิษย์ทูลว่า
        “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัดแจ้ง มิได้ใช้อุปมาใด ๆ บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” 
        พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       ”บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว ที่ท่านทั้งหลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางและจะทิ้งเราไว้คนเดียวแต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา
         เราบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว” ยน16: 25-33

คำอธิษฐานของพระเยซูเจ้า

       ระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์กับพระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระองค์จะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระบุตร ดังที่พระองค์ได้ประทานอำนาจกับพระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล เพื่อพระบุตรจะได้ประทานชีวิตนิรันดรกับทุกคนที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้ ชีวิตนิรันดรคือ การรู้จัก พระองค์ พระเจ้าแท้จริงแต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูคริสตเจ้า
       "ข้าพเจ้าทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จตามที่ทรงมอบหมายกับข้าพเจ้า
       "บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์กับข้าพเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์ที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ยน17: 1-5

       "ข้าพเจ้าได้แสดงพระนามของพระองค์ กับมนุษย์ที่พระองค์ทรงนำจากโลกมามอบให้ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขากับข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ บัดนี้ เขารู้แล้วว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นมาจากพระองค์ เพราะพระวาจาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามอบให้เขาแล้ว เขาได้รับไว้ และรู้แน่นอน ว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเขาก็เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา
       "ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาสำหรับเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำหรับโลก แต่สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นของพระองค์
       ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา
       ข้าพเจ้าไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป แต่เขายังอยู่ในโลก และข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้า ไว้ในพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า
      "เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาเขาเหล่านั้นไว้ในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ เว้นแต่ผู้ที่ต้องพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าววาจานี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้าจะมีความยินดีบริบูรณ์พร้อมกับข้าพเจ้า
       "ข้าพเจ้ามอบพระวาจาของพระองค์ให้เขาเหล่านั้นแล้ว และโลกเกลียดชังเขา
เพราะเขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย เขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก โปรดบันดาลให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดย อาศัยความจริง พระวาจาของพระองค์คือ ความจริง พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลกฉันใด ข้าพเจ้าก็ส่งเขาเข้าไปในโลกฉันนั้น ข้าพเจ้าถวายตนเป็นบูชา สำหรับเขา เพื่อเขาจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงด้วย ยน17: 6-19
       "ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำหรับคนเหล่านี้เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของเขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา
      "พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้กับเขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขา เช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าแต่พระบิดา ผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นกัน" ยน17: 20-26

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม

      พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์  ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับบรรดาศิษย์ที่นั่นบ่อย ๆ    ยน18: 1-2                
                     



 




มานาประจำวัน - หายและพบ

จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิดเพราะข้าพเจ้าได้พบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว – ลูกา 15:9


         ในลูกา 15:8-10 พระเยซูทรงเล่าเรื่องเกี่ยวกับของบางอย่างที่หายไป นั่นคือ เหรียญที่มีค่าเท่ากับค่าจ้างของหนึ่งวัน หญิงคนที่ทำเหรียญหาย วุ่นวายใจกับการหาเหรียญนั้นจนเธอต้องจุดตะเกียง กวาดบ้าน และหาอย่างละเอียดจนเจอ แล้วเธอบอกเพื่อนของเธอว่า“จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว” (ลก.15:9) พระเยซูทรงสอนบทเรียนจากเรื่องนี้ว่า “เช่นนั้นแหละ เราบอกท่านทั้งหลายว่าจะมีความปรีดีในพวกทูตของพระเจ้า เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่” (ลก.15:10)
มนุษย์เรามีคุณค่าสูงยิ่งนักสำหรับพระเจ้า คนที่ไม่รู้จักพระเจ้ากำลังหลงอยู่ในความบาป พระคริสต์ทรงจ่ายค่าไถ่ราคาสูงโดยสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยไถ่พวกเขา คุณรู้จักใครที่หลงหายไปบ้างไหม? จงทูลขอพระเจ้าให้ประทานโอกาสเล่าเรื่องข่าวประเสริฐให้พวกเขาได้ฟัง เพื่อพวกเขาจะได้สารภาพบาปและพระเจ้าผู้ทรงพระคุณจะหาเขาจนพบ – HDF
พระเยซูเสด็จมาแสวงหา
กู้วิญญาที่หลงหายในบาปผิด
ทุกคนที่มาหาองค์พระคริสต์
รับชีวิตและเปลี่ยนแปลงจากภายใน – Sper
ก่อนจะถูกหาพบ เราต้องยอมรับก่อนว่าเราหลงทาง

2friday56.gif 

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2012 บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:8-12,14-19



วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2012 
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส
อฟ 3:8-12,14-19

