27 ธันวาคม 2556
ความเชื่อที่ขัดกับความคิดเห็นของคนทั่วไป
"พระเยซูตรัสกับเขาว่า '“เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข' " (ยอห์น 20:29)
นายปัญญาโลก
ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องปริศนาธรรมของ จอห์น บันยัน กล่าวว่า "การเห็นคือความเชื่อ" แต่ผู้มีความเชื่อยืนยันว่า
"ความเชื่อคือการเห็น"
เมื่อดูเผิน ๆ
คำสอนในพระคัมภีร์หลายแห่งคล้าย ๆ จะขัดกับหลักของเหตุและผล
พระเยซูทรงเคยเอาความจริงฝ่ายจิตวิญญาณมาสอนด้วยวิธีแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ขัดกับความเห็นของคนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น พระองค์ตรัสว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า
ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว
ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก" (ยอห์น 12:24)
เปาโลเขียนจดหมายโดยใช้วิธีเดียวกันว่า
"ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว
ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า
ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า
ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า" (กาลาเทีย 2:20)
คำสอนเรื่องความเชื่อ
มักแฝงไว้ในสิ่งที่ดูเผิน ๆ ก็ขัดกับความคิดทั่ว ๆ ไป
การอดทนพิสูจน์ให้เห็นความเชื่อของโมเสส "ประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฎแก่ตา"
"เพราะความเชื่อ
ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์
เพราะท่านมั่นใจประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา"(ฮีบรู 11:27)
แต่คนเราจะเห็นผู้ไม่ปรากฎแก่ตาได้อย่างไร
ความเชื่อจะต้องนำมาใช้ในโลกของสิ่งที่ตามองไม่เห็น ซึ่งจะพิสูจน์ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ไม่ได้
แต่เป็นโลกของสิ่งที่มีจริง สิ่งที่ตามองเห็นไม่ได้เป็นสิ่งที่มีจริง
ถ้าคนเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นได้ย่อมไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อมองเห็นได้แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ ความเชื่อเป็นข้อพิสูจน์ของสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นว่ามีจริง
และเอิ่งที่ยังมองไม่เห็นนั้นมาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เชื่อ ความเชื่อคือการแน่ใจ
โดยที่ยังไม่เห็น
ความเชื่อทำให้เราร้องเพลงได้
แม้จะติดคุกอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ในเรื่องของเปาโลและสิลาส
ทั้งสองร้องเพลงสรรเสริญแม้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ความเชื่อนี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าขณะที่อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง
เป็นการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพแม้จะติดโซ่ตรวนอยู่
"คำแสดงความคิดถึงนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า
เปาโล ขอท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า
ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด" (โคโลสี 4:18)
เปาโล นักรบเก่าผู้ประสบชัยชนะกล่าวเตือนไว้
พลังที่เรามองไม่เห็น
แต่มีอยู่จริงล้อมอยู่รอบตัวเรา เมื่อคนใช้ของเอลีชา มองเห็นกองทัพศัตรูบุกรุกเข้ามา ก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า "อนิจจา
นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี" เอลีชาผู้ผ่านศึกแห่งความเชื่อมาอย่างโชกโชน
ได้อธิษฐานว่า
"แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า
'ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น”
และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด
ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา' "
(2พงษ์กษัตริย์ 6:17)
ความเชื่อที่จำเริญขึ้น
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย
เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ
และเป็นการสมควรเพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น
และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย" (2เธสะโลนิกา 1:3)
พระเยซูทรงสั่งสาวกให้ยกบาปต่อพี่น้องที่กระทำผิดแล้วมาขอโทษ
แม้จะเป็นเช่นนี้ถึงวันละเจ็ดครั้งก็ตาม สาวกตอบอย่างงง ๆ ว่า "ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น"
"ฝ่ายอัครทูตทูลพระองค์ว่า
'ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น'
" (ลูกา 17:5)
ในกรณีนี้เขาขอความเชื่อ
เป็นการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง เพราะรู้ตัวว่าไม่สามารถทำตามสิ่งที่พระเยซูตรัสสอน
เขาจึงขอให้มีความเชื่อมากขึ้น
ด้วยเหตุว่าเขาจะทำตามคำสอนนี้ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น
การวินิจฉัยว่าขาดความเชื่อจึงเป็นเรื่องจริง แต่ไม่จริงทั้งหมด
เพราะพระเยซูตรัสตอบโดยสอนให้เขาเห็นว่า ที่จริงเขาไม่ต้องการให้เพิ่มความเชื่อ
แต่ต้องการความเชื่อที่มีชีวิตเหมือนอย่างเมล็ดผักกาดเล็ก ๆ ที่แฝงด้วยชีวิตอยู่ภายใน
"พระองค์จึงตรัสว่า
'ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง
ท่านก็จะสั่งต้นหม่อนนี้ได้ว่า 'จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล' และมันจะฟังท่าน' " (ลูกา 17:6)
ดังนั้น
