10 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู 22.ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com




              22 ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ


       เมื่อใกล้ฉลองเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามการฉลองที่สำคัญที่สุดของชาวยิว ซึ่งตกอยู่ในช่วงสมโภชปัสกาและฉลองการเก็บเกี่ยว
       ในช่วงเวลานั้น ประชาชนพากันหากิ่งไม้เขียวมาทำเป็นเพิงตามลานสาธารณะต่างๆ เป็นการฉลองแปดวัน มีการทานอาหาร ตั้งขบวนและแห่ไปยังพระวิหาร พร้อมกับร้องเพลงด้วยความยินดีเริงร่า
      ในปฏิทินชาวยิว มีฉลองอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่นว่า ฉลองการชดเชย ฉลองการเจิมพระวิหารเป็นต้น
       วันธรรมดาระหว่างสัปดาห์ มีการจัดไปตามลำดับตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นวันสับบาโต ซึ่งถือเป็นวันหยุดพักผ่อน  ซึ่งเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์ มีการถือกฎหยุมหยิมหลายอย่างด้วยความเคร่งครัด ซึ่งพระเยซูเจ้าไม่ทรงเห็นชอบด้วย พระองค์ตรัสยืนยันว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เพื่อวันสับบาโต”
       เพื่อระบุเวลาระหว่างวัน มีการกำหนดเวลาหลัก ๆ อยู่สี่ตอน นั่นคือ ตอนที่หนึ่ง (เวลา 06.00 น.) ตอนที่สาม (เวลา 09.00 น.) และตอนที่เก้า (เวลา 13.00 น.) ส่วนเวลากลางคืนแบ่งเป็นการตื่นเฝ้าสี่ตอน แต่ละตอนมีสามชั่วโมง  การตื่นเฝ้าหมายถึงเวลาของคนเฝ้ายามกะกลางคืน
       พระเยซูเจ้าตรัสหลายครั้งว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา” หรือ “เวลาของเรายังมาไม่ถึง”  คำว่า “เวลาของเรา” สำหรับพระองค์หมายถึงเวลาแห่งความตายของพระองค์เพื่อช่วยโลกให้พ้นจากบาปและเวลาแห่งสิริมงคลและการกลับไปหาพระบิดาเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มาทำตามแผนการของพระองค์การที่พระองค์ทรงยืนยันว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก ทำให้ชาวยิวบางคนพยายามจะจับกุมพระองค์และประหารชีวิตพระองค์  แต่ความพยายามของพวกเขาไร้ผล เพราะยังไม่ใช่เวลาของพระองค์
       พระองค์ยังต้องกระทำกิจการของพระบิดาเจ้าเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากความบอดมืดด้านจิตใจและจากการเป็นทางของซาตาน พระทรงทำเช่นนั้นเมื่อทรงยกบาปให้หญิงผิดประเพณี รักษาคนตาบอดแต่กำเนิดในวันสับบาโต อีกทั้งทรงสัญญาว่าจะประทานพระจิตของพระเจ้าให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ทรงเป็นนายชุมพาบาลที่ดีที่และพร้อมจะสละชีวิตเพื่อความรอดของลูกแกะ ทรงประทานความจริงเพื่อปลดปล่อยผู้ที่ยังถูกจองจำในความผิดหลงต่างๆ ทั้งด้านจิตวิทยา ด้านสังคม และด้านวัฒนธรรม
      เพราะเหตุนี้ หัวหน้าชาวยิวเริ่มวางแผนจะกำจัดพระเยซูเจ้าและปิดฉากภารกิจของพระองค์ •

พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลอง 

       านฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว  บรรดาพี่น้องของพระองค์ กล่าวกับพระองค์ว่า
       “จงออกจากที่นี่ เดินทางไปในแคว้นยูเดียเถิด เพื่อบรรดาศิษย์ของท่าน จะเห็นกิจการที่ท่านทำด้วย  ไม่มีใครซ่อนเร้นสิ่งใด ถ้าต้องการให้ทุกคนรู้ ถ้าท่านกำลังทำกิจการเหล่านี้อยู่ ก็จงแสดงตนให้โลกเห็นเถิด”
        แม้แต่พี่น้องของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์
        พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
       “เวลาของเรายังมาไม่ถึง แต่เวลาของท่านทั้งหลายนั้นพร้อมอยู่เสมอ  โลกไม่เกลียดชังท่าน แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานยืนยันว่า กิจการของโลกนั้นชั่วร้าย ท่านทั้งหลายจงขึ้นไปร่วมงานฉลองกันเถิด เราจะไม่ขึ้นไป ร่วมงานฉลองนี้ เพราะเวลาของเรายังไม่ครบกำหนด”
       เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบ ๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น  ในระหว่างงานฉลอง ชาวยิวพยายามแสวงหาพระองค์พูดกันว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน”  ประชาชนซุบซิบกันมาก ถึงพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก”
แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวชาวยิว ยน7 : 2-13
       มื่อเทศกาลฉลองผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังพระวิหาร และทรงเริ่มเทศน์สอน  ชาวยิวต่างประหลาดใจ กล่าวว่า
       “ผู้นี้รู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
       "คำสอนของเราไม่ใช่ของเราแต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้ใดต้องการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้นั้นจะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจตนเอง ผู้ที่พูดตามใจตนเองย่อมแสวงหาเกียรติของตนแต่ผู้ที่แสวงหาพระสิริรุ่งโรจน์ของผู้ทรงส่งเขามาย่อมพูดความจริงและไม่มีความทุจริตแต่อย่างใด โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือถึงกระนั้น ไม่มีท่านใดปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้น”ทำไมท่านจึงพยายามจะฆ่าเรา”                  
       ประชาชนตอบว่า
       “ท่านบ้าไปแล้ว ใครพยายามจะฆ่าท่าน”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราได้กระทำเพียงกิจการเดียว และท่านทุกคนก็แปลกใจ โมเสสได้กำหนดให้ท่านเข้าสุหนัต อันที่จริง พิธีสุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ และท่านก็ทำพิธีสุหนัตในวันสับบาโตด้วย
       ถ้ามนุษย์รับพิธีสุหนัตในวันสับบาโตได้ โดยไม่ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสส ทำไมท่านจึงโกรธ ที่เราได้รักษาคนทั้งตัวให้หายจากโรคในวันสับบาโตเล่า อย่าตัดสินตามที่เห็น แต่จงตัดสินตามความยุติธรรมเถิด”

ประชาชนถกเถียงกันเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์


       ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า  ดูซิ คนนี้กำลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจ ยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์  พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน”
       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหารพระองค์ตรัสเสียงดังว่าท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหนเราไม่ได้มาตามใจตนเองพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงส่งเรามา
ยน 7: 14-29
       นเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าจะทรงจากไป


      ประชาชนจำนวนมากเชื่อในพระองค์ พูดว่า “เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงทำเครื่องหมายอัศจรรย์มากกว่าที่ผู้นี้ได้ทำหรือ”
      ชาวฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบเกี่ยวกับพระองค์เช่นนี้ จึงร่วมมือกับบรรดาหัวหน้าสมณะ ส่งยามรักษาพระวิหารไปจับกุมพระองค์ 
      พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่าเราอยู่กับท่านอีกไม่นานแล้วเราจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบเราอยู่ที่ไหนท่านไปทีนั่นไม่ได้ ชาวยิวจึงพูดกันว่า คนนี้กำลังจะไปไหนเราจึงพบเขาไม่ได้ เขาตั้งใจจะไปหาชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่ชาวกรีก และตั้งใจไปสอนชาวกรีกหรือ  เขาหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวว่า”ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบเราอยู่ที่ไหนท่านไปที่นั่นไม่ได้” ยน 7: 30-36 

พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานน้ำที่ให้ชีวิต
       นวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิงซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูเจ้าทรงยืนและตรัสเสียงดังว่าผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด
       ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิดตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า
       “ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมา จากภายในผู้นั้น”
       พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ามิได้ประทานพระจิตเจ้าให้ เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ ยน 7: 37-39


ประชาชนโต้เถียงกันอีกเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์


       มื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็นประกาศกจริง ๆ”  บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ  พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่า พระคริสตเจ้าจะต้องมาจากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่”
       ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์  บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม ยน 7: 40-44
       หารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า     
       “ทำไมท่านทั้งหลายไม่นำเขามาด้วยเล่า”
       ทหารยามตอบว่า
       “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย”
       ชาวฟาริสีถามว่า
       “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ  มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา  แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว”
       ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า
       "ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไรเสียก่อน”
       เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า
       “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย”
       แล้วทุกคนก็กลับบ้าน ยอห์น7: 45-53
       ระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อม
พระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
       บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า
       “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี  ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร”
       เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า     
       “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
       แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป
       เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม
พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า
       “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ”
       หญิงคนนั้นทูลตอบว่า
       “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า”
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก” ยน 8: 1-11

พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก

       ระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่าเราเป็นแสงสว่างส่องโลกผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต

พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานให้ตนเองได้หรือไม่
 




       ชาวฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่า
       “ท่านเป็นพยานให้กับตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่น่าเชื่อถือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเองคำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือเพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหน และกำลังจะไปไหนแต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าเรามาจากไหน และกำลังจะไปไหน
ท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์แต่เราไม่พิพากษา ผู้ใดและถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใดคำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือเพราะเราไม่อยู่คนเดียวแต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่าคำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ เราเป็นพยานให้ตนเองและพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย
       เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า
       “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด”
       พระเยซูเจ้าตรัสว่าท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเราถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงรู้จักพระบิดาของเราด้วย
       พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในบริเวณที่วางของถวาย ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง ยน 8: 12-20

    
   พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาเหล่านั้นอีกว่า
       "เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่านที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
       ชาวยิวจึงพูดว่า
       “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”’
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       "ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่างแต่เรามาจากเบื้องบนท่านเป็นของโลกนี้แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น  เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”
       เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า
       “ท่านเป็นใคร”
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่านแต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะสิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”
       คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่าเมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้นเมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็นและรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเองแต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตอยู่กับเราพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพังเพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอยอห์น8: 21-29


11 มิถุนายน นักบุญ บาร์นาบัส อัครธรรมทูต

นักบุญ บาร์นาบัส อัครธรรมทูต
 

ชื่อเดิมของ นักบุญ บาร์นาบัส คือยอแซฟ  แต่พวกอัครธรรมทูตได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่า “บาร์นาบา” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีหน้าที่ตักเตือน” หรือ “ประกาศก” นั่นเอง

นักบุญ บาร์นาบัส ถือกำเนิดจากเชื้อสายของเลวีและเป็นชาวเกาะไซปรัส ท่านเป็นคนดี มีความเชื่อ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้า

เนื่องจากท่านเป็นเจ้าของที่นาแปลงหนึ่ง ท่านก็ได้เอาไปขายและได้นำเงินมามอบให้ที่แทบเท้าของบรรดาอัครธรรมทูต   นี่เป็นคำชมที่นักบุญ ลูกาได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการอัครธรรมทูตของท่าน ( กจ. 4:36-37 )

ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นที่ต้องการทั้งในกลุ่มที่มีเชื้อสายชาวฮีบรูและในกลุ่มที่เป็นชาวกรีกด้วย ตลอดชีวิตของท่านรู้สึกว่าท่านต้องคอยเป็นคนกลางอยู่เรื่อย ท่านต้องคอยไกล่เกลี่ยระหว่างพวกผู้ใหญ่ของคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันในด้านวัฒนธรรมและภาษา และได้เป็นผู้ที่แนะนำนักบญ เปาโล ให้กับกลุ่มคริสตชนที่เป็นชาวยิว ( กจ. 9: 27; กท. 2: 8-10 ) ท่านได้เป็นผู้ให้กำลังใจและแรงกระตุ้นแก่กลุ่มคริสตชนที่เมือง “อัน ติโอก” (กจ 11:22-30 )ซึ่งก็เป็นตัวอย่างแรกของพระศาสนจักรที่

ได้ยอมรับพวกกรีกมากกว่าฮีบรู ( กจ. 11:19-21 )ท่านได้เป็นเพื่อนร่วมเดินทางของนักบุญ เปาโล ในการเดินทางแพร่ธรรมครั้งแรก ( กจ. 13-14 ) แต่เนื่องด้วยนักบุญ เปาโล เป็นคนแข็งไม่ยอมใครง่ายๆ ที่สุดท่านจึงทำงานแพร่ธรรมของท่านลำพังคนเดียว (กจ.15: 36.40 )

นักพระคัมภีร์บางคนเชื่อว่าท่านอาจจะเป็นผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรู เพราะท่านได้รับการศึกษาอบรมในแวดวงของพระสงฆ์และรู้จักมักคุ้นกับความคิดต่างๆ ของนักบุญ เปาโล ซึ่งได้ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่า ท่านสามารถแต่งจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาซึ่งเป็นงานเขียนชิ้นแรกที่พูดถึงศักดิ์สงฆ์ของคริสตศาสนา





นักบุญ บาร์นาบัส 

.....................................................................................

อัครธรรมทูต
11 มิถุนายน
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ

1. ขอให้การมาร่วมถวายบูชามิสซาของเราทุกครั้งได้เป็นพลังที่เพิ่มความหวังในชีวิตนิรันดร์ ให้กับเรายิ่งๆ ขึ้น
2. ให้เราได้รู้จักเก็บข้อคิด ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าใน
     พระวาจาของพระองค์ที่เราได้ฟังขณะที่เรามาร่วมถวายบูชามิสซา
3. ขอให้เราได้เป็นพยานยืนยันกับการกระทำของเราว่าบูชามิสซาและศีลมหาสนิทที่เราได้รับได้ช่วยเปลี่ยนชีวิตของเรา
4. ขอให้บูชามิสซาได้ช่วยทวีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องในระหว่างผู้ที่มาร่วมถวายบูชามิสซาด้วย

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012 สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า

 
ในสังคมที่มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย อาหารหลักเช่น ข้าวและน้ำไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่สำหรับประชาชนอีกเป็นจำนวนมากในโลก สิ่งเหล่านี้ยังเป็นปัญหาอยู่ ดังนั้น พวกเขาสามารถเข้าใจได้ดีกว่าเราว่า นี่เป็นเครื่องหมายของความรักและการเอาใจใส่อย่างแท้จริง เมื่อพระเจ้าทรงเข้ามาเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ สำหรับพวกเขา น้ำและข้าวเป็นเรื่องของความเป็นความตาย บ่อยครั้งเราที่เจริญแล้วในความสะดวกสบายหิวกระหายค่านิยมอื่น ๆ มากกว่าการดำรงอยู่ของชีวิตฝ่ายกาย ในสังคมที่ทำลายความสำคัญของบุคคล เราต้องทนทุกข์เนื่องมาจากการขาดบุคคลในที่ที่ไม่ควรขาด เราหิวกระหายมิตรภาพ  ความรัก ความอาทร  ความกรุณา ความเคารพซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาในครอบครัวใหญ่ของผู้คนในสมัยก่อน แล้วอะไรเป็นความต้องการที่ใหญ่กว่ากัน? 

