29 เมษายน 2555

นักบุญ ปีโอ ที่ 5 พระสันตะปาปา


นักบุญ ปีโอ ที่ 5 พระสันตะปาปา
ระลึกถึงวันที่ 30 เมษายน

นักบุญ ปีโอ ที่ 5  เกิดที่บอสโก มาเรงโก (ใกล้ๆกับเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศอิตาลี)     ได้เข้าเป็นนักบวชในคณะโดมีนีกันขณะที่มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ชื่อเดิมของพระองค์คือ  มีเคเล  กิสเตรี
พระองค์ได้ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับขั้นตอนในตำแหน่งต่างๆ ของพระฐานานุกรมในพระศาสนจักร จากพระสงฆ์ พระสังฆราช จนกระทั่งได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาปีโอที่ 5 ขณะที่มีพระชนมายุ 62 พรรษา
ในระหว่าง 6 ปี แห่งรัชสมัยของพระองค์     พระองค์ได้ทำการตัดสินพระทัยในหลายๆ เรื่องของสังคายนาเตรนโต เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรม พระองค์ได้ทรงจัดพิมพ์หนังสือมิสซาและบทภาวนาของนักบวชขึ้นใหม่ ในเรื่องเกี่ยวกับคำสอน พระองค์ได้ทรงจัดพิมพ์หนังสือคำสอนขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า “คำสอนของสังคายนาเตรนโต” ในเรื่องเกี่ยวกับเทววิทยา พระองค์ได้ทรงสั่งให้ใช้หนังสือของนักบุญ โทมัส สอนในมหาวิทยาลัย ในเรื่องเกี่ยวกับระเบียบวินัย พระองค์ได้ทรงกำชับให้พระสังฆราชได้พยายามอยู่ทำงานในสังฆมณฑลของตน และให้ไปเยี่ยมวัดต่างๆ (พระสงฆ์และสัตบุรุษ) บ่อยๆ ด้วย สำหรับพวกนักบวชก็ให้อยู่ในอารามของตน ส่วนพวกนักบวชที่ทำงานอยู่ตามวัดและตามสถาบันต่างๆ ก็ให้ถือศีลพรหมจรรย์และเจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์  และในเรื่องเกี่ยวกับการแพร่ธรรมนั้น พระองค์ได้ทรงส่งเสริมการเผยแพร่ความเชื่อและการขยับขยายงานแพร่ธรรมต่างๆ
นอกนั้น คุณความดีของพระองค์ก็ยังปรากฏอีกในการที่พวกคริสตชนได้รับชัยชนะเหนือพวกตุรกีผู้รุกรานที่เลปันโต  เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม  1571  และเป็นวันนี้เองที่ได้ให้กำเนิดวันฉลองแม่พระลูกประคำ รัชสมัยของการเป็นสันตะปาปาของพระองค์ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรเป็นเวลานานถึง 5 ศตวรรษ เป็นต้นในเรื่องการให้การอบรมแก่พวกนักบวช  การสอนคำสอนสัตบุรุษ การรวมอำนาจต่างๆ  ทางด้านการปกครองเข้ามาไว้ที่ศูนย์กลางของพระศาสนจักรโดยก่อตั้งกระทรวงต่างๆขึ้น การสร้างเอกภาพให้กับพิธีกรรม ของพระศาสนจักร ฯลฯ
พระองค์สิ้นพระชนม์ที่โรมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1572 และได้รับสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1712
ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ
   