เรื่องนี้จึงไม่ใช่ความเชื่อมากหรือน้อย แต่เป็นเรื่องคุณภาพของความเชื่อ จะต้องเป็นความเชื่อที่เติบโตขึ้น
เพราะที่ใดมีชีวิต ที่นั่นต้องมีการเจริญเติบโตงอกงาม
เปาโล เขียนถึงคริสเตียนที่เมืองเธสะโลนิกาว่า
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย
เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ
และเป็นการสมควรเพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น
และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย" (2เธสะโลนิกา 1:3)
พัฒนาการทางจิตวิญญาณจะก้าวหน้าและลึกล้ำได้
ย่อมขึ้นอยู่กับความเจริญเติบโตของความเชื่อ
ถ้าทุกสิ่งเป็นไปตามเงื่อนไขเหล่านี้
ความเชื่อจะเติบโตขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ
พระสัญญาของพระเจ้าเป็นอาหารเลี้ยงความเชื่อ
บรรยากาศของความเชื่อจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเข้าเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า
ถ้าที่ใดมีความสงสัย ความเชื่อจะไม่อาจเติบโตได้ ถ้ามนุษย์ไม่มีที่พึ่งอื่นใด
ก็ย่อมต้องพึ่งพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าเรายึดมันตามพระสัญญามากขึ้นเท่าไร
ความเชื่อก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
คนทั่วไปมักคิดว่า
การที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานบ่อยและรวดเร็ว เป็นการเพิ่มความเชื่อ
แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้าม ความเชื่อจะเจริญขึ้นได้
ย่อมมาจากการที่ต้องต่อสู้อดทนในความยากลำบาก เมื่อไม่มีที่พี่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า
ความเชื่อเจริญขึ้นได้มากที่สุด
เมื่อเราวางใจพระเจ้า และไม่ใส่ใจกับข้อสงสัยใด ๆ วิธีแน่นอนที่สุดในการหยุดยั้งความเชื่อ คือ
เก็บความสงสัยเอาไว้ และไม่ไว้ใจพระเจ้า ความเชื่อมักจะขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนาที่จะเชื่อ
ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เชื่อขึ้นมาลอย ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
ประวัติพระนางมารีอา
ประวัติพระนางมารีอา
เราพอจะเล่าประวัติของพระนางมารีอาได้ดังนี้
ท่านนักบุญอากิม(Saint Joachim) และนักบุญอันนา(Saint Anna) เป็นบิดาและมารดาของพระนาง เดิมไม่มีบุตร เนื่องจากนักบุญอันนาเป็นหมัน ท่านทั้งสองภาวนาต่อพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงฟังคำภาวนาของท่านทั้งสอง จึงได้ให้นักบุญอันนาบังเกิดบุตรี ชื่อว่า มารีอา
พระนางมารีอาถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า โดยตั้งใจจะถือพรหมจรรย์ เมื่อถึงเวลาอันควรก็ต้องแต่งงานกับชายคนหนึ่งเพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ พระนางมารีอาได้หมั้นกับนักบุญยอแซฟ ซึ่งเป็นเวลาที่เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่พระนางว่าจะตั้งครรภ์
เมื่อนักบุญยอแซฟทราบ ท่านก็ไม่เข้าใจ และคิดจะถอนหมั้นเงียบๆเพราะท่านเป็นคนชอบธรรม แต่เทวดาได้มาแจ้งแก่ท่านในฝันว่า ให้รับพระนางมารีอาไว้เป็นภรรยา เพราะบุตรที่เกิดมาคือองค์พระมหาไถ่ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นไปโดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า
เราเห็นถึงความรักต่อพระเป็นเจ้าที่พระนางมารีอาแสดงออกในชีวิตอันเป็นแบบอย่างดีแก่เรา ในการรับใช้พระเป็นเจ้าด้วยการทำตามน้ำพระทัยของพระในชีวิตของเรา แม้ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก "แม่พระมหาทุกข์ 7 ประการ" คือวันฉลองวันหนึ่งในพิธีกรรมคาทอลิกที่พิจารณาถึงความทุกข์ในชีวิตของแม่พระ อันมีเหตุการณ์ยากลำบาก 7 ประการใหญ่ คริสตชนใช้รำพึง และใคร่ครวญถึงชีวิตที่รักพระ ด้วยการร่วมทุกข์ในแผนไถ่บาปอย่างที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ไถ่บาปมนุษย์ หากเราเข้าใจความทุกข์ในแง่นี้ เราก็จะสามารถมีชีวิตและบรรลุถึงเมืองสวรรค์ได้ การยอมรับน้ำพระทัยของพระเพื่อเข้าร่วมส่วนในมหาทรมานของพระเยซูเจ้าชดเชยบาป และไถ่บาปมนุษย์ทุกคน
คัดจากหนังสือ " ความเชื่ออันเป็นชีวิต" โดย พงศ์ ประมวล หนังสืออันดับที่ 117 จากการพิมพ์คาทอลิกประเทศไทย
อ้างอิงแหล่งที่มา : http://www.dbac.ac.th/TheBible/mother/mother2.html
พระนาม “มารีย์” อาจมีความหมายได้ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. “ มารีอา ” ภาษาฮีบรู แปลว่า “ ดาวทะเล หรือ ดาราสมุทร ”
2.“ มารีอา” ภาษาซีเรียน แปลว่า “ คุณนาย ” (Our Lady, Notre Dame, Ma(Mia) Donna)
3. “มารีอา” ภาษาอียิปต์ แปลว่า “ ผู้ที่พระเจ้าทรงรัก โปรดปราน”
ในสมัยพระเยซูเจ้ามีผู้ตั้งชื่อนี้กันมาก คนแรกที่ใช้ชื่อนี้คือ พี่สาวของโมเสส(มีเรียม = มารีอา) สมัยชาวอิสราเอล ตกเป็นทาสของชาวอียิปต์
พระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า สมโภชวันที่ 1 มกราคม
พระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้าสมโภชวันที่ 1 มกราคม |
พระชนนีพระเจ้าและพระมารดาของมนุษยชาติ
พระมารดาแห่งสันติภาพ
ต้องยุติสงครามและการสร้างอาวุธ
บทอ่านที่ 1 บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี
กดว 6:22-27
บทอ่านที่ 2
กท 4:4-7
บทอ่านจาก พระวรสารนักบุญลูกา
ลก 2:16-21
ข้อคิด ข้อรำพึง
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)