25 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 16.ฟาริสีจ้องจับผิด

bluesilvanimcross.gif
16
ฟาริสีจ้องจับผิด


       นบรรดาชาวยิวมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเกิดมีการแบ่งเป็นขบวนการหรือพรรคการเมือง-ศาสนา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มีบทบาทในการบริหารหรือปกครองประเทศ อาทิ ฟาริสี ซัดดูสี พวกร้อนรน พวกเฮรอด เป็นต้น
       ฟารีสี เป็นฆราวาส ไม่ใช่พระสงฆ์ พวกเขาถือกฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด ยึดธรรมเนียมที่ส่งทอดกันมาปากต่อปากอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งสิ่งที่เขียนทั้งหมด ซึ่งมีการเก็บรวบรวมและตีความจากอาจารย์กฎหมาย
       พวกเขาถูกเรียกว่าฟาริสีเพราะ “แยกตัว” ออกจากคนที่ไม่ใช่ยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ยอมคล้อยตามไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น
       ในสมัยของพระเยซูเจ้า ฟาริสีคือคนเคร่งศาสนา ปฏิบัติกฎข้อบังคับและธรรมเนียมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด แต่ก็เป็นคนหยิ่งจองหอง เชื่อว่าตนเป็นคนชอบธรรมมากกว่าใคร
       ฟาริสีถือว่าตนไม่มีที่ตำหนิ ไม่ใช่ขโมยหรือฆาตกร ไม่เอาเปรียบคน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโสเภณี และถือว่าตนดีเยี่ยงพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเตือนศิษย์ให้ระวังฟาริสี เพราะพวกเขาถืออำนาจในการสั่งสอน แต่พฤติกรรมของฟาริสีตรงข้ามกับสิ่งที่สอนประชาชน จึงเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก นอกนั้น เมื่อทำอะไรก็ชอบทำให้คนเห็นและชม ไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้า

       กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้าทรงมีเพื่อนบางคนเป็นฟาริสี ศิษย์จึงมีพวกเขาเป็นฝ่ายเดียวกันในการต่อต้านพวกซัดดูสี ทว่า อิสภาพที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อหน้ากฎต่างๆ อีกทั้งการที่พระองค์ทรงทำตัวเป็นเพื่อนของคนบาปและคนต่างชาติ ก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น
        ซัดดูสี เป็นพวกที่ยอมรับกฎ แต่ไม่ยอมรับธรรมเนียมประเพณี ทั้งที่ส่งทอดกันมาปากต่อปาก ทั้งที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
       ซัดดูสีเคร่งครัดศาสนาน้อยกว่าฟาริสี เอาแต่สนใจการเมืองและธุรกิจ ซัดดูสีสืบทอดมาจากครอบครัวสงฆ์ ซัดดูสีเป็นชื่อสืบทอดมาจากชื่อซาโดค ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวสงฆ์ พวกเขาสนใจวัตถุมากกว่าชีวิตฝ่ายจิต ไม่ยอมรับพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า พระหรรษทาน และแม้กระทั่งพระเมตตาของพระเจ้า  เพราะเหตุนี้ ซัดดูสีจึงต่อต้านพระเยซูเจ้าและศิษย์ของพระองค์ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าแต่ภายนอก แต่ภายในไม่ยอมเชื่ออะไรทั้งนั้น
       ในพระวรสารมีพูดถึง ธรรมาจารย์ หลายครั้ง พวกเขาเป็นอาจารย์กฎหมายและมีหน้าที่ตีความพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ ตีความกฎของโมเสส และตั้งข้อบังคับให้หมู่คณะปฏิบัติตาม บทบาทนี้ทำให้ธรรมาจารย์มีอภิสิทธิ์และมีอิทธิพลเหนือประชาชน
       ธรรมาจารย์คบค้ากับฟาริสี บางคนเป็นสมาชิกศาลซีเนดรีโอ ร่วมกับพระสงฆ์ใหญ่และผู้อาวุโส ซึ่งตัดสินพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์สอนทุกคนว่าต้นเหตุของความอยุติธรรม ความรุนแรง สงครามนั้นมาจากในใจคน เพราะความชั่วออกมาจากจิตใจของมนุษย์ •


ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี
 

       ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระองค์พร้อมกัน เขาสังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน  
       เพราะชาวฟาริสีและชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่น ๆ อีกมาก เช่น  การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง
       ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า        "ทำไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษและทำไมเขาจึงกินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาดเล่า"
       พระองค์ตรัสตอบว่า "ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปากแต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
       เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมายเขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
       "ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์"แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า "ท่านช่างชำนาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่านเองเสียจริง ๆ "
       เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือบิดามารดาและใครด่าบิดาหรือมารดาจะต้องรับโทษถึงตาย  แต่ท่านกลับสอนว่า "ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดาหรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำมาช่วยเหลือพ่อแม่ได้นั้นเป็นคอร์บัน คือของถวายแด่พระเจ้า" ท่านก็บอกว่าเขาไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป       ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อ ๆ กันมาทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติเช่นนี้อีกมากมาย"
       
สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทิน 

       พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า "ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด  ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน  ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด"
       เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จึงทูลถามพระองค์ถึงข้อความที่เป็นปริศนานั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า "ท่านก็ไม่มีปัญญาด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ จากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์นั้นทำให้เขามีมลทินไม่ได้
เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย"
       ดังนี้ ทรงประกาศว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน  พระองค์ยังตรัสอีกว่า "สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน  จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน  การมีชู้  ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส  ความโง่เขลา  สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายในและทำให้มนุษย์มีมลทิน"



พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวซีโรฟีนีเซีย 

       พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระ และเสด็จเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้  ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งมีบุตรหญิงถูกปีศาจสิงได้ยินพูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท  นางไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนีเซียโดยกำเนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ปีศาจออกจากบุตรหญิง
       พระองค์ตรัสกับนางว่า
       "ให้ลูก ๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน"
       หญิงนั้นทูลตอบว่า
       "ถูกแล้ว พระเจ้าข้า  แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูก ๆ"  
       พระองค์จึงตรัสกับนางว่า
       "เพราะถ้อยคำนี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว"
       เมื่อกลับมาถึงบ้าน  นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว  มก7: 24-30

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนใบ้หูหนวก 
       พระองค์เสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดน
ทศบุรี
       มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลขอร้องไห้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์  พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา  ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า "เอฟฟาธา" แปลว่า "จงเปิดเถิด"  ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน
       พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ยิ่งห้าม ก็ยิ่งเล่าลือกันมากขึ้น  ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า "คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้" มก7: 31-37



อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งที่สอง 
       ครั้งนั้น ประชาชนมากมายชุมนุมกันอีก และไม่มีอะไรกิน พระองค์จึงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสกับเขาว่า
       "เราสงสารประชาชนเพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน  ถ้าเราให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทาง เพราะมีหลายคนเดินทางมาจากที่ไกล"
       บรรดาศิษย์จึงทูลตอบว่า
       "ใครจะหาอาหารในที่เปลี่ยวเช่นนี้มาให้คนเหล่านี้กินจนอิ่มได้"      
       พระองค์ตรัสถามว่า
       "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน"
        เขาทูลว่า
       "เจ็ดก้อน"
       พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นดินทรงหยิบขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงบิขนมปัง  ประทานให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่าย  เขาก็แจกจ่ายขนมปังให้ประชาชน เขายังมีปลาตัวเล็ก ๆ อยู่บ้าง พระองค์ทรงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า ทรงสั่งให้แจกจ่ายปลาเช่นเดียวกัน
       ทุกคนกินจนอิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้า
       ผู้ที่กินขนมปังและปลามีประมาณสี่พันคนพระองค์ทรงส่งเขากลับไป  แล้วพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปยังบริเวณเมืองดาลมานูธา ทันที มก8: 1-10

ชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากฟ้า 
       ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ  
       พระองค์ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า "คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย"  
       แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง มก8: 11-13


เชื้อแป้งของชาวฟาริสีและของกษัตริย์เฮโรด
       บรรดาศิษย์ลืมนำขนมปังไปด้วยและในเรือของเขามีขนมปังเหลือเพียงก้อนเดียว  พระองค์ทรงกำชับเขาว่า
       "จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสี และเชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด"
       บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า
      "นี่เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง"
       พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า
      "ทำไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือ  18มีตาแต่ไม่เห็นมีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ ท่านจำไม่ได้หรือว่า เมื่อเราบิขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง" เขาตอบว่า
      "สิบสองกระบุง"
      "เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า"
      เขาทูลตอบว่า
      "เจ็ดตะกร้า"
      แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า
      "ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ" มก8: 14-21

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดที่เมืองเบธไซดา 
       พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงเมืองเบธไซดา มีผู้นำคนตาบอดคนหนึ่งมาขอให้พระองค์ทรงสัมผัส
       พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขาว่า
       "ท่านเห็นอะไรไหม"  
       เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า
       "ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับต้นไม้เดินไปเดินมา"
       พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีก เขาก็เห็นชัด และหายเป็นปกติ มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
       พระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้าน ตรัสว่า
       "อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน" มก8: 22-26




นักบุญฟิลิป เนรี 26 พฤษภาคม


นักบุญ ฟิลิป เนรี เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ ในปี1515 แต่เป็นชาวกรุงโรมเพราะชีวิตส่วนใหญ่ของท่านอยู่ที่กรุงโรม คนทั่ว ๆ ไปมักจะเรียกท่านว่า “คุณพ่อปิปโป ผู้ใจดี” ทั้งนี้เป็นเพราะนิสัยของท่านที่ร่าเริงแจ่มใส รวมทั้งความมีชีวิตชีวาของท่านด้วย ถึงกระนั้นท่านก็ได้พยายามที่จะบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยเร็ว
ท่านได้เข้ากลุ่มพวกพระสงฆ์ซึ่งได้อุทิศตัวเองให้กับการภาวนา การช่วยเหลือคนเดินทาง และคนป่วยที่น่าสงสารที่ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ ท่านได้รวบรวมเยาวชนขึ้นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการที่จะเจริญชีวิตนักบวชที่เข้มข้น และได้กลายเป็นคณะโอราตอรีโอ ซึ่งใช้วินัยของพวกนักบวชทั่ว ๆ ไป พวกนี้ใช้ชีวิตในการฟังพระวาจาของพระเจ้า ในการขับร้องเพลงสรรเสริญ ในการประกอบกิจเมตตา ซึ่งในไม่ช้าได้มีเด็กหนุ่มเป็นจำนวนมากสมัครเข้ามาบวชในคณะของท่าน
ในระหว่างบรรดาเพื่อน ๆ ของนักบุญฟิลิป เนรี ที่เป็นนักบุญที่เรารู้จักดีคือ นักบุญอิกญาซีโอ, นักบุญชาร์ลส์, นักบุญคามิลโล, นักบุญฟรังซิส เดอชาลส์ และบรรดาพระสันตะปาปาร่วมสมัยกับท่าน
ชีวิตที่เข้มข้นจริง ๆ ที่ก่อให้เกิดความรักเมตตาต่อทุกคน โดยเฉพาะคนยากจน คนป่วย คนที่ต่ำต้อยนั้นเกิดจากชีวิตภายในที่ร่าเริงแจ่มใส
ท่นเสียชีวิตในปี 1595 ขณะอายุ 80 ปี หลังจากเจ็บป่วยเป็นเวลานาน

คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. จากตัวอย่างของนักบุญ ฟิลิป ให้เราได้รู้จักติดตามพระเยซูคริสตเจ้าในความร่าเริงแจ่มใส และด้วยความยินดี
2. ขอให้เราได้ช่วยผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยความรักเมตตาที่ร่าเริงยินดี และสงบแจ่มใส
3. ขอให้การขับร้องและดนตรีได้ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับการสอนคำสอน และพิธีกรรม
4. ขอให้ศิลปในทุกรูปแบบได้รู้จักเผยแพร่ข่าวดีของพระคริสตเจ้า

ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลจันทบุรี

วิธีการทำมิสซาลาติน (แบบเก่า)

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2012 พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 21:15-19

 2friday56.gif 

        
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2012 

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก 
กจ 25:13-21
          สองสามวันต่อมา กษัตริย์อากริปปาและพระนางเบอร์นิสเสด็จมาถึงเมืองซีซารียา เพื่อเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีต่อเฟสตัส ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสตัสทูลกษัตริย์เรื่องคดีของเปาโลว่า “เฟลิกซ์ทิ้งชายคนหนึ่งให้ถูกจองจำไว้ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาหัวหน้ามหาสมณะและผู้อาวุโสของชาวยิวได้ฟ้องกล่าวโทษเขาและขอให้ลงโทษด้วย
ข้าพเจ้าตอบว่า “ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดก่อนที่เขาจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กล่าวหาและแก้ข้อกล่าวหานั้น” บรรดาผู้กล่าวหามาพบข้าพเจ้าที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นก็นั่งบัลลังก์ สั่งให้นำชายคนนั้นเข้ามา บรรดาผู้กล่าวหามารุมล้อมเขา แต่ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องความผิดดังที่ข้าพเจ้าคาดไว้ เขาเพียงแต่ถกเถียงปัญหาเรื่องศาสนาของเขาและเรื่องชายคนหนึ่งชื่อเยซูที่ตายไปแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าลังเลใจที่จะตัดสินเรื่องทำนองนี้ จึงถามว่า เขาอยากไปกรุงเยรูซาเล็มและรับการพิจารณาคดีที่นั่นไหม แต่เปาโลอุทธรณ์ขอสงวนคดีไว้ให้พระจักรพรรดิ เป็นผู้ตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้จองจำเขาไว้จนกว่าข้าพเจ้าจะส่งเขาไปเฝ้าพระจักรพรรดิได้


พระวรสารนักบุญยอห์น
ยน 21:15-19
          เมื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
          พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า “ท่านรักเราไหม เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”
          พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด”

ข้อคิด
          ดูเหมือนว่าพระเยซูเจ้าตั้งใจถามนักบุญเปโตร 3 ครั้ง เพื่อจะชดเชยกับการที่ท่านได้ปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งก่อนหน้านั้น ถ้าตลอดชีวิตของท่านนักบุญเปโตรได้ปฏิเสธพระเจ้า 3 ครั้ง ก็ต้องถือว่าน้อยมากๆ ถ้าเป็นตัวเราก็คงปฏิเสธพระเจ้ามากกว่านั้น อาจจะปฏิเสธทุกวันก็เป็นไปได้ และทุกครั้งพระเจ้าก็จะถามเราว่า “เรายังรักพระองค์อยู่ไหม” เราต้องตอบเหมือนท่านเปโตร แต่เพราะความอ่อนแอในตัวเรา เราจึงปฏิเสธพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

9friday57.gif

ผู้กลับใจ