          ข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมอบพระหรรษทานนี้ เพื่อประกาศให้คนต่างชาติรู้ถึงความไพบูลย์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า และอธิบายให้เข้าใจถึงแผนการล้ำลึก ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้า พระผู้สร้างสรรพสิ่ง เพื่อเทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำนาจในสวรรค์ได้รู้ พระปรีชาญาณของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ ณ บัดนี้โดยทางพระศาสนจักรตามพระประสงค์นิรันดรที่ทรงกระทำให้สำเร็จไปในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดชะพระคริสตเจ้าและด้วยความเชื่อในพระองค์ เราจึงกล้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ

          ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา ผู้ทรงเป็นที่มาของครอบครัวทั้งหลาย ไม่ว่าบนสวรรค์หรือบนแผ่นดิน ขอพระองค์ประทานพละกำลังแก่ท่านเดชะพระจิตเจ้าตามความไพบูลย์แห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ให้ชีวิตภายในของท่านเข้มแข็งยิ่งขึ้น พระคริสตเจ้าจะได้ทรงพำนักในจิตใจของท่านอาศัยความเชื่อ เมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

9friday57.gif

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2012 บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ฮชย 11:1,3-4,8ค-9





วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2012 

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา 
ฮชย 11:1,3-4,8ค-9


          เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตรของเราออกมาจากอียิปต์ เราสอนเอฟราอิมให้เดิน เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าเราเอาใจใส่เขา เราใช้เชือกแห่งมนุษยธรรม และใช้สายสะพายแห่งความรักจูงเขา เราเป็นเหมือนผู้ที่ยกทารกมาจูบแก้ม และก้มลงป้อนอาหารให้เขา
ใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น เราจะไม่ลงอาญาตามที่เราโกรธจัด เราจะไม่ทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้า มิใช่มนุษย์ เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ท่าน เราจะไม่มาด้วยความโกรธ

2friday56.gif 

สมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้่า





สมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้่า 

ลำธารแห่งชีวิตอยู่ในองค์พระเยซูเจ้า

“มนุษย์ได้รับการไถ่แล้ว  บัดนี้จงคิดและพิจารณาดูว่า  พระองค์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อท่านนั้น ช่างยิ่งใหญ่และทรงเกียรติน่าสรรเสริญนี่กระไร ความมรณาของพระองค์ ได้นำบรรดาผู้ตายกลับสู่ชีวิต แต่ขณะที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจมลงในห้วงทุกข์ หินแตกกระจาย

เป็นเทวบัญชาที่ทรงอนุญาตให้ทหารคนหนึ่ง เปิดสีข้างอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ด้วยหอก การเป็นดังนี้ก็เพื่อพระศาสนจักรจะได้ก่อตั้งขึ้น จากสีข้างของพระคริสตเจ้า ขณะเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน เพื่อให้สำเร็จตามพระคัมภีร์ว่า “พวกเขาจะมองผู้ที่พวกเขาได้แทง” พระโลหิตและน้ำที่ไหลออกมาขณะนั้น เป็นค่าไถ่ความรอดของเรา ธารซึ่งไหลออกจากห้วงลึกแห่งดวงพระทัยพระเยซูเจ้า เหมือนดังจากลำธาร ประทานศีลศักดิ์สิทธิ์แก่พระศาสนจักร อำนาจที่จะโปรดชีวิตแห่งพระหรรษทาน สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสตเจ้าแล้ว ธารน้ำนี้จะกลับเป็นแหล่งน้ำทรงชีวิต พลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร 

ดังนั้นจงลุกขึ้นเถิด ผู้เป็นที่รักของพระคริสตเจ้า จงทำเช่นนกพิราบที่ทำรังอยู่ในโพรงหน้าผา  เฝ้าดูทางเข้าเหมือนนกกระจอกได้พบบ้านของมันเหมือนนกเขา จงซ่อนลูกน้อย ซึ่งเป็นผลแห่งความรักบริสุทธิ์ของเธอไว้ที่นั่น จงแนบริมฝีปากของเธอที่ลำธาร “ดื่มน้ำจากบ่อของพระผู้ไถ่ของเธอ เพราะนี่เป็นต้นธารน้ำกลางสวนสวรรค์ แบ่งเป็นสี่ลำธาร” ไหลบ่าท่วมดวงใจที่ศรัทธารดทั่วพื้นแผ่นดินและทำให้อุดมสมบูรณ์ 

บรรดาผู้ที่อุทิศตนรับใช้พระเป็นเจ้าจึงวิ่งด้วยความปรารถนาร้อนรน  ไปยังท่อธารแห่งชีวิต และแสงสว่างนี้ ท่านจะเป็นใครก็ตาม เชิญมาเถิด มาร้องหาพระองค์ ด้วยสิ้นสุดใจของท่าน “โอ ความงามอันสุดพรรณนาแห่งพระเจ้าสูงสุด และรัศมีอันบริสุทธิ์  แห่งความสว่างนิรันดร์” ชีวิตที่ประสาทชีวิตทั้งหมด ความสว่างที่เป็นท่อธารแห่งความสว่างทั้งหมด เป็นประกายเจิดจ้าของความสุกใสนิรันดร์ ซึ่งฉายส่องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าแต่ปฐมกาล โอ้ลำธารนิรันดรและไม่มีใครเข้าถึง  ธารน้ำที่ใสและบริสุทธิ์ ไหลจากแหล่งลึกลับกับตามองไม่เห็น ไม่มีใครสามารถหยั่งความลึก หรือวัดตวงเขตของพระองค์ได้ ไม่มีใครสามารถวัดความกว้างของพระองค์ ไม่มีอะไรสามารถทำให้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ แปดเปื้อนได้เลย ลำธารซึ่งมีความยินดีมาสู่นครของพระเจ้าไหลมาจากพระองค์ และทำให้เราร้องออกมาด้วยชื่นบาน ขอบพระคุณด้วยบทเพลงสรรเสริญ เพราะเราทราบจากประสบการณ์ว่า พระองค์ทรงเป็นธารน้ำแห่งชีวิต และเราได้เห็นแสงสว่าง จากความสว่างของพระองค์” (นักบุญบอนาแวนตูรา) 

พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า “ทรงบังเกิดความสงสาร (ทรงรู้สึกสมเพช)” ในพระเยซูเจ้าความรักความเอาใจใส่ของพระเจ้ากลับเป็นความรักแบบมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึกสำหรับเราทุกคน พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ และทรงแสดงออกมาเป็นความสงสารผู้ยากไร้ คนเจ็บป่วยและบุคคลที่ไม่มีความสุข ให้สังเกตว่าในความคิดของคนโบราณ โรคร้ายมีสาเหตุมาจากจิตชั่วร้ายหรือปีศาจ ดังนั้น คนป่วยจึงไม่ไปหาแพทย์ แต่จะไปหาผู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้เราภาวนาและขับไล่ปีศาจ

วิธีรักษาที่พระเยซูเจ้าและผู้ร่วมงานของพระองค์ใช้  ซึ่งมองดูว่าเป็นการขับไล่ปีศาจนั้นเป็นเครื่องหมายอันงดงาม เพื่อบอกถึงการมาถึงแห่งอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้ “อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย… ขับไล่ปีศาจ” ทั้งหมดนี้เป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งของการมีพระทัยดีของพระเจ้าและความรักที่เมตตาสงสารต่อมนุษย์ที่กำลังเจ็บไข้

ดังเราจะเห็นได้จากพระวรสารของนักบุญมัทธิวที่กล่าวถึงความมีพระทัยเมตตาสงสารของพระองค์ว่า

“เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นฝูงชน  ทรงรู้สึกสมเพชเพราะเขาเหล่านั้นถูกรังควานไร้ที่พึ่งเหมือนแกะไม่มีผู้เลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสกับพวกศิษย์ว่า “ข้าวจะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย ดังนั้นจงอ้อนวอนขอเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวเถิด”

เมื่อทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองเข้ามาแล้ว พระองค์ประทานอำนาจแก่เขาให้ขับไล่จิตโสโครกและรักษาโรคแและความเจ็บไข้ทุกอย่างได้

จงไปประกาศว่า พระอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว  จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย ปลุกคนตายให้ฟื้น จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ (มธ.9:36-38; 10:1, 8)

พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า “ทรงบังเกิดความสงสาร (ทรงรู้สึกสมเพช)” ในพระเยซูเจ้าความรักความเอาใจใส่ของพระเจ้ากลับเป็นความรักแบบมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึกสำหรับเราทุกคน พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ และทรงแสดงออกมาเป็นความสงสารผู้ยากไร้ คนเจ็บป่วยและบุคคลที่ไม่มีความสุข ให้สังเกตว่าในความคิดของคนโบราณ โรคร้ายมีสาเหตุมาจากจิตชั่วร้ายหรือปีศาจ ดังนั้น คนป่วยจึงไม่ไปหาแพทย์ แต่จะไปหาผู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้เราภาวนาและขับไล่ปีศาจ

วิธีรักษาที่พระเยซูเจ้าและผู้ร่วมงานของพระองค์ใช้  ซึ่งมองดูว่าเป็นการขับไล่ปีศาจนั้นเป็นเครื่องหมายอันงดงาม เพื่อบอกถึงการมาถึงแห่งอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้  “อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย… ขับไล่ปีศาจ” ทั้งหมดนี้เป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งของการมีพระทัยดีของพระเจ้าและความรักที่เมตตาสงสารต่อมนุษย์ที่กำลังเจ็บไข้