ในที่ที่เราต้องการทรมานอยู่กับการขาดบุคคล  พระเยซูเจ้าประสงค์ที่จะประทับอยู่กับเราด้วยความอาทร และความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน  ในเครื่องหมายของอาหารประจำวันที่แสนธรรมดาสำหรับชาวตะวันออก คือ น้ำ ขนมปังและเหล้าองุ่น พระเยซูเจ้าทรงบ่งบอกความหมายของการประทับอยู่ของพระองค์กับเรา พระองค์ต้องการแบ่งปันชีวิต ต้องการเสริมกำลัง ต้องการที่จะมีความหมายอะไรบางอย่างสำหรับเรา
เมื่อเราฉลองศีลแห่งการบูชาขอบพระคุณ  เราฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้านี้ร่วมกับหมู่คณะ จงเปิดตัวเองออกเพื่อทำให้ “ความชิดสนิท” เป็นไปได้ “พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นอยู่ในเรา และเราก็อยู่ในผู้นั้น”
นักบุญโธมัส  อากวีนัสได้กล่าวถึงงานเลี้ยงประเสริฐและน่าอัศจรรย์ ของวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าไว้ว่า

โดยเหตุที่เป็นน้ำพระทัยของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์มีส่วนร่วมในพระเทวภาพของพระองค์  พระองค์ทรงรับเอาธรรมชาติของเราเพื่อว่าการเป็นมนุษย์ของพระองค์ จะสามารถทำให้เรามนุษย์สูงส่งด้วยชีวิตพระ เมื่อพระองค์ทรงรับเอาเนื้อหนังของเรา พระองค์ทรงอุทิศสภาพทั้งครบของพระองค์ เพื่อความรอดของเรา พระองค์ทรงถวายพระกายของพระองค์แด่พระบิดาบนพระแท่นแห่งกางเขน เพื่อเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของเรา พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่เรา ให้พ้นจากพันธะอันน่าสมเพชและทรงชำระเราให้บริสุทธิ์จากบาป แต่เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ซึ่งพระองค์ทรงมีต่อเราตลอดกาล พระองค์ได้ประทานพระกายเป็นอหาร และพระโลหิตเป็นเครื่องดื่ม ในรูปของขนมปังและเหล้าองุ่น เพื่อผู้ที่มีความเชื่อจะได้บริโภค

........................................................


งานเลี้ยงประเสริฐและน่าอัศจรรย์  ซึ่งนำความรอดมาสู่เรา และเปี่ยมด้วยความหวานชื่น จะมีอะไรมีค่ามากกว่านี้อีกหรือ? ในพันธสัญญาเดิมชาวอิสราเอลถวายเนื้อลูกวัวและแพะเป็นเครื่องบูชา แต่ในที่นี้ พระคริสตเจ้าเององค์พระเจ้าแท้ได้ถูกตั้งไว้ต่อหน้าเราเพื่อเป็นอาหารสำหรับเรา จะมีสิ่งใดน่าพิศวงยิ่งไปกว่านี้อีกหรือ? ไม่มีศีลศักดิ์สิทธิ์ใดมีฤทธิ์บำบัดรักษายิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยทางศีลนี้ บาปถูกขจัดไปสิ้น คุณธรรมทวีขึ้น และวิญญาณก็มั่งคั่งด้วย พระคุณฝ่ายจิตทุกประการ ในพระศาสนจักรมีการถวายบูชาอุทิศแด่ผู้มีชีวิตและผู้ล่วงลับ  เพื่อสิ่งที่ทรงตั้งไว้เพื่อความรอดของทุกคน  จะได้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ถึงกระนั้นก็ดีไม่มีใครสามารถเผยความหวานชื่นของศีลนี้ได้อย่างครบถ้วนได้ ในศีลนี้วิญญาณได้ดื่มด่ำและลิ้มรสจากแหล่งกำเนิด ในศีลนี้เรารื้อฟื้นอนุสรณ์แห่งความรัก ซึ่งพระคริสตเจ้าทรงเผยแสดงในพระทรมานของพระองค์