27 เมษายน 2555

นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต


นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต
ระลึกถึงวันที่ 28 เมษายน

หลุยส์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดวันที่ 31 มกราคม 1673 บิดามารดาเป็นคนยากจน หลุยส์ต้องช่วยดูแลน้องๆ อีก 8 คน ถึงแม้จะจน บิดามารดาของท่านยังเอาใจใส่ส่งลูกไปโรงเรียน หลุยส์มีความรักและศรัทธาต่อพระแม่เป็นพิเศษ ท่านทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนๆ ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย คนจน และผู้ตกทุกข์ได้ยาก เวลาที่ท่านออกเยี่ยมคนป่วย ท่านจะรำลึกถึงคำที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า "สิ่งที่ท่านได้กระทำ และปฎิบัติต่อพี่น้อง แม้ที่ต่ำต้อยของเรา นั่นแหละเท่ากับว่าท่านได้ปฎิบัติต่อเรา"
หลุยส์ อยากจะบำเพ็ญชีวิตท่านให้เป็นประโยชน์ต่อคนจนที่ถูกทอดทิ้ง ท่านจึงคิดบวชเป็นพระสงฆ์ บิดามารดาจึงส่งท่านไปศึกษาต่อที่ สามเณราลัย กรุงปารีส ท่านต้องหาเงินเรียนจนได้บวชเป็นพระสงฆ์ หลังจากบวชแล้ว ท่านได้รับหน้าที่ดูแลคนคนชรา และคนป่วยในโรงพยาบาล และที่โรงพยาบาลนี้เอง ท่านได้ตั้งกลุ่มสตรีที่เจ็บป่วย แต่น้ำใจดี อาสาสมัครทำงานช่วยเหลือคนป่วยคนอื่นๆ ซึ่งกลุ่มสตรีกลุ่มนี้ต่อมาได้ถือกำเนิดเป็น "คณะภคินีแห่งพระปรีชาญาณ"
ท่านมั่นใจในพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านออกไปแสวงหาคนที่หลงใหลในทางชั่ว ต่อสู้กับ "ลัทธินิยม" เตือนพวกเขาให้รำลึกถึงคำมั่นสัญญา ที่ได้กระทำเมื่อวันที่รับศีลล้างบาป เพื่อเป็นเครื่องเตือนตาเตือนใจให้คริสตชนระลึกถึง ชีวประวัติของพระคริสตเจ้า ท่านได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้มากมาย เป็นกางเขนบ้าง เป็นรูปพระแม่บ้าง นักบุญอัครสาวกบ้าง หลุยส์เป็นนักพัฒนาและก่อสร้าง ท่านได้ซ่อมแซมวัดต่างๆ ที่ถูกทอดทิ้ง และปรับปรุงโรงเรียน ท่านว่าโรงเรียนมีความสำคัญ เท่ากับวัด เพราะเป็นที่อบรมเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต แต่ต้องมีครูที่ดีด้วย ท่านจึงตั้งคณะ "ภราดาเซนต์คาเบรียล" เพื่ออบรมเยาวชนให้เป็นคนดี
หลังจากตรากตรำงานหนัก ท่านได้ล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 1716 ผู้คนจำนวนหลายพันคนหลั่งไหลมาร่วมในพิธีฝังศพท่าน มีการกล่าวขวัญถึงอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นที่หลุมฝังศพของท่าน

26 เมษายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู 1. ประกาศกกล่าวถึงพระเยซูเจ้า




3453.gif

1.
ประกาศกกล่าวถึงพระเยซูเจ้า

       เรื่องของพระเยซูเจ้าเริ่มต้นในสวนสวรรค์ วันที่พระเจ้าทรงตรัสต่อหน้าอาดัมและเอวา ทรงกล่าวโทษงูผู้ล่อลวงและยืนยันว่า บุตรของสตรีผู้หนึ่งจะประกาศสงครามและจะมีชัยชนะ อีกทั้งจะเหยียบหัวงูให้บี้แบน

        
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกหลานของอาดัมและเอวาเริ่มรอคอยสตรีผู้นั้นที่บุตรชายจะลบล้างบาปของโลกและจะไถ่กู้ประชากรผู้เป็นบุตรพระเจ้า

       
ผู้เขียนพระวรสารลูกาและมัทธิวได้ย้อนรอยกลับไปสู่บรรพบุรุษของพระเยซูเจ้า เพราะต้องการจะโยงพระมหาไถ่ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เข้าสู่ประวัติศาสตร์มนุษย์และยืนยัน DNA ของพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นมนุษย์แท้
 
        นอกนั้น บรรดาประกาศกของพระเจ้าประกาศถึงการเสด็จมาของสตรีผู้นั้นและพระบุตรพระเจ้าในพระนามของพระเจ้า

 
       พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าจำนวน 73 เล่ม มีการส่งต่อมาถึงเราผ่านทางนิมิต ความฝัน ประสบการณ์ชีวิต ความรู้แจ้ง ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และสังคม ในบุคลิกที่ดำเนินชีวิตแห่งการรอคอย พร้อมกับถ่ายทอดภาพลักษณ์ของพระเยซูเจ้าตั้งแต่ทรงบังเกิดถึงสิ้นพระชนม์ อีกทั้งการกระทำและท่าทีของพระองค์ ให้ความสว่างแก่สติปัญญา รักษาดวงใจที่แข็งกระด้างเป็นหิน ปลุกน้ำใจดีในการทำความดี ต่อต้านความชั่ว ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำและเป็นทาสทุกรูปแบบ

       พวกเขาได้เห็นล่วงหน้าถึงชีวิตของพระองค์และมีความประทับใจมาโดยตลอด กระทั่งนักบุญยอห์นผู้โปรดศีลล้างได้ร้องประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสิยาห์ อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระวรสารของพระเยซูเจ้า .



ปฐมวัยของยอห์น
       ในัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดผู้ปกครองแคว้นยูเดีย สมณะผู้หนึ่งชื่อเศคาริยาห์  ประจำเวรในหมวดของอาบียาห์ มีภรรยาชื่อเอลีซาเบธ จากตระกูลสมณะอาโรน ทั้งสองคนเป็นผู้ชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำหนดทุกข้อของพระเจ้าโดยไม่มีข้อตำหนิ 
       แต่สามีภรรยาคู่นี้ไม่มีบุตร เพราะนางเอลีซาเบธเป็นหมัน และทั้งสองคนชรามากแล้ว
       วันหนึ่ง เศคาริยาห์กำลังปฏิบัติหน้าที่สมณะเฉพาะพระพักตร์ตามเวรในหมวดของตน  9ตามธรรมเนียมของสมณะ เขาจับฉลากได้หน้าที่เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าเพื่อถวายกำยาน ขณะที่มีการถวายกำยาน ประชาชนที่มาชุมนุมกันต่างอธิษฐานภาวนาอยู่ภายนอก11ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ยืนอยู่เบื้องขวาของพระแท่นถวายกำยาน 
       เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็รู้สึกวุ่นวายใจและมีความกลัวอย่างมาก 
       แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า
       “เศคาริยาห์ อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว เอลีซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่ายอห์น  14ท่านจะมีความชื่นชมยินดีและคนจำนวนมากจะยินดี ที่เขาเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุราเมรัยเลย เขาจะรับพระจิตเจ้า เต็มเปี่ยมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา เขาจะนำบุตรหลานของอิสราเอลจำนวนมากกลับมายังองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา  เขาจะมีจิตใจและพลังของประกาศกเอลียาห์ มาเตรียมรับการเสด็จมาของพระองค์  เพื่อทำให้บิดาคืนดีกับบุตรและทำให้ผู้ไม่เชื่อฟังกลับมีจิตสำนึกของผู้ชอบธรรม เป็นการเตรียมประชากรให้พร้อมที่จะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า” 
       เศคาริยาห์จึงถามทูตสวรรค์ว่า 
       “ข้าพเจ้าจะแน่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไร
 ข้าพเจ้าชราแล้ว และภรรยาของข้าพเจ้าก็อายุมากแล้วด้วย”
 
       ทูตสวรรค์จึงตอบว่า
        “ข้าพเจ้าคือกาเบรียล ซึ่งเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้งให้ท่านทราบ  20แต่ท่านไม่เชื่อคำของข้าพเจ้า ซึ่งจะเป็นจริงเมื่อถึงเวลากำหนด  ดังนั้น ท่านจะเป็นใบ้จนถึงวันที่เหตุการณ์นี้จะเป็นจริง” 
       ขณะนั้น ประชาชนกำลังคอยเศคาริยาห์อยู่ รู้สึกประหลาดใจที่เขาอยู่ในพระวิหารนาน เมื่อเขาออกมาและพูดไม่ได้ ประชาชนจึงเข้าใจว่าเขาเห็นนิมิตในพระวิหาร  เขาทำได้เพียงแสดงท่าทาง แต่พูดไม่ได้

       เมื่อหมดวาระทำหน้าที่ในพระวิหารแล้ว เศคาริยาห์ก็กลับไปบ้าน ต่อมาไม่นานนางเอลีซาเบธภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ นางเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลาห้าเดือนนางกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพื่อข้าพเจ้า  บัดนี้พระองค์พอพระทัยช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความอับอายที่ข้าพเจ้ามีต่อหน้าคนทั้งหลายแล้ว” (ลก 1,5-23)
----------------------------------------------------------------------------------
ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้า



        เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ
           มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า
        “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน” 
           เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า
        “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน 
           ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย”
           พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” 
           ทูตสวรรค์ตอบว่า
        “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”
       พระนางมารีย์จึงตรัสว่า 
        “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”
        
แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป (ลก 1,26-38)
-------------------------------------------------
โยเซฟรับพระเยซูเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม 
       เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน  ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบๆ
          ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟโอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย  เพราะเด็กที่ปฏิสนธิ์ในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้านางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป” 
          เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศก จะเป็นความจริงว่า 
          หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย     ซึ่งจะได้รับนามว่า“อิมมานูเอล”แปลว่า"พระเจ้าสถิตกับเรา”  
          เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย(มธ1 18-24)

-------------------------------------------------
พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ

       หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น  นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า
          เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” (ลก 1,39-45)

 บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์  
  พระนางมารีย์ ตรัสว่า
  วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
  จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า
  พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า
  เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์
  ตั้งแต่นี้ไปชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข
  พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่
  สำหรับข้าพเจ้าพระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์
  พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย
  พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ
  ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป
  ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์
  และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
  พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก
  ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า
  พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์
  โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา
  ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา
  แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป
  พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธ
  ประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ
  (ลก 1,46-56)
------------------------------------------------------------------------------
การเกิดของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
       
       เมื่อครบกำหนดคลอดนางเอลีซาเบธให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง

ยอห์นผู้ทำพิธีล้างเข้าสุหนัต 

       เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำพิธีสุหนัตให้  เขาต้องการเรียก เด็กว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา  60แต่มารดาของเด็กค้านว่า
        “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” 
       คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า
        “ท่านไม่มีญาติคนใดมีชื่อนี้” 
       เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณ ถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร 
       เศคาริยาห์ขอกระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น”
       ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่วแถบภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา (ลก 1,57-66)
------------------------------------------------------------------------------
บทถวายพระพรของเศคาริยาห์ 
       เศคาริยาห์ ผู้เป็นบิดาได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม จึงกล่าวพยากรณ์ดังนี้
       ขอถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลเพราะพระองค์เสด็จเยี่ยม และทรงกอบกู้ประชากรของพระองค์
       พระองค์ทรงปลุกพระผู้กอบกู้ผู้ทรงอำนาจ ขึ้นมาจากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดผู้รับใช้พระองค์
       ตามที่ทรงสัญญาไว้โดยปากของบรรดาประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่โบราณกาล
       ว่าจะให้เรารอดพ้นจากศัตรูจากเงื้อมมือของผู้ที่เกลียดชังเรา
       ทรงสัญญาว่าจะทรงแสดงพระกรุณาแก่บรรพบุรุษของเราทรงระลึกถึงพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
        และคำปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อับราฮัม บรรพบุรุษของเรา
       ว่าจะทรงช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูเพื่อรับใช้พระองค์โดยปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ
       ให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ตลอดชีวิตของเรา
       ส่วนเจ้า ทารกเอ๋ยเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นประกาศกของพระผู้สูงสุดเจ้าจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางสำหรับพระองค์
       เพื่อให้ประชากรของพระองค์รู้ว่าเขาจะรอดพ้น เพราะบาปของ
เขาได้รับการอภัย
       เดชะพระเมตตากรุณา ของพระเจ้าของเราพระองค์จะเสด็จมาเยี่ยมเราจากเบื้องบนดังแสงอรุโณทัย
       ส่องแสงสว่างให้ทุกคนที่อยู่ในความมืดและในเงาแห่งความตายเพื่อจะนำเท้าของเราให้ดำเนินไปตามทางแห่งสันติสุข

ชีวิตซ่อนเร้นของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
 


      เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดงตนแก่ประชากรอิสราเอล (ลก 1,67-80)
------------------------------------------------------------------------------






วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2012 พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:44-51




 zwani.com myspace graphic comments 

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2012  
พระวรสารนักบุญยอห์น  ยน 6:44-51

         เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า“ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร แล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต”

ข้อคิด
          ในบทอ่านที่หนึ่งให้ข้อคิดแก่เราว่า พระเจ้าใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือนำความรอดไปสู่มนุษย์ ดังเช่นฟิลิปเป็นตัวอย่าง พระองค์ก็ทรงใช้เราเป็นเครื่องมือนำพระวาจาไปให้พี่น้องของเราเช่นกัน ขอให้เรามีความพร้อมเช่นเดียวกับฟิลิป

4thirsty_thursday.gif

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2012 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 8:26-40





  4thursday18.gif  

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก 
กจ 8:26-40


         ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟิลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทางทิศใต้ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว” ฟิลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง เป็นขันที ข้าราชการของพระราชินีคานดาสีของชาวเอธิโอเปีย เป็นผู้ดูแลราชทรัพย์ทั้งหมดของพระนางและมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์อยู่ พระจิตเจ้าตรัสสั่งฟิลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟิลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำลังอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟิลิปขึ้นไปนั่งด้วย 
         ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้“เขาถูกนำไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึ่ง ลูกแกะไม่ออกเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนตัดขนแกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว”
          ขันทีจึงถามฟิลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงใคร หมายถึงตนเองหรือหมายถึงผู้อื่น” ฟิลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้
         ขณะดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดขวางมิให้ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาปเล่า” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟิลิปและขันทีลงไปในน้ำ ฟิลิปล้างบาปให้ขันที
เมื่อทั้งสองคนขึ้นจากน้ำแล้ว พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงนำฟิลิปไปที่อื่น ขันทีไม่เห็นฟิลิปอีก เดินทางต่อไปด้วยความยินดี ส่วนฟิลิปนั้นมีผู้พบที่เมืองอาโซทัส เขาเดินทางผ่านเมืองต่าง ๆ ประกาศข่าวดีจนมาถึงเมืองซีซารียา

4thursday12.gif

25 เมษายน 2555

วันพุธที่ 25 เมษายน 2012 พระวรสารนักบุญมาระโก มก 16:15-20


  995wednesday15.gif

วันพุธที่ 25 เมษายน 2012 

พระวรสารนักบุญมาระโก 
มก 16:15-20

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับอัครสาวกทั้งสิบเอ็ดคนว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”
          เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา

ข้อคิด
ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดี...” วันนี้พระเจ้าทรงบัญชาให้เราออกไปประกาศและทำความดีแก่ปวงชนอีกครั้งหนึ่ง ขอให้เรากระทำด้วยความถ่อมตน มีสติ และตื่นตัว ทั้งนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระองค์

1wednesday24.gif 

วันพุธที่ 25 เมษายน 2012 ฉลองนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 5:5ข-14



  5wednesday19.gif 

วันพุธที่ 25 เมษายน 2012
ฉลองนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 
1 ปต 5:5ข-14


          ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนลงอยู่ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ 

          เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำลังดักวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์โตคำราม เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ จงต่อสู้มันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ จงรู้ว่าบรรดาพี่น้องผู้มีความเชื่อทั่วโลกก็ประสบความทุกข์ลำบากเช่นเดียวกัน และเมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ประทานพระหรรษทานทุกประการ ผู้ทรงเรียกท่านให้มารับพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรในพระคริสตเจ้า จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้ ขอพระอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน

          ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่งข้าพเจ้านับถือว่าเป็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติท่านและยืนยันว่านี่เป็นพระหรรษทานแท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระหรรษทานนี้เถิด

          พระศาสนจักรที่กรุงบาบิโลนซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เช่นเดียวกับที่ได้ทรงเลือกสรรท่าน ขอฝากความคิดถึงท่าน มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงท่านด้วยจงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสุขจงอยู่กับท่านทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่ในพระคริสตเจ้าเถิด

94wednesday20.gif

24 เมษายน 2555

“ เราจะถาม.. เจ้าจงตอบ”



zwani.com myspace graphic comments zwani.com myspace graphic comments

 เราจะถาม.. เจ้าจงตอบ        มอนิก..เรียบเรียง
            เมื่อพระเจ้าทรงต้องการที่จะตรัสถามอะไรกับเรา พระองค์จะไม่ตรัสถามเราถึงระดับสติปัญญาของเรา พระองค์จะไม่ทรงมองดูที่ความสง่างามของเรา พระองค์จะไม่ตรัสถามถึงระดับการศึกษาของเรา แต่การถามของพระองค์ที่มาถึงเรานั้น จะเป็นการถามที่มุ่งที่จะทดสอบจิตใจของเรามากกว่า
            ดังนั้น คำถามของพระองค์จึงเป็นคำถามที่สั้นๆ ง่ายๆ ตรงประเด็น และเจาะลึกถึงส่วนที่เร้นลับที่สุดของชีวิตเรา ทั้งนี้เพื่อช่วยเราให้ได้ตรวจสอบการเดินทางของชีวิตฝ่ายจิต และนำการเปลี่ยน แปลงมาสู่ชีวิตของเรา 
            และนี่คือคำถาม 5 ข้อ ที่ถึงแม้ว่าพระเจ้าอาจจะตรัสถามแก่ผู้อื่น แต่เราทุกคนก็ควรจะคิดว่า..พระองค์ทรงตรัสกับเราด้วยเช่นเดียวกัน และหากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะตอบคำถามของพระองค์ ที่มาถึงเราโดยตรงนี้ได้อย่างไร?
1. ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงเรียกหา อาดัม และถามเขาว่า เจ้าอยู่ที่ไหน?”พระเจ้าทรงตั้งคำถามนี้แก่อาดัม มิใช่เพราะพระองค์ไม่ทรงทราบว่า.. อาดัมอยู่ที่ไหน แต่พระองค์ทรงทราบดีว่า.. เขาซ่อนตัวอยู่ แต่พระองค์ทรงถามเพื่อให้อาดัม..จะได้กล้าที่จะออกมาเผชิญหน้ากับการไม่นบนอบเชื่อฟังของเขา
            พระองค์ทรงต้องการที่จะย้ำให้อาดัมได้ตระหนักว่า.. สัมพันธภาพระหว่างเขากับพระเจ้านั้น..หายไปไหนเสียแล้ว และนั่นคือคำถามข้อแรกที่เราทุกคน ต้องตอบกับพระเจ้าเช่นเดียวกันด้วยว่า.. สัมพันธภาพระหว่างเรากับพระเจ้านั้นอยู่ตรงไหน
? เรากำลังหลบซ่อนตัวเราจากสัมพันธภาพที่แท้จริงของพระเจ้าหรือไม่หรือว่าเรากำลังเดินไปพร้อมกับแสงสว่างของพระองค์?

            2. พระเจ้าทรงตรัสถาม คาอิน ว่า อาแบล..น้องของเจ้าอยู่ที่ไหน?” และเขาตอบว่าข้าพเจ้าไม่รู้ เพราะข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่ในการดูแลน้อง และพระเจ้าได้ทรงถามเขาอีกว่า เจ้าได้ทำอะไรลงไป?” คำถามที่พระเจ้าทรงถามคาอินนั้น..เป็นคำถามที่ทรงถามเรา..เกี่ยวกับความรับผิดชอบส่วนตัวของเราด้วยเช่นกัน 
            เพราะในทุกวันนี้ ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเอาแต่ตำหนิ และพร่ำบ่นว่า..มีอะไรมากมายในชีวิตที่ไม่ถูกต้อง และทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นความผิดพลาด ที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นทั้งนั้น เช่น ถ้าเขามีปัญหาในที่ทำงาน เขาก็จะตำหนิบ่นว่า..เจ้านายทำไม่ถูกต้อง ถ้าเขามีปัญหาที่บ้าน เขาก็จะตำหนิว่า..พ่อแม่และสิ่งอื่นๆ ล้วนไม่ถูกต้อง และถ้าเขามีปัญหาที่โรงเรียน เขาก็จะตำหนิครู เพื่อนๆ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น

      แต่คำถามของพระเจ้าที่มาถึงคาอินนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงถามว่า.. “อาแบลทำอะไร?แต่พระองค์

ทรงต้องการที่จะถามคาอินว่า เจ้าได้ทำอะไร..กับอาแบล?”

