16 มิถุนายน 2555

องค์ประกอบ 4 ด้านของคริสเตียน



องค์ประกอบ 4 ด้านของคริสเตียน


พระเจ้าสร้างเราทุกคนขึ้นมา พระองค์ต้องการให้เราเป็นเหมือนที่พระองค์อยากให้เราเป็น พระองค์มีมาตรฐาน และมนุษย์ทุกคนต้องได้ตามมาตรฐานนี้ ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้าน คริสเตียนที่ปกติ ต้องมีความพร้อมทั้ง 4 อย่างนี้ และ 4 อย่างนี้ต้องถูกต้องตามมาตรฐานหรือวัตถุของพระเจ้าด้วยด้วย ทั้ง 4 อย่างรวมกันเป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
  1. ศักยภาพด้านเหตุและผล มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีศักยภาพ ให้มีเหตุและผล ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีสัตว์ชนิดอื่น ดังเช่นเราบอกสุนัขให้ปัสสาวะให้เป็นที่ มันก็คงจะไม่รู้เรื่อง เพราะมันไม่มีศักยภาพที่จะรู้เหตุและผล เด็กเล็ก ๆ ศักยภาพนี้ยังไม่พัฒนา แต่เมื่อโตขึ้นก็เริ่มมีศักยภาพนี้ เริ่มรู้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร
  2. จิตสำนึกผิดชอบ มีศีลธรรม มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
  3. ความตั้งใจ จะต้องทราบว่าอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร มนุษย์ต้องมีเป้าหมายในชีวิต แต่หลายครั้งที่เรากลับไม่มีเป้าหมายบางคนบอกว่า "เดินเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดหมาย" เราจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ มนุษย์ต้องมีเป้าหมายแห่งชีวิต
  4. อารมณ์ ความรู้สึก และความสัมพันธ์
ทั้ง 4 ด้าน ถ้าจะถูกสร้าง เพื่อที่จะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เราเป็น จะต้องกลับสู่พระคำของพระเจ้า
ด้านเหตุและผล เราจะต้องกลับสู่ความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า
ด้านจิตสำนึกผิดชอบ เราจะต้องกลับสู่การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ด้านความตั้งใจ จะต้องกลับไปสู่เป้าหมายของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า
เป้าหมายในชีวิตของเรา คือ ยิ่งมายิ่งเหมือนพระเยซูคริสต์ ยิ่งมายิ่งไปถึงแผ่นดินสวรรค์ แม้ว่าเส้นทางที่เราเดินแตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า พระองค์กำหนดทางแก่เราเพื่อให้เราเป็นเกลือและแสงสว่างในทางที่เราไป
ด้านอารมณ์ ความรู้สึก และความสัมพันธ์ พระคัมภีร์ได้พูดถึงความสัมพันธ์ 10 ด้าน เราจะต้องมีความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้ถูกต้องตามพระคัมภีร์
  1. เรากับพระเจ้า
  2. เรากับตัวเอง
  3. พ่อแม่กับลูก
  4. สามีกับภรรยา
  5. พี่กับน้อง
  6. เพื่อน
  7. เรากับรฐบาล
  8. เรากับธรรมชาติ
  9. เรากับทูตสวรรค์
  10. เรากับผีมารซาตาน
ทูตสวรรค์มีความสัมพันธ์กับเราหรือไม่? เรามีทูตสวรรค์ประจำตัว
หลายคนอาจกังวลว่าแล้วเวลาอาบน้ำจะทำอย่างไร เพราะว่าทูตสวรรค์ก็จะเห็นหมด แต่มีเหตุผลที่เราไม่ต้องกลัว เพราะ
  1. ทูตสวรรค์ไม่มีความต้องการทางเพศ
  2. ทูตสวรรค์รู้จักคุณ เพราะมีรูปร่างเหมือนคุณ
ดังเช่นในกิจการ เมื่อเปโตรถูกช่วยออกจากคุก พวกสาวกกลับไม่เชื่อ คิดว่าเป็นทูตสวรรค์
นี่เป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง เพราะเวลานั้นพวกเขากำลังอธิษฐานให้พระเจ้าช่วยเปโตรให้หลุดจากคุก แต่เมื่อเปโตรมาก็กลับไม่เชื่อ
คริสตจักรแห่งหนึ่ง ร่วมใจอธิษฐาน เนื่องจากแห้งแล้งมาก
มียายคนหนึ่งเดินทางมา และพกร่มมาด้วย ศิษยาภิบาลจึงถามว่า "ยายเอาร่มมาทำไม ฝนไม่ตกสักหน่อย"
ยายเลยตอบว่า "เดี๋ยวฝนตกแล้วยายกลับบ้านไม่ได้"
ความเชื่อของยายสูงยิ่งกว่าความเชื่อของศิษยาภิบาลเสียอีก!
เหล่าสาวกที่อธิษฐานเผื่อเปโตรตอบว่าเป็นทูตสวรรค์ประจำตัวเปโตร เพราะชาวยิวเชื่อว่าทูตสวรรค์หน้าตาคล้ายกับเรา
สรุปคือ หากคริสเตียนมีทั้ง 4 ด้านนี้อย่างสมบูรณ์ ก็จะเป็นคริสเตียนที่ปกติ