เพื่อประทับความรักอันหาขอบเขตมิได้นี้  ในดวงใจของผู้ที่มีความเชื่อให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พระเยซูเจ้าจึงทรงตั้งศีลนี้ ในการเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้าย หลังจากทรงฉลองปัสกากับสานุศิษย์ของพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังจะทรงละจากโลกนี้ ไปหาาพระบิดา  ทรงมอบศีลนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งพระทรมานของพระองค์ เป็นการทำให้รูปแบบในโบราณกาลสำเร็จไป และเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่กว่าอัศจรรย์ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำ ซึ่งพระองค์ทรงมอบไว้เป็นบรรเทาสำหรับผู้ที่ทุกข์เศร้าในการจากไปของพระองค์ (นักบุญโธมัส อากวีนัส)




พระวรสารนักบุญมาระโก มก 14:12-16,22-24 วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012


10 มิถุนายน 2012

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 24:3-8 -- วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012


  zwani.com myspace graphic comments 

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012
พระวรสารนักบุญมาระโก 
มก 14:12-16,22-24

         วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ‘พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน?’ พระองค์จึงทรงใช้ศิษย์สองคนไป สั่งเขาว่า ‘จงเข้าไปในกรุง แล้วจะพบชายคนหนึ่งกำลังเดินแบกหม้อน้ำอยู่ จงตามเขาไป เขาเข้าไปที่ไหน จงถามเจ้าของบ้านว่า “พระอาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะกินปัสกากับบรรดาศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน?” เขาจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนมีพรมปูไว้เรียบร้อย จงจัดเตรียมปัสกาไว้สำหรับพวกเราที่นั่นแหละ’ ศิษย์ทั้งสองคนได้ออกเดินทางเข้าไปในกรุง พบสิ่งต่างๆดังที่พระองค์ได้ทรงบอกไว้ จึงได้เตรียมปัสกา

        ขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง กล่าวถวายพระพร ทรงบิออก ยื่นให้เขาเหล่านั้น ตรัสว่า ‘จงรับเถิด นี่คือกายของเรา’ แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย กล่าวขอบพระคุณ ทรงยื่นให้เขาและทุกคนได้ดื่มจากถ้วยนั้น พระองค์ตรัสแก่เขาว่า ‘นี่คือโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อคนจำนวนมาก

ข้อคิด
        เมื่อคนที่อยู่ด้วยกันจะต้องจากกัน มักจะมอบของที่ระลึกให้แก่กันและกัน เป็นการเตือนความทรงจำว่า เพื่อแสดงความทรงจำซึ่งกันและกัน พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า จะต้องสิ้นพระชนม์ ทรงมีความปรารถนาจะอยู่กับเราต่อไป พระองค์ทรงตั้งศีลมหาสนิทขึ้น เพื่อระลึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์กับบุคคลที่พระองค์ทรงรักบนโลกนี้ ในวันฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า ไม่เป็นเพียงการระลึกถึงพระองค์ ในรูปแบบของๆที่ระลึก แต่เป็นการระลึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์ ในรูปของปังและเหล้าองุ่น ที่กลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระองค์ เมื่อพระสงฆ์ได้สวดภาวนาเสกในมิสซา
zwani.com myspace graphic comments

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 9:11-15 -- วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012


  zwani.com myspace graphic comments 

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012 
บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู 
ฮบ 9:11-15

          พี่น้อง พระคริสตเจ้าได้เสด็จมาเป็นมหาสมณะผู้นำพระพรต่างๆที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานนั้นมาให้ พระองค์ได้เสด็จผ่านกระโจมที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ทั้งมิใช่กระโจมอันสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือมิใช่กระโจมของโลกนี้ พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำไปด้วยมิใช่เลือดแพะและเลือดลูกวัว แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงกระทำให้การไถ่กู้นิรันดรสำเร็จไป ถ้าหากว่าเลือดแพะและเลือดวัว และเถ้าของวัวตัวเมียที่ประพรมตัวบุคคลที่มีมลทิน ยังทำให้เขาบริสุทธิ์สามารถร่วมศาสนพิธีได้ จะนับอะไรกับพระโลหิตของพระคริสตเจ้า ย่อมจะชำระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์จากกิจการที่ตายแล้วได้มากกว่านั้นสักเพียงไร เพื่อจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต พระคริสตเจ้าทรงถวายพระองค์โดยปราศจากตำหนิมลทินแด่พระเจ้าเดชะพระจิตเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดร

        ดังนั้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางในการทำพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเรียกให้เป็นทายาทกองทรดกนิรันดรได้รับตามพระสัญญา เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตายเพื่อลบล้างการล่วงละเมิดตามเงื่อนไขของพันธสัญญาเดิมแล้ว



zwani.com myspace graphic comments

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 24:3-8 -- วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012


  zwani.com myspace graphic comments 

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012 
บทอ่านจากหนังสืออพยพ 
อพย 24:3-8


          โมเสสไปบอกให้ประชากรรู้พระวาจาทุกคำและข้อกำหนดทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบัติตามพระวาจาทุกคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา” โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงเขา และตั้งหินสิบสองก้อนไว้เป็นตัวแทนทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลเป็นผู้ถวายเครื่องเผาบูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศานติบูชา โมเสสรองเลือดครึ่งหนึ่งใส่ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญาขึ้นมาอ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” โมเสสนำเลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด
zwani.com myspace graphic comments

มานาประจำวัน ~ ไม่ได้รับคำตอบ

พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง
 เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ 
ไม่อ่อนระอาใจ ( ลูกา 18:1 )


สิ่งหนึ่งที่ฉันต้องต่อสู้อย่างยากลำบากคือการอธิษฐานแล้วไม่ได้รับคำตอบ คุณอาจเป็นเหมือนกัน คุณขอพระเจ้าให้ช่วยเพื่อนของคุณให้เลิกติดยาเสพติด ให้ประทานความรอดแก่คนที่คุณรัก ให้ช่วยรักษาเด็กที่เจ็บป่วย หรือให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า คุณอธิษฐานเป็นเวลาหลายปี แต่คุณไม่ได้ยินพระเจ้าตอบ และไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นเลย
คุณบอกพระเจ้าว่าพระองค์ทรงฤทธานุภาพและคุณทูลขอสิ่งที่ดี คุณคร่ำครวญ รอคอย และสงสัยว่าพระเจ้าอาจจะไม่ได้ยิน หรือพระองค์อาจจะไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร แล้วคุณก็เลิกขอจนผ่านไปหลายวันหลายเดือน คุณรู้สึกผิดที่สงสัยแล้วคุณก็คิดได้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้คุณนำเอาปัญหาและความปรารถนามาบอกพระองค์และคุณก็เริ่มต้นทูลขอใหม่
บางครั้ง เราอาจรู้สึกว่าเราเป็นเหมือนกับหญิงม่ายในคำอุปมาของพระเยซูในลูกา 18 เธอเฝ้ามาหาผู้พิพากษา ตามตื้อเขาและพยายามเซ้าซี้เพื่อให้เขาใจอ่อน แต่เรารู้ว่าพระเจ้าทรงพระเมตตาและมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าผู้พิพากษาคนนั้น เราไว้วางใจในพระองค์ เพราะพระองค์แสนดีและทรงพระสติปัญญาและทรงอำนาจสูงสุด เรารู้ว่าพระเยซูทรงบอกให้เรา “ควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ” (ลก.18:1)
เราจึงร้องขอให้พระองค์ “ทรงเรียกอานุภาพของพระองค์มา ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสำแดงพระกำลังของพระองค์ พระองค์ผู้ได้ทรงกระทำเพื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย” (สดด.68:28) เราจึงเชื่อวางใจในพระองค์…และรอคอย – AMC
ในฐานะคริสเตียนบุตรพระเจ้า จงคุกเข่าอธิษฐานไม่วายเว้น
ด้วยจิตใจร้อนรนหวังจะเห็น พระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจฤทธา – Chisholm
การตอบช้าไม่ใช่การปฏิเสธ
ดังนั้นจงอธิษฐานต่อไป


ผู้กลับใจ