            3. พระเจ้าทรงตรัสถาม อับราฮัม ว่า ทำไมนางซาราห์จึงหัวเราะ?” นางจึงกล่าวว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ที่ข้าพเจ้าจะมีลูกชายเมื่ออายุมากแล้ว” นี่เป็นคำถามที่พระเจ้าทรงถามเราทุกคน..ที่มีความสงสัยในพระสัญญาของพระองค์ เกี่ยวกับนางซาราห์ที่จะมีบุตรชายเมื่อมีอายุมากแล้ว พระเจ้าทรงตอบคำถามของเรา โดยย้ำกับอับราฮัมว่า.. ไม่มีเหตุผลใดที่จะสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้า เพราะว่าไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ใดๆ ที่จะเกินความสามารถที่พระเจ้าจะทำไม่ได้..สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์
            ทัศนคติและมุมมองที่เรามีต่อพระเจ้านั้น ต้องไม่ใช่ความคิดที่ว่า 
พระสัญญาของพระองค์นั้นดีเลิศจนเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ หรือว่าพระสัญญานั้นดีมาก..แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” 

            4. พระเจ้าตรัสถาม โมเสส ว่า อะไรอยู่ในมือเจ้า?” พระเจ้าทรงต้องการที่จะย้ำให้โมเสสได้เข้าใจว่า เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือของเราเลย” เพราะในความเป็นจริงนั้นเราไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งใดเลย สิ่งที่เรามีคือ ความว่างเปล่า แผนการของพระเจ้าในชีวิตของเราคือ เราต้องยอมให้พระเจ้าทรงทำ งานของพระองค์ในตัวเรา พระเจ้าทรงต้องการที่จะชี้ย้ำให้โมเสส..ได้มองดูไม้เท้าที่ปราศจากชีวิตในมือของเขา และในขณะนั้นเองที่พระเจ้าทรงทำให้โมเสสได้เข้าใจว่า.. หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ที่จะ ใช้เขาให้ไปไถ่กู้ชาวอิสราเอล ให้พ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์แล้ว พระเจ้าก็จะทรงทำงานนั้นด้วยพละกำลังของพระองค์เอง ซึ่งไม่ใช่ด้วยกำลังของเขา

            5. หลังจากนั้นพระเจ้าทรงตรัสกับ โมเสส ว่า เหตุไฉนเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา จงสั่งให้ชนชาติอิสราเอลเดินไปข้างหน้าเถิด” (อสย14:15) คำกล่าวนี้ทำให้โมเสสต้องหยุดคร่ำครวญ และอ้อนวอนต่อไป
            บางครั้งพระเจ้าก็ทรงต้องการที่จะให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นการดีที่เราจะเรียกหาพระเจ้า และรอคอยพระองค์ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสกับเราว่า 
จงไป นั่นก็คือ ถึงเวลาที่เราจะต้องไป และทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ...
            
จาก Meet Me in the Meadow  by.. Roi Lessin



วันอังคารที่ 24 เมษายน 2012 น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์ มรณสักขี บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 7:51-59,8:1ก



   92tuesday10.gif 



วันอังคารที่ 24 เมษายน 2012
น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์ มรณสักขี
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก 
กจ 7:51-59,8:1ก


          ในครั้งนั้น สเทเฟนกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าอยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านเคยทำเช่นไร ท่านก็ทำเช่นนั้น มีประกาศกคนใดบ้างที่บรรพบุรุษของท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ด้วย ท่านทั้งหลายได้รับธรรมบัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำรามเข้าใส่สเทเฟน

          สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” ทุกคนจึงร้องเสียงดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอาหินขว้างเขา บรรดาพยานนำเสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล” ขณะที่คนทั้งหลายกำลังเอาหินขว้างสเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” เซาโลเป็นคนหนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า

92tuesday14.gif

24 เมษายน 2555 พระวรสาร ยน 6:30-35 คำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม


   tuesday9.gif 


24 เมษายน 2555  พระวรสาร ยน 6:30-35 
คำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม


          เวลานั้น ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำอะไรเล่า บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน”
          พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะขนมปังของพระเจ้า คือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
          ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย”

ข้อคิด
          ความช่วยเหลือจากพระเจ้าประทานให้แก่ทุกคนที่ไว้วางใจ ภัยอันตรายทุกวันนี้มีมาก การภาวนากับพระเจ้าเป็นวิธีหนึ่งช่วยให้พบทางออกได้ แต่การภาวนาต้องควบคู่กับการดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ มีใจเมตตาต่อผู้อื่นและคนอื่นจะมีเมตตาต่อเรา