คำปรีชาญาณของคุณแม่เทเรซา












Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 61:10-11





วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ 
อสย 61:10-11



          ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้าเพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นเสมือนอาภรณ์ที่ทรงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุมข้าพเจ้าเป็นเหมือนเจ้าบ่าวที่โพกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล และสวนทำให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉันนั้น

zwani.com myspace graphic comments

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 พระวรสารนักบุญลูกา ลก 2:41-51




วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 
พระวรสารนักบุญลูกา 
ลก 2:41-51


          โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น

          ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า 

         “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส

          พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย


ข้อคิด
          เมื่อวานเราเพิ่งฉลองดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก วันนี้พระศาสนจักรให้เราระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่

         นอกจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ชาติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว คงจะไม่มีความรักใดที่ยิ่งให?่ไปกว่าดวงใจของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระแม่มารีย์อย่างแน่นอน ธรรมชาติของแม่ คือ รักและหวงแหนลูก และพร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อลูก โดยไม่คิดถึงชีวิตของตนเอง ดวงใจของแม่พระ รักและหวงแหนเรา ปรารถนาให้เราทุกคนได้รอดไปสวรรค์

zwani.com myspace graphic comments

เล่าเรื่องพระเยซู 28. ทรงถูกจับและถูกตัดสิน





bluesilvanimcross.gif

28
ทรงถูกจับและถูกตัดสิน


      ผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่นำผู้อ่านเข้าสู่พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า โดยบรรยายทีละขั้นตอน
อย่างละเอียด รวมทั้งความทุกข์ทรมานเหลือบรรยายที่พระองค์ต้องได้รับ เป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่มีขอบเขต เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็นมนุษย์และทรงเป็นพระเจ้า
       ทุกอย่างเริ่มจากการเข้าตรีทูตที่สวนมะกอก สะท้อนให้เห็นในการทำน้ำมันมะกอก เม็ดมะกอกถูกโม่ด้วยครกหินและถูกบีบเพื่อเอาน้ำมันมะกอกฉันใด พระเยซูเจ้าก็จะทรงได้รับความทุกข์ทรมานเพื่อจะนำความรอดมาให้มนุษย์ฉันนั้น
       พระองค์ทรงเป็นทุกข์อย่างสาหัสเพราะการทรยศของยูดาส การที่เพื่อน ๆ ละทิ้งพระองค์ไว้ตามลำพังและหนีไปการถูกจับตัวอย่างรุนแรงจากทหาร การตัดสินความอย่างไร้ความชอบธรรมความตายบนไม้กางเขน
       ต่อหน้าความทุกข์ทรมานแสนสาหัส พระเยซูเจ้าทรงวอนขอพระบิดาขอได้ทรงยกเว้นให้พระองค์ แต่แล้วก็ทรงยืนยันขอให้พระประสงค์ของพระบิดาสำเร็จไป
       คำภาวนาปลดปล่อยพระองค์จากความวิตกกังวนและทำให้พระองค์เข้มแข็งในการทนทรมาน โดยไม่หวาดหวั่นหรือสงสัยแต่อย่างใดพระองค์ไม่ทรงปกป้องพระองค์เอง แต่ทรงมอบพระองค์แก่ศัตรู ปล่อยให้พวกเขาจับ ทว่าทรงป้องกันเพื่อน ๆ ของพระองค์เมื่อตรัสบอก “จับเรา แต่ปล่อยพวกเขาไป”
       นี่คือพลังแห่งความชั่วที่ครอบงำคนดี ทหารจับตัวพระองค์ มัดพระองค์แน่นหนา และลากตัวพระองค์ไป
       พระองค์รงยืนต่อหน้าอันนาส อดีตสมณะ ซึ่งถามพระองค์เกี่ยวกับศิษย์และคำสอน  พระเยซูเจ้าทรงตอบอย่างชัดเจนและตามความจริง  แล้วพระองค์ทรงถูกส่งตัวไปหาพระมหาสมณะไกฟาส เขาตัดสินใจนำพระองค์ขึ้นศาลศาสนาสำหรับการที่พระองค์ทรงทำผิดต่อคำสอนและกฎหมายยิว
       ไกฟาสถามพระองค์สองสามคำถามเกี่ยวกับพันธกิจและบุคลิกของพระองค์ เพื่อจะหาเรื่อง
กล่าวหาพระองค์และมีหลักฐานเพียงพอเพื่อตัดสินประหารพระองค์
       ในช่วงรอการตัดสิน พระเยซูเจ้าทรงอยู่ในความเงียบเป็นชั่วโมงๆ ทหารทำร้ายพระองค์อย่างป่าเถื่อน  ในช่วงนี้เอง เปโตรสามารถร่วมเป็นร่วมตายกับพระเยซูเจ้าได้ แต่เขาปฏิเสธพระองค์สามครั้ง และไก่ก็ขัน
       เช้าตรู่ มีการประชุมศาลซิเนดริน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเจ็บสิบคน รวมกับพระมหาสมณะ พระมหาสมณะถามพระเยซูเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้าหรือไม่  แล้วก็ถามว่าพระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรพระเจ้าหรือไม่
       คำตอบยืนยันของพระเยซูเจ้าทำให้ศาลตัดสินประหารชีวิตพระองค์  เพราะถือว่าเป็นการกล่าวผรุสวาท ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าหมดสำหรับชาวยิว 
       ข่าวเกี่ยวกับการตัดสินประหารพระเยซูเจ้ารู้ไปถึงยูดาส เขารู้สึกเสียใจ พยายามจะนำเงินค่าตัวของพระเยซูเจ้าไปคืน แต่ทุกอย่างช้าไปแล้ว เขาจึงเลือกลงโทษตัวเองถึงตายเช่นกัน •


 

ในสวนเกทเสมนี

       ระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงสถานที่แห่งหนึ่งชื่อ “เกทเสมนี” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ขณะที่เราไปอธิษฐานภาวนา”  แล้วทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์         พระองค์ทรงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวและเศร้าพระทัยอย่างยิ่ง จึงตรัสกับเขาทั้งสามว่า “ใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต จงอยู่ที่นี่และตื่นเฝ้าเถิด”  แล้วทรงพระดำเนินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ทรงเอนพระวรกายลงกับพื้นดิน  ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อให้เวลานั้นผ่านพ้นพระองค์ไป ถ้าเป็นไปได้  พระองค์ทูลว่า  “อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ โปรดทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” มก 14,32-36 



       ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏมาถวายพละกำลังแด่พระองค์  พระองค์ทรงอยู่ในความทุกข์กังวลอย่างสาหัส  จึงทรงอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นยิ่งขึ้น  พระเสโทตกลงบนพื้นดินประดุจหยดโลหิต
       พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐานภาวนา เสด็จไปพบบรรดาศิษย์ซึ่งหลับอยู่เพราะความโศกเศร้า ลก 22,43-45



       ระองค์เสด็จกลับมา พบศิษย์ทั้งสามกำลังหลับ จึงตรัสกับเปโตรว่า “ซีโมน ท่านหลับหรือ ท่านตื่นเฝ้าสักหนึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือ  จงตื่นเฝ้าและอธิษฐานภาวนาเพื่อจะไม่เข้าสู่การทดลอง  จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังอ่อนกำลัง”
        แล้วพระองค์เสด็จไปอธิษฐานภาวนาอีกครั้งหนึ่ง ทรงกล่าวถ้อยคำเดียวกัน  ครั้นเสด็จกลับมาก็ทรงพบเขาหลับอยู่อีก เพราะลืมตาไม่ขึ้น และเขาไม่รู้จะทูลตอบพระองค์อย่างไร         เมื่อเสด็จกลับมาครั้งที่สาม พระองค์ตรัสกับเขาว่า
       “บัดนี้ท่านหลับต่อไปและพักผ่อนได้  พอเถอะ เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนบาปมาถึงแล้ว  จงลุกขึ้น ไปกันเถิด ผู้ทรยศมาแล้ว” มก 14,37-42

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม 

        ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น ยูดาส หนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน  มาถึงพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง ถือดาบและไม้ตะบองเป็นอาวุธ บรรดาหัวