01 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 2.ความยินดียิ่งใหญ่สำหรับทุกคน



3453.gif


2.
ความยินดียิ่งใหญ่สำหรับทุกคน

       สถานที่พระเมสิยาห์จะทรงบังเกิด มีการป่าวประกาศโดยประกาศมีเคอาประมาณเจ็ดร้อยปีแห่งคริสตกาล “และเจ้าเบธเลเฮมแห่งเอฟราตา แม้จะเล็กน้อยในท่ามกลางหัวเมืองใหญ่แห่งยูดาห์จะมีผู้หนึ่งซึ่งจะเป็นผู้ปกครองอิสราเอล…” 
       เบธเลเฮมซูงแปลว่า “บ้านแห่งขนมปัง เคยมีชื่อเสียงแล้วในฐานะที่เป็นเมืองของกษัตริย์ดาวิดเป็นบรรพบุรุษของโยเซฟ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมประมาณ สิบกิโลเมตรและห่างจากนาซาเร็ธ 160 กิโลเมตร 
       ปัจจุบันนี้ กลางเมือง ในสถานที่พระบุตรของพระเจ้าทรงรับเอากายเป็นมนุษย์ มีพระวิหารแห่งพระคริสตสมภพตั้งอยู่ 
       วันที่แห่งการบังเกิดของพระองค์ได้ถูกกำหนดไว้ในปี 750 หลังจากการก่อตั้งจักรวรรดิโรมัน 
เมื่อมีคริสต์ศาสนาเป็นสถาบัน ปีที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการนับเวลาก่อนและหลังคริสตกาล
       แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มานมัสการพระเยซูเจ้าที่เบเลเฮมจะเชื่อและยินดีสำหรับการบังเกิดมาขององค์พระผู้ไถ่กู้มนุษยชาติ
       บุคคลที่ชื่นชมยินดีคือแม่พระมารีย์และโยเซฟ เทวดาและนายชุมพาบาล นักปราชญ์จากทิศตะวันออก ซีโมนและอันนา ยอห์นบัปติสต์และบิดามารดา
       ตรงกันข้าม ชาวเมืองเยรูซาเลม หัวหน้าสงฆ์และธรรมาจารย์ ต่างตกใจและกังวลเมื่อได้ยินข่าวการบังเกิดของพระกุมารจากบรรดานักปราชญ์ที่มาจากทางตะวันออก เฮโรด กษัตริย์ผู้โหดร้ายและแปดเปื้อนด้วยเลือด ซึ่งแก่และป่วย รู้สึกว่าได้รับการคุกคามจาก “กษัตริย์น้อย” รู้สึกโกรธและสั่งให้มีการฆ่าเด็กโดยเข้าว่าจะสามารถฆ่าพระกุมารได้ ดังที่มีการบรรยายไว้ .

การประสูติของพระเยซูเจ้า 

       ครั้งนั้น พระจักรพรรดิออกัสตัส ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน  การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้ มีขึ้นเมื่อคีรินีอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย  ทุกคนต่างไปลงทะเบียนในเมืองของตน 
       โยเซฟออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปยังเมืองของกษัตริย์ดาวิดชื่อเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด  ท่านไปลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ 
       ขณะที่อยู่ที่นั่น ก็ถึงกำหนดเวลาที่พระนางมารีย์จะมีพระประสูติกาล  พระนางประสูติพระโอรสองค์แรก ทรงใช้ผ้าพันพระวรกายพระกุมารนั้น แล้วทรงวางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย (ลก 2,1-7 )



      ในบริเวณนั้นมีคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งอยู่กลางแจ้ง กำลังเฝ้าฝูงแกะในยามกลางคืน  ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ต่อหน้าเขา และพระสิริของพระเจ้าก็ส่องแสงรอบตัวเขา คนเลี้ยงแกะมีความกลัวอย่างยิ่ง  แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย เป็นข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง  วันนี้ ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด พระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า  ท่านจะรู้จักพระองค์ได้จากเครื่องหมายนี้ ท่านจะพบกุมารคนหนึ่ง มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า” 
       ทันใดนั้น ทูตสวรรค์อีกจำนวนมากปรากฏมาสมทบกับทูตสวรรค์องค์นั้น้องสรรเสริญพระเจ้าว่า
       “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุดและบนแผ่นดินสันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน
       เมื่อบรรดาทูตสวรรค์จากเขากลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นจึงพูดกันว่า “เราจงไปเมืองเบธเลเฮมกันเถิด จะได้เห็นเหตุการณ์นี้ที่พระเจ้าทรงแจ้งให้เรารู้”  เขาจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่งบรรทมอยู่ในรางหญ้า  เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร  ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง  ส่วนพระนางมารีย์ทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำนึงถึงอยู่  คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้า ในเรื่องต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้ (ลก 2,8-20)

พระเยซูเจ้าทรงเข้าสุหนัต 

       เมื่อครบกำหนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิ์ในพระครรภ์ของพระมารดา

การถวายพระกุมารในพระวิหาร


      เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทิน ตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่พระเจ้า  มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้าว่าจะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่พระเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบสองตัว ตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้า
      เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อ สิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตอยู่กับเขา  และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ของพระเจ้า  พระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้  สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า