94tuesday4.gif

นักบุญมาระโก



นักบุญมาระโก  ผู้ประพันธ์พระวรสาร

ฉลองวันที่ 25 เมษายน

ผู้นิพนธ์พระวรสาร นักบุญ มาระโก หรือ ยอห์น มาระโก ( กจ 12:12-25 ; 15:37 ) ถือกำเนิดจากครอบครัวที่มีเชื้อสายเป็นชาวกรีก แต่อาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเลม และท่านเองได้ให้พวกคริสตชนรุ่นแรกๆ ได้ใช้บ้านของท่านเป็นที่ชุมนุมกัน ( กจ 12: 12 - 16 ) และอาจจะเป็นไปได้ที่พระเยซูเจ้าและบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ได้ใช้บ้านนี้เป็นที่รับประทานอาหารค่ำครั้งสุดท้ายด้วย
นักบุญ มาระโก ได้เป็นเพื่อนร่วมทางของนักบุญ เปาโล ในการเดินทางแพร่ธรรมครั้งแรก ( กจ 12: 25; 13 : 5 ) แต่รู้สึกว่าท่านไม่สู้มีความกระตือรือร้นกับการเดินทางแพร่ธรรมของนักบุญ เปาโล มากนัก ท่านจึงได้กลับมาที่กรุงเยรูซาเลมแต่เพียงคนเดียว ( กจ 13:13 ) และตามที่ปรากฏแก่ท่าน รู้สึกว่าจะได้มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงพอสมควรระหว่างนักบุญ เปาโล และนักบุญ บาร์นาบัส ในโอกาสเตรียมตัวเดินทางแพร่ธรรมครั้งที่ 2 ของนักบุญ เปาโล ( กจ 15:39 - 40 )
ต่อมาท่านได้ติดตามนักบุญ เปโตร มาที่กรุงโรมและคอยรับใช้ให้ความช่วยเหลือนักบุญ เปโตร ในขณะที่โดนขังคุกอยู่ ( คส 4: 10 ) นักบุญเปโตรเรียกท่านว่า “บุตร” (1ปต.5:13) และในที่สุดท่านยังได้คอยรับใช้ นักบุญ เปาโล เวลาที่ถูกขังคุกอีกด้วย ( 2 ทธ 4:11 )
ในพระวรสารของท่าน นักบุญ มาระโก ได้เสนอรูปแบบของพระเยซูเจ้าที่ถูกค้นพบโดยอาศัยประสบการณ์ของบรรดาอัครธรรมทูตและของพวกสานุศิษย์เอง ในโลกเราทุกวันนี้เวลาที่เราจะแสดงรูปแบบของพระเยซูเจ้าให้คนอื่น เขาก็มักจะถามว่า “เขาผู้นั้นเป็นใครกัน” พระวรสารของท่านมี   ทัศนวิสัยพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากพระวรสารเล่มอื่นๆ คือมีความขัดแย้งกันที่เจ็บปวดระหว่างพระคริสตเจ้าที่ประกอบด้วยความสามารถพิเศษในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ( 1:31 ) ในการยกบาป ( 2:10 ) ในการมีชัยชนะต่อปีศาจ ( 1:24 - 27; 1: 34; 3: 11,23; 5: 7 ) กับพวกผู้คนที่สบประมาทเยาะเย้ยพระองค์ ( 5: 40; 6:2 ; 15:29 - 32 ) และต้องการให้พระองค์ต้องพินาศไป ( 3: 6; 12: 13; 14:1) และเมื่อสบโอกาส นักบุญ มาระโก ก็มิได้ลังเลใจที่จะเสนอความขัดแย้งอันเดียวกันนี้ภายในกลุ่มของพวกอัครธรรมทูตเอง ( 4:13) ทั้งจากครอบครัวของพระคริสตเจ้าเองด้วย ( 3:20 - 37 )
ท่านได้อธิบายความขัดแย้งกัน “อันเป็นที่สะดุด” นี้ให้กับธรรมล้ำลึกปัสกาเองด้วย ( 16 ) โดยท่านได้พยายามแสดงให้เห็นว่าแผนการอันลึกซึ้งของพระเป็นเจ้าได้สำเร็จไปในองค์พระผู้ไถ่ ( 8:31; 9:3 ; 10:33 ) และแผนการนี้เราจะสามารถพบได้ในกระแสเรียกของคริสตชนทุกคนอีกด้วย( 8: 34; 9: 35 ; 10:24 - 39 ; 13:9-13 )
พระวรสารของพระแมสซีอาห์ที่ถูกเขาสบประมาทเยาะเย้ยที่ต้องทนทุกข์ยากลำบาก และที่สุดต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขนได้ช่วยทำให้นายร้อยคนนั้นได้ยอมประกาศความเชื่อของตนว่า “แน่ละบุรุษผู้นี้จะต้องเป็นบุตรของพระเจ้า”
นักบุญ มาระโก เป็นผู้นิพนธ์พระวรสารที่ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดถึงการทรยศของยูดาสและของนักบุญ เปโตร มากกว่าผู้นิพนธ์พระวรสารองค์อื่นๆ การขายพระคริสตเจ้าหรือการปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ในบรรดาพี่น้องคริสตชนทั้งหลาย ก็เป็นการทรยศที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของการที่เรามาร่วมรับประทานอาหารที่โต๊ะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เหมือนกัน มิใช่หรือ
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ
1. ขออย่าให้คริสตชนคนใดปฏิเสธไม่ยอมรับรู้พระคริสตเจ้าในบรรดาพี่น้องของตน
2. ขออย่าให้ใครได้ขายพระคริสตเจ้า โดยการเอารัดเอาเปรียบหรือฉ้อโกงบรรดาพี่น้องของตน
3. ในทุกๆ สภาพการณ์ของชีวิต ให้เราได้รู้จักที่จะตัดสินใจอยู่ข้างพระ คริสตเจ้า
4. ขอให้กิจการทุกอย่างของเราจงเป็นพยานยืนยันที่มีชีวิตชีวาเพื่อพระคริสตเจ้าด้วยเถิด
ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ

23 เมษายน 2555

23 เมษายน 2555 พระวรสาร ยน 6:22-29 คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม



   9monday44.gif 




23 เมษายน 2555  พระวรสาร ยน 6:22-29 
คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม

          วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และจำได้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกันตามลำพังเท่านั้น แต่เรือลำอื่นจากเมืองทีเบเรียสมายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปัง เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร”
          พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้ อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว”
          เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

ข้อคิด
          รอบครัวอ่อนล้า เพราะขาดระบบคุณธรรม เผ่าพันธุ์สู?สลาย เพราะดื้อรั้นในความผิดบาป พระเยซูเจ้าทรงให้หนทางใหม่ จงแสวงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้


monday4.gif

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2012 น.ยอร์จ มรณสักขี บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 6:8-15


  3monday38.gif 


วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2012
น.ยอร์จ มรณสักขี
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก 
กจ 6:8-15
          ในครั้งนั้น สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระอานุภาพ ทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชน บางคนจากศาลาธรรมที่เรียกกันว่าศาลาธรรมของเสรีชนที่เคยเป็นทาส คือชาวยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย แคว้นซีลีเซียและเอเชีย เริ่มโต้เถียงกับสเทเฟน แต่เขาเหล่านั้นเอาชนะสเทเฟนไม่ได้ เพราะสเทเฟนพูดด้วยปรีชาญาณซึ่งมาจากพระจิตเจ้า คนเหล่านั้นจึงเสี้ยมสอนประชาชนบางคนให้ใส่ความว่า
          พวกเราได้ยินเขาพูดดูหมิ่นโมเสสและพระเจ้า” เขาเหล่านั้นยุยงประชาชนบรรดาผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ให้ปั่นป่วนวุ่นวายแล้วจึงเข้าจู่โจมจับกุมสเทเฟนนำไปยังสภาซันเฮดริน ตั้งพยานเท็จกล่าวหาว่า “ชายคนนี้พูดดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และธรรมบัญญัติอยู่เสมอ พวกเราได้ยินเขาพูดว่า เยซู ชาวนาซาเร็ธผู้นี้จะทำลายสถานที่นี้และจะเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีที่โมเสสมอบให้เรา” ทุกคนที่นั่งอยู่ในสภาซันเฮดรินต่างเพ่งมองสเทเฟน เห็นใบหน้าของเขาสว่างรุ่งเรืองเหมือนกับใบหน้าของทูตสวรรค์

6monday32.gif

นักบุญฟีเดลิส แห่ง ซิกมาริงเก็น


นักบุญฟีเดลิส แห่ง ซิกมาริงเก็น
พระสงฆ์และมรณสักขี
ระลึกถึงวันที่ 24 เมษายน

เดิมชื่อ มาร์ค รอย  เกิดในปี 1577 เป็นบุตรชายของนายกเทศมนตรีแห่งเมืองซิกมาริงเก็น ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลสาบคอนส์ตันส์ (ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมันนีในปัจจุบัน) ท่านได้ปริญญาเอกทางปรัชญาและทางกฎหมายทั้งของบ้านเมืองและของพระศาสนจักร และภายในเวลาอันรวดเร็วท่านได้กลายเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงเพราะความสามารถในเชิงการพูดของท่าน
ท่านได้เดินทางไปในประเทศฝรั่งเศส สเปนและอิตาลี ต่อมาในปี 1612 ท่านได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีทางชีวิตของท่าน โดยบวชเป็นพระสงฆ์ และได้สมัครเข้าเป็นฤาษีคณะกาปูชิน ใช้ชื่อว่า “คุณพ่อฟีเดลีโอ”
ท่านได้ใช้ความรู้และความสามารถที่ท่านมีอยู่ในการรับใช้พระวรสาร ท่านเทศน์สอนเป็นต้นด้วยการดำเนินชีวิตที่เคร่งครัด และด้วยการภาวนาที่เข้มข้น การเทศน์สอนของท่านได้ประสบความสำเร็จพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นในหมู่พวกทหารหรือพวกคาลวินิสต์
ท่านถูกสังหารเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1622 โดยพวกชาวเมืองที่เป็นเฮเรติก ที่เมืองเซวิส ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ขณะที่ท่านกำลังจะจบมิสซาอยู่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นท่านกำลังได้รับผลสำเร็จในการจัดการให้มีการเสวนากันอย่างจริงใจระหว่างพวกคาทอลิกกับพวกโปรเตสแตนท์
ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ

ผู้กลับใจ