14 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 6. เดินทางผ่านสะมาเรีย


3453.gif
6
เดินทางผ่านสะมาเรีย
       เพื่อเดินทางกลับกาลิลี พระเยซูเจ้าทรงเลือกเส้นทางที่ชาวกาลิลีใช้เดินทาง นั่นคือ เส้นทางผ่านซามารีย ซึ่งภูมิประเทศเป็นเนินและหุบเขา พืชพันธุ์เขียวชอุ่มและลมพัดมากกว่าเส้นทางผ่านข้ามแม่น้ำจอร์ดัน
       สะมาเรียเป็นแค้นปาเลสไตน์ที่ตั้งอยู่ระหว่างกาลิลีกับยูเดอา มีชาวเมืองซามารีตันอาศัยอยู่ เป็นเมืองที่มีกล่าวถึงในพระวรสารบ่อยครั้ง ชาวซามารีตันสืบเชื้อสายมาจากชาวนาอาเซีย ถูกนำมาเป็นเชลยจากชาวอัสสีรีในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล และอยู่ปนกับชาวยิว  เชื้อชาติซามารีตันยังอาศัยอยู่ในเขตปาเลสไตน์จนทุกวันนี้ แม้ว่าจำนวนจะน้อยลงไปมาก
       ศาสนาของพวกเขามาจากเทพนิยายอีบรูและลัทธิชนต่างชาติ และมีศูนย์กลางศาสนกิจอยู่ที่ภูเขาคาริซิม  ที่นั่นมีการสร้างวิหารที่ถูกต้องวิหารเดียวของพวกเขา พวกเขากราบไหว้พระยาห์เวห์ที่วิหารนี้ พวกเขาถือพระคัมภีร์เป็นหลัก เพราะสืบเชื้อสายมาจากชาวฮีบรูโบราณ
       จากภูมิหลังนี้ เกิดความเป็นอริขึ้นระหว่างชาวยูเดียและชาวซามารีตัน  ชาวซามารีตันพร้อมจะฆ่าชาวยูเดียหากผ่านเข้ามาในดินแดนของพวกเขา  ชาวยิวที่เคร่งครัดถือว่าชาวซามารีตันเป็นพวกนอกรีต “มีมลทิน สกปรก และหลงผิด”  
       ในสมัยของพระเยซูเจ้า ถ้าอยากจะดูถูกใครสักคนหนึ่ง ก็มักเรียกคนนั้นว่า “ซามารีตัน”
       พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่าชาวมารีตันเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พร้อมให้การต้อนรับผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา พวกเขามีความเมตตาสงสาร รักเพื่อมนุษย์ เป็นคนรู้คุณ
       ที่เชิงเขาการิซิมมีเมืองหนึ่งชื่อซิเคม ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่มาก ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นนาบลูส ที่นั่นมีบ่อน้ำของยากอบ ยังมีน้ำใสสะอาด ลึกกว่า 30 เมตร เป็นบ่อน้ำที่ชาวยูเดียชอบมาตักน้ำ
       ที่บ่อน้ำนี้ พระเยซูเจ้าทรงพบปะกับสตรีชาวซามารีตัน ที่นักบุญยอห์นเล่าไว้ในพระวรสาร

พระเยซูเจ้ากับชาวสะมาเรีย

        บรรดาชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำพิธีล้างและทรงมีศิษย์มากกว่ายอห์น  ความจริงแล้ว ผู้ทำพิธีล้างไม่ใช่พระองค์แต่เป็นบรรดาศิษย์  เมื่อพระองค์ ทรงทราบเช่นนี้ ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปยังแคว้นกาลิลี  จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย
       พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย  6ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน
       หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
       “ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด”  บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง
       หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า
       “ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่า” เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า
       “หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า 'ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด' ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้ 'น้ำที่ให้ชีวิต' แก่ท่าน"
        นางจึงทูลว่า
        “นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิต มาจากไหน  ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้”  
        พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
        “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก
        แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกน้ำที่เราจะให้เขาจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”

        หญิงนั้นจึงทูลว่า
        “นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก”  
        พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
        “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่”  
        หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า
        “ดิฉันไม่มีสามี” 
        พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
        “เธอพูดถูกแล้วที่ว่า 'ดิฉันไม่มีสามี'  เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียว” 
        หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า
         “ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก  บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม”

 พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
        “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิดถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้าไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จักเพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงเพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิตผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง”
       หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่า พระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” 
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       “เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์”
       ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง” 
       หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า  "มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง" 
       ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า
       “รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”  
        แต่พระองค์ตรัสตอบว่า
       “เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”  
        บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า
       “มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ”
       ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง”
       หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า  ”มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง”
       ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”
       แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”
       บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า “มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ” 
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
        “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงส่งเรามาและการประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป ท่านพูดกันมิใช่หรืออีกสี่เดือนก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวถูกแล้ว เราบอกท่านทั้งหลายว่าจงเงยหน้าขึ้น มองดูทุ่งนาเถิดทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว คนเก็บเกี่ยวกำลังจะรับค่าจ้างและรวบรวมผลไว้เพื่อชีวิตนิรันดรเพื่อทั้งคนหว่าน และคนเก็บเกี่ยวจะมีความยินดีร่วมกัน ในกรณีนี้ก็เป็นจริงตามคำพูดที่ว่าคนหนึ่งหว่าน อีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว เราส่งท่านทั้งหลายไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงแรงทำงานไว้คนอื่นลงแรงไว้ แล้วท่านเข้ามาเก็บผลจากแรงงานของพวกเขา”
       ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เพราะคำของหญิงคนนั้นที่ยืนยันว่า “เขาได้บอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ”  เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน  คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์มีจำนวนมากขึ้น  เขากล่าวแก่หญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง”   (ยน 4: 1-42)




14 พฤษภาคม 2555 พระวรสาร ยน 15:9-17 เถาองุ่นแท้


  3monday38.gif 


14 พฤษภาคม 2555
พระวรสาร ยน 15:9-17 เถาองุ่นแท้ 
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน ”

6monday32.gif

ผู้กลับใจ