บทเพลงของสิเมโอน 

       ข้าแต่พระเจ้าบัดนี้
       พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไป
       เป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์
       เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น
       ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ
       เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์
       และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์

สิเมโอนกล่าวทำนาย 

        โยเซฟประหลาดใจในถ้อยคำที่กล่าวถึงพระกุมาร พระนางมารีย์ก็ทรงรู้สึกเช่นเดียวกัน  สิเมโอนอวยพรท่านทั้งสองและกล่าวแก่พระนางมารีย์ พระมารดาว่า  "พระเจ้าทรงกำหนดให้กุมารนี้เป็นเหตุให้คนจำนวนมากในอิสราเอลต้องล้มลง หรือลุกขึ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้าน  เพื่อความในใจของคนจำนวนมากจะถูกเปิดเผย" ส่วนท่านดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่าน

อันนา
 ประกาศกหญิง

        ประกาศกหญิงคนหนึ่ง ชื่ออันนา เป็นบุตรหญิงของฟานูเอลจากเผ่าอาเชอร์ นางชรามากแล้ว แต่งงานตั้งแต่ยังสาว อยู่กับสามีเจ็ดปี  หลังจากนั้นก็เป็นม่าย เวลานี้อายุแปดสิบสี่ปี  ไม่ได้ออกจากพระวิหารเลย  อยู่รับใช้พระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืนโดยจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนา         นางเข้ามาในเวลานั้นพอดี  ขอบพระคุณพระเจ้าและกล่าวถึงพระกุมารให้ทุกคนที่กำลังรอคอยการไถ่กู้กรุงเยรูซาเล็มฟัง  

พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัยที่เมืองนาซาเร็ธ
 


        เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติของพระเจ้ากำหนดไว้สำเร็จทุกประการแล้ว ก็กลับไปที่นาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี (ลก 2,21-39)


โหราจารย์มาเฝ้าพระกุมาร

       ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้น 
ยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออก เดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม   สืบถามว่า 
       “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์”  
       เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย  พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า 
       “พระคริสต์จะประสูติที่ใด”  
       เขาจึงทูลตอบว่า 
       “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า
       เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์
       เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์
       เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า
       ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล  ประชากรของเรา”
 
       ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ  
       แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”  
       เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้ และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร  
เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก  
       เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบ ออกมาถวายพระองค์  
       แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น (มัทธิว 2 :1-12)

พระกุมารเสด็จหนีไปประเทศอียิปต์ ทารกผู้บริสุทธิ์ถูกประหาร 

       เมื่อบรรดาโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเข้าฝันโยเซฟ กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและพระมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และจงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกท่าน เพราะกษัตริย์เฮโรดกำลังสืบหาพระกุมารเพื่อจะประหารชีวิต” 
โยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารและพระมารดาออกเดินทางไปประเทศอียิปต์ในคืนนั้น  และอยู่ที่นั่น จนกระทั่งกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เพื่อให้พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตัรสทางประกาศกเป็นความจริงว่า
เราเรียกบุตรของเรามาจากประเทศอียิปต์
(มธ 2: 13-15
)

       เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงเห็นว่าพระองค์ถูกบรรดาโหราจารย์ หลอก ก็กริ้วยิ่งนัก        จึงทรงสั่งให้ประหารเด็กชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมาในเมืองเบธเลเฮมและบริเวณใกล้เคียง  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้โดยประกาศกเยเรมีย์ ก็เป็นความจริงว่า
       มีผู้ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์
       เป็นเสียงร้องไห้และคร่ำครวญอย่างขมขื่น
       นางราเคลร้องไห้อาลัยถึงบรรดาบุตร
       นางไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
       เพราะบุตรเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว
(มธ 2: 16-18)


พระกุมารเสด็จกลับจากประเทศอียิปต์ไปเมืองนาซาเร็ธ

       หลังจากกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเข้าฝันโยเซฟในประเทศอียิปต์  กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและพระมารดากลับไปแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่ต้องการฆ่าพระกุมารตายแล้ว”  โยเซฟจึงลุกขึ้น  พาพระกุมารและพระมารดากลับไปแผ่นดินอิสราเอล  แต่เมื่อรู้ว่าอารเคลาอัส ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในแคว้นยูเดีย สืบต่อจากกษัตริย์เฮโรดพระบิดา โยเซฟก็กลัวที่จะไปที่นั่น และเมื่อพระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝัน เขาจึงกลับไปยังแคว้นกาลิลี  ไปอาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสทางประกาศกเป็นความจริงว่า
พระองค์จะได้รับพระนามว่าชาวนาซาเร็ธ ( มธ2: 19-23)

       พระกุมารทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ทรงพระปรีชาญาณอย่างสมบูรณ์ และพระหรรษทานของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์  ( มัทธิว2: 40 )



นักบุญ อาทานาซีอุส พระสังฆราชและนักปราชญ์ ระลึกถึงวันที่ 2 พฤษภาคม


นักบุญ อาทานาซีอุส
พระสังฆราชและนักปราชญ์
ระลึกถึงวันที่ 2 พฤษภาคม
นักบุญ อาทานาซีอุส เกิดที่เมืองอเล็กซานเดรีย  ในประเทศอียิปต์ ได้เป็นอนุสงฆ์อยู่เคียงข้างกับพระสังฆราช นักบุญ อเล็กซานเดอร์  และได้ร่วมเดินทางพร้อมกับท่านเข้าประชุมสภาสังคายนาแห่งเมืองนีเชอา (ปี ค.ศ. 325)
สภาสังคายนานี้ได้ยืนยันอย่างแข็งขันอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับพระเทวภาพของพระวจนาตถ์แห่งพระเจ้า
หลังจากการเบียดเบียนพระศาสนจักรได้สิ้นสุดลง พระศาสนจักรที่เมืองอเล็กซานเดรียก็ได้มีการตื่นตัวกันมากในด้านชีวิตทางปัญญา แต่ไม่วายที่จะมีความหลงผิดออกนอกลู่นอกทางที่มีภัยใหญ่หลวงอยู่ด้วย  พระสงฆ์องค์หนึ่งนาม อารีอุส ได้สอนว่า พระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า  แต่ไม่ใช่พระบุตรที่แท้จริงของพระเจ้า พระองค์เป็นเพียงแต่สิ่งสร้างธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น  แต่ถึงกระนั้นก็มีอะไรในตัวพระองค์ที่เป็นพระเจ้าอยู่บ้าง คำสอนของคุณพ่อ อารีอุส นี้ได้มีพระสังฆราช และบรรดาเจ้านายใหญ่โตหลงเชื่อด้วยเป็นจำนวนมาก คำสอนเช่นนี้เป็นการทำลายการมีส่วนร่วม ในการเป็นพระของเรามนุษย์โดยทางพระเยซูด้วย
ในปี ค.ศ. 328 เมื่อคุณพ่อ อาทานาซีอุส ได้รับเลือกให้เป็นพระสังฆราชของเมืองอเล็กซานเดรีย  ท่านได้ทำการต่อสู้กับลัทธิเฮเรติกนี้อย่างเข้มแข็ง  ท่านได้ป้องกันคำสั่งสอนต่างๆ  ที่ได้รับสืบทอดติดต่อกันมาจากพวกอัครธรรมทูต ท่านได้ถูกพวกจักรพรรดิและพวกนิยมลัทธิของอารีอุสเบียดเบียนเคี่ยวเข็ญ และถูกเนรเทศถึง 5 ครั้งด้วยกัน  แต่ที่สุดท่านได้แลเห็นความเชื่อที่แท้จริงและได้รับชัยชนะ
เพราะคำสั่งสอนและความรักอันร้อนรนที่ท่านมีต่อพระคริสตเจ้า  ท่านจึงได้รับเกียรติยกย่องให้เป็นหนึ่งในจำนวนนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 4 ท่านของพระศาสนจักรตะวันออก
ลัทธิของ อารีอุส (Arianism) ได้แพร่ขยายเข้าไปในภาคพื้นตะวันตกของทวีปยุโรปจนถึงสมัยของพระจักรพรรดิชาร์ลส์ เลอมาญ
ในสมัยนี้พวกลัทธิเหตุผลนิยมและพวกบ้าอุดมการณ์ทั้งหลายต่าง เห็นพ้องต้องกันกับลัทธิของอารีอุสด้วย ที่ว่าในพระคริสตเจ้ามีแต่มนุษยภาพ หรือความเป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่มีพระเทวภาพ  แต่ว่าจริงๆ แล้วพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  มนุษย์ - พระ พระผู้ไถ่  ทุกอย่างในพระบุคคลของพระองค์ก็มาจากความเป็นจริงอันล้ำลึกประการนี้ ดังที่นักบุญ อาทานาซีอุส ได้ยืนยันและป้องกันอย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุด
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ
1. ขอให้บรรดาคริสตชนพร้อมใจกันประกาศว่าพระเยซูเจ้าคือ “พระบุตรของพระเจ้า”
2. ขอให้เราได้รื้อฟื้นการเจริญชีวิตพระหรรษทานของศีลล้างบาปในตัวเราอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เขามีชีวิตพระที่สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น
3. ขอให้เราได้ต่อสู้กับทุกสิ่งและกับทุคนที่ต้องการจะบิดเบือนพระเทวภาพของพระเยซูคริสตเจ้า
4. ขอให้เราได้ร่วมทนทุกข์กับพระคริสตเจ้า  เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความรอดให้กับโลก 

ข้อมูลจากเวปไซ์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ

1 พฤษภาคม 2555 พระวรสาร มธ 13:54-58 พระเยซูเจ้าเสด็จเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ


   tuesday9.gif 



1 พฤษภาคม 2555พระวรสาร มธ 13:54-58 พระเยซูเจ้าเสด็จเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ


            เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น มายังถิ่นกำเนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรมของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำนาจทำอัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาไปได้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด”
           คนเหล่านี้รู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ


94tuesday4.gif

ผู้กลับใจ