ดังเราจะเห็นได้จากพระวรสารของนักบุญมัทธิวที่กล่าวถึงความมีพระทัยเมตตาสงสารของพระองค์ว่า

“เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นฝูงชน  ทรงรู้สึกสมเพชเพราะเขาเหล่านั้นถูกรังควานไร้ที่พึ่งเหมือนแกะไม่มีผู้เลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสกับพวกศิษย์ว่า “ข้าวจะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย ดังนั้นจงอ้อนวอนขอเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวเถิด”

เมื่อทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองเข้ามาแล้ว พระองค์ประทานอำนาจแก่เขาให้ขับไล่จิตโสโครกและรักษาโรคแและความเจ็บไข้ทุกอย่างได้

จงไปประกาศว่า พระอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว  จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย ปลุกคนตายให้ฟื้น จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ (มธ.9:36-38; 10:1, 8)
 

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

เล่าเรื่องพระเยซู 26. เราปรารถนาจะเลี้ยงปัสกากับพวกท่าน



bluesilvanimcross.gif

26
เราปรารถนา
จะทานเลี้ยงปัสกากับพวกท่าน
 
      อีกสองวันก็จะถึงวันฉลองที่สำคัญที่สุดของชาวยิว วันฉลองตกในวันที่ 14 ของเดือนนิสซาน ในราวคริสตศักราช 30  ตรงกับวันศุกร์ที่ 7 เมษายน  เป็นวันระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์
       ขั้นตอนการฉลองมีกำหนดไว้ในหนังสืออพยพ (12,1-8) มีการฆ่าแกะไร้ตำหนิในลานด้านนอกพระวิหาร เรียกกันว่า “แกะปัสกา” แล้วนั้นมีการนำเลือดไปให้พระสงฆ์พรมลงบนท่านบูชาเพื่อการลบล้างบาปและเผาความเลวร้ายภายในให้หมดสิ้นไป แล้วนั้นก็นำเนื้อแกะไปต้มด้วยไฟและนำมากินกับขนมปังไร้เชื้อ ผักขม พร้อมกับเหล้าองุ่นสี่ถ้วย
       ในวันพฤหัสบดี พระเยซูเจ้าทรงแสดงความปรารถนาจะทานเลี้ยงปัสกากับศิษย์ของพระองค์ พระองค์ตรัสถึงการบูชาของพระองค์ที่ใกล้เข้ามาทุกที  “พวกท่านจะไม่มีเราอยู่ด้วยเสมอ...วิญญาณของเราเป็นทุกข์สาหัส...เวลานั้นมาถึงแล้ว...เราจะถูกตรึงกางเขนและจะดึงดูดทุกคนมาหาเราเมื่อเราถูกยกขึ้นจากพื้นดิน ...เราจะถูกฝัง ตายเหมือนเมล็ดข้าว เพื่อออกผลจำนวนมาก...” คำยืนยันของพระเยซูเจ้าทำให้เข้าใจว่า พระองค์ทรงเป็น “แกะปัสกา” แห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้า
       ค่ำวันก่อน ผู้หญิงคนหนึ่งชโลมพระเศียรด้วยน้ำมันหอม แต่คืนนี้ สาวกคนหนึ่งจะขายพระองค์ “แกะปัสกา” แก่บรรดาสมณะเป็นเงินสามสิบเหรียญ ในขณะที่ชาวกรีกซึ่งได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าว่าเป็น “แสงสว่างและพระผู้ช่วยโลกให้รอดพ้น” ประสงค์อยากจะพบพระองค์
       ในที่สุด วันนั้นก็มาถึง วันที่พระเยซูเจ้าจะถวายองค์เป็น “แกะปัสกา”  พระองค์จึงทรงสั่งให้เปโตรและยอห์นเตรียมอาหารค่ำอย่างสง่าไว้ 
       เมื่อถึงเวลาอาหาร บรรดาสาวกพากันล้อมรอบพระองค์ ระหว่างที่ทานอาหารและก่อนจะดื่มเหล้าองุ่นถ้วยที่สี่ พระเยซูเจ้ากระทำสามอย่างที่เป็นสัญลักษณ์เปี่ยมด้วยความหมาย นั่นคือ ทรงล้างสาวกทีละคน ทรงตั้งพิธีปัสกาใหม่ด้วยปังที่เปลี่ยนเป็นพระกายและเหล้าองุ่นที่เปลี่ยนเป็นพระโลหิต และอย่างที่สามคือทรงเจิมสาวกให้เป็นสงฆ์สำหรับพิธีกรรมใหม่นี้ 
       พระเยซูเจ้าทรงสรุปการฉลองด้วยการพยากรณ์ถึงการปฏิเสธของเปโตร การทรยศของยูดาส และประกาศบัญญัติใหม่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์และที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ นั่นคือ บัญญัติแห่งความรัก •






ผู้กลับใจ