16
ฟาริสีจ้องจับผิด
ฟาริสีจ้องจับผิด
ในบรรดาชาวยิวมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเกิดมีการแบ่งเป็นขบวนการหรือพรรคการเมือง-ศาสนา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มีบทบาทในการบริหารหรือปกครองประเทศ อาทิ ฟาริสี ซัดดูสี พวกร้อนรน พวกเฮรอด เป็นต้น
ฟารีสี เป็นฆราวาส ไม่ใช่พระสงฆ์ พวกเขาถือกฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด ยึดธรรมเนียมที่ส่งทอดกันมาปากต่อปากอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งสิ่งที่เขียนทั้งหมด ซึ่งมีการเก็บรวบรวมและตีความจากอาจารย์กฎหมาย
พวกเขาถูกเรียกว่าฟาริสีเพราะ “แยกตัว” ออกจากคนที่ไม่ใช่ยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ยอมคล้อยตามไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น
ในสมัยของพระเยซูเจ้า ฟาริสีคือคนเคร่งศาสนา ปฏิบัติกฎข้อบังคับและธรรมเนียมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด แต่ก็เป็นคนหยิ่งจองหอง เชื่อว่าตนเป็นคนชอบธรรมมากกว่าใคร
ฟาริสีถือว่าตนไม่มีที่ตำหนิ ไม่ใช่ขโมยหรือฆาตกร ไม่เอาเปรียบคน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโสเภณี และถือว่าตนดีเยี่ยงพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเตือนศิษย์ให้ระวังฟาริสี เพราะพวกเขาถืออำนาจในการสั่งสอน แต่พฤติกรรมของฟาริสีตรงข้ามกับสิ่งที่สอนประชาชน จึงเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก นอกนั้น เมื่อทำอะไรก็ชอบทำให้คนเห็นและชม ไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้า
กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้าทรงมีเพื่อนบางคนเป็นฟาริสี ศิษย์จึงมีพวกเขาเป็นฝ่ายเดียวกันในการต่อต้านพวกซัดดูสี ทว่า อิสภาพที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อหน้ากฎต่างๆ อีกทั้งการที่พระองค์ทรงทำตัวเป็นเพื่อนของคนบาปและคนต่างชาติ ก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น
กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้าทรงมีเพื่อนบางคนเป็นฟาริสี ศิษย์จึงมีพวกเขาเป็นฝ่ายเดียวกันในการต่อต้านพวกซัดดูสี ทว่า อิสภาพที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อหน้ากฎต่างๆ อีกทั้งการที่พระองค์ทรงทำตัวเป็นเพื่อนของคนบาปและคนต่างชาติ ก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น
ซัดดูสี เป็นพวกที่ยอมรับกฎ แต่ไม่ยอมรับธรรมเนียมประเพณี ทั้งที่ส่งทอดกันมาปากต่อปาก ทั้งที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ซัดดูสีเคร่งครัดศาสนาน้อยกว่าฟาริสี เอาแต่สนใจการเมืองและธุรกิจ ซัดดูสีสืบทอดมาจากครอบครัวสงฆ์ ซัดดูสีเป็นชื่อสืบทอดมาจากชื่อซาโดค ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวสงฆ์ พวกเขาสนใจวัตถุมากกว่าชีวิตฝ่ายจิต ไม่ยอมรับพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า พระหรรษทาน และแม้กระทั่งพระเมตตาของพระเจ้า เพราะเหตุนี้ ซัดดูสีจึงต่อต้านพระเยซูเจ้าและศิษย์ของพระองค์ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าแต่ภายนอก แต่ภายในไม่ยอมเชื่ออะไรทั้งนั้น
ในพระวรสารมีพูดถึง ธรรมาจารย์ หลายครั้ง พวกเขาเป็นอาจารย์กฎหมายและมีหน้าที่ตีความพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ ตีความกฎของโมเสส และตั้งข้อบังคับให้หมู่คณะปฏิบัติตาม บทบาทนี้ทำให้ธรรมาจารย์มีอภิสิทธิ์และมีอิทธิพลเหนือประชาชน
ธรรมาจารย์คบค้ากับฟาริสี บางคนเป็นสมาชิกศาลซีเนดรีโอ ร่วมกับพระสงฆ์ใหญ่และผู้อาวุโส ซึ่งตัดสินพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์สอนทุกคนว่าต้นเหตุของความอยุติธรรม ความรุนแรง สงครามนั้นมาจากในใจคน เพราะความชั่วออกมาจากจิตใจของมนุษย์ •
ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี
ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระองค์พร้อมกัน เขาสังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน
เพราะชาวฟาริสีและชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่น ๆ อีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง
ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า "ทำไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษและทำไมเขาจึงกินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาดเล่า"
พระองค์ตรัสตอบว่า "ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปากแต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมายเขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
"ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์"แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า "ท่านช่างชำนาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่านเองเสียจริง ๆ "
เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือบิดามารดาและใครด่าบิดาหรือมารดาจะต้องรับโทษถึงตาย แต่ท่านกลับสอนว่า "ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดาหรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำมาช่วยเหลือพ่อแม่ได้นั้นเป็นคอร์บัน คือของถวายแด่พระเจ้า" ท่านก็บอกว่าเขาไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อ ๆ กันมาทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติเช่นนี้อีกมากมาย"
สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทิน
พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า "ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด"
เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จึงทูลถามพระองค์ถึงข้อความที่เป็นปริศนานั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า "ท่านก็ไม่มีปัญญาด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ จากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์นั้นทำให้เขามีมลทินไม่ได้
เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย"
