6
เดินทางผ่านสะมาเรีย
เพื่อเดินทางกลับกาลิลี พระเยซูเจ้าทรงเลือกเส้นทางที่ชาวกาลิลีใช้เดินทาง นั่นคือ เส้นทางผ่านซามารีย ซึ่งภูมิประเทศเป็นเนินและหุบเขา พืชพันธุ์เขียวชอุ่มและลมพัดมากกว่าเส้นทางผ่านข้ามแม่น้ำจอร์ดัน
สะมาเรียเป็นแค้นปาเลสไตน์ที่ตั้งอยู่ระหว่างกาลิลีกับยูเดอา มีชาวเมืองซามารีตันอาศัยอยู่ เป็นเมืองที่มีกล่าวถึงในพระวรสารบ่อยครั้ง ชาวซามารีตันสืบเชื้อสายมาจากชาวนาอาเซีย ถูกนำมาเป็นเชลยจากชาวอัสสีรีในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล และอยู่ปนกับชาวยิว เชื้อชาติซามารีตันยังอาศัยอยู่ในเขตปาเลสไตน์จนทุกวันนี้ แม้ว่าจำนวนจะน้อยลงไปมาก
ศาสนาของพวกเขามาจากเทพนิยายอีบรูและลัทธิชนต่างชาติ และมีศูนย์กลางศาสนกิจอยู่ที่ภูเขาคาริซิม ที่นั่นมีการสร้างวิหารที่ถูกต้องวิหารเดียวของพวกเขา พวกเขากราบไหว้พระยาห์เวห์ที่วิหารนี้ พวกเขาถือพระคัมภีร์เป็นหลัก เพราะสืบเชื้อสายมาจากชาวฮีบรูโบราณ
จากภูมิหลังนี้ เกิดความเป็นอริขึ้นระหว่างชาวยูเดียและชาวซามารีตัน ชาวซามารีตันพร้อมจะฆ่าชาวยูเดียหากผ่านเข้ามาในดินแดนของพวกเขา ชาวยิวที่เคร่งครัดถือว่าชาวซามารีตันเป็นพวกนอกรีต “มีมลทิน สกปรก และหลงผิด”
ในสมัยของพระเยซูเจ้า ถ้าอยากจะดูถูกใครสักคนหนึ่ง ก็มักเรียกคนนั้นว่า “ซามารีตัน”
พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่าชาวมารีตันเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พร้อมให้การต้อนรับผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา พวกเขามีความเมตตาสงสาร รักเพื่อมนุษย์ เป็นคนรู้คุณ
ที่เชิงเขาการิซิมมีเมืองหนึ่งชื่อซิเคม ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่มาก ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นนาบลูส ที่นั่นมีบ่อน้ำของยากอบ ยังมีน้ำใสสะอาด ลึกกว่า 30 เมตร เป็นบ่อน้ำที่ชาวยูเดียชอบมาตักน้ำ
ที่บ่อน้ำนี้ พระเยซูเจ้าทรงพบปะกับสตรีชาวซามารีตัน ที่นักบุญยอห์นเล่าไว้ในพระวรสาร
พระเยซูเจ้ากับชาวสะมาเรีย
บรรดาชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำพิธีล้างและทรงมีศิษย์มากกว่ายอห์น ความจริงแล้ว ผู้ทำพิธีล้างไม่ใช่พระองค์แต่เป็นบรรดาศิษย์ เมื่อพระองค์ ทรงทราบเช่นนี้ ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปยังแคว้นกาลิลี จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย
พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย 6ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน
หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
“ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง
หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า
“ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่า” เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย
พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า
“หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า 'ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด' ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้ 'น้ำที่ให้ชีวิต' แก่ท่าน"
นางจึงทูลว่า
“นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิต มาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก
แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกน้ำที่เราจะให้เขาจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”
หญิงนั้นจึงทูลว่า
“นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
“จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่”
หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า
“ดิฉันไม่มีสามี”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
“เธอพูดถูกแล้วที่ว่า 'ดิฉันไม่มีสามี' เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียว”
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า
“ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
“นางเอ๋ย เชื่อเราเถิดถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้าไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จักเพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงเพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิตผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง”
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่า พระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์”
ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง”
หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า "มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง"
ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า
“รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”
แต่พระองค์ตรัสตอบว่า
“เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”
บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า
“มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ”
“นางเอ๋ย เชื่อเราเถิดถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้าไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จักเพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงเพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิตผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง”
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่า พระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์”
ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง”
หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า "มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง"
ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า
“รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”
แต่พระองค์ตรัสตอบว่า
“เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”
บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า
“มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ”
ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง”
หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า ”มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง”
ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”
แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”
บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า “มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ”
พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
“อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงส่งเรามาและการประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป ท่านพูดกันมิใช่หรืออีกสี่เดือนก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวถูกแล้ว เราบอกท่านทั้งหลายว่าจงเงยหน้าขึ้น มองดูทุ่งนาเถิดทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว คนเก็บเกี่ยวกำลังจะรับค่าจ้างและรวบรวมผลไว้เพื่อชีวิตนิรันดรเพื่อทั้งคนหว่าน และคนเก็บเกี่ยวจะมีความยินดีร่วมกัน ในกรณีนี้ก็เป็นจริงตามคำพูดที่ว่าคนหนึ่งหว่าน อีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว เราส่งท่านทั้งหลายไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงแรงทำงานไว้คนอื่นลงแรงไว้ แล้วท่านเข้ามาเก็บผลจากแรงงานของพวกเขา”
ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เพราะคำของหญิงคนนั้นที่ยืนยันว่า “เขาได้บอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ” เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์มีจำนวนมากขึ้น เขากล่าวแก่หญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง” (ยน 4: 1-42)
หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่า ”มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง”
ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์ ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด”
แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก”
บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า “มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ”
พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
“อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงส่งเรามาและการประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป ท่านพูดกันมิใช่หรืออีกสี่เดือนก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวถูกแล้ว เราบอกท่านทั้งหลายว่าจงเงยหน้าขึ้น มองดูทุ่งนาเถิดทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว คนเก็บเกี่ยวกำลังจะรับค่าจ้างและรวบรวมผลไว้เพื่อชีวิตนิรันดรเพื่อทั้งคนหว่าน และคนเก็บเกี่ยวจะมีความยินดีร่วมกัน ในกรณีนี้ก็เป็นจริงตามคำพูดที่ว่าคนหนึ่งหว่าน อีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว เราส่งท่านทั้งหลายไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงแรงทำงานไว้คนอื่นลงแรงไว้ แล้วท่านเข้ามาเก็บผลจากแรงงานของพวกเขา”
ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เพราะคำของหญิงคนนั้นที่ยืนยันว่า “เขาได้บอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ” เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์มีจำนวนมากขึ้น เขากล่าวแก่หญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง” (ยน 4: 1-42)