ดังนี้ ทรงประกาศว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน พระองค์ยังตรัสอีกว่า "สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายในและทำให้มนุษย์มีมลทิน"
พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวซีโรฟีนีเซีย
พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระ และเสด็จเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้ ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งมีบุตรหญิงถูกปีศาจสิงได้ยินพูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท นางไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนีเซียโดยกำเนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ปีศาจออกจากบุตรหญิง
พระองค์ตรัสกับนางว่า
"ให้ลูก ๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน"
หญิงนั้นทูลตอบว่า
"ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูก ๆ"
พระองค์จึงตรัสกับนางว่า
"เพราะถ้อยคำนี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว"
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว มก7: 24-30
พระองค์ตรัสกับนางว่า
"ให้ลูก ๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน"
หญิงนั้นทูลตอบว่า
"ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูก ๆ"
พระองค์จึงตรัสกับนางว่า
"เพราะถ้อยคำนี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว"
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว มก7: 24-30
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนใบ้หูหนวก
พระองค์เสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดน
ทศบุรี
มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลขอร้องไห้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า "เอฟฟาธา" แปลว่า "จงเปิดเถิด" ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน
พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ยิ่งห้าม ก็ยิ่งเล่าลือกันมากขึ้น ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า "คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้" มก7: 31-37
อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งที่สอง
ครั้งนั้น ประชาชนมากมายชุมนุมกันอีก และไม่มีอะไรกิน พระองค์จึงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสกับเขาว่า
"เราสงสารประชาชนเพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน ถ้าเราให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทาง เพราะมีหลายคนเดินทางมาจากที่ไกล"
บรรดาศิษย์จึงทูลตอบว่า
"ใครจะหาอาหารในที่เปลี่ยวเช่นนี้มาให้คนเหล่านี้กินจนอิ่มได้"
พระองค์ตรัสถามว่า
"ท่านมีขนมปังกี่ก้อน"
เขาทูลว่า
"เจ็ดก้อน"
พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นดินทรงหยิบขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงบิขนมปัง ประทานให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่าย เขาก็แจกจ่ายขนมปังให้ประชาชน เขายังมีปลาตัวเล็ก ๆ อยู่บ้าง พระองค์ทรงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า ทรงสั่งให้แจกจ่ายปลาเช่นเดียวกัน
ทุกคนกินจนอิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้า
ผู้ที่กินขนมปังและปลามีประมาณสี่พันคนพระองค์ทรงส่งเขากลับไป แล้วพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปยังบริเวณเมืองดาลมานูธา ทันที มก8: 1-10
ชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากฟ้า
ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ
พระองค์ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า "คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย"
แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง มก8: 11-13
ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ
พระองค์ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า "คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย"
แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง มก8: 11-13
เชื้อแป้งของชาวฟาริสีและของกษัตริย์เฮโรด บรรดาศิษย์ลืมนำขนมปังไปด้วยและในเรือของเขามีขนมปังเหลือเพียงก้อนเดียว พระองค์ทรงกำชับเขาว่า
"จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสี และเชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด"
บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า
"นี่เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง"
พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า
"ทำไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือ 18มีตาแต่ไม่เห็นมีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ ท่านจำไม่ได้หรือว่า เมื่อเราบิขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง" เขาตอบว่า
"สิบสองกระบุง"
"เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า"
เขาทูลตอบว่า
"เจ็ดตะกร้า"
แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า
"ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ" มก8: 14-21
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดที่เมืองเบธไซดา
พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงเมืองเบธไซดา มีผู้นำคนตาบอดคนหนึ่งมาขอให้พระองค์ทรงสัมผัส
พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขาว่า
"ท่านเห็นอะไรไหม"
เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า
"ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับต้นไม้เดินไปเดินมา"
พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีก เขาก็เห็นชัด และหายเป็นปกติ มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
พระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้าน ตรัสว่า
"อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน" มก8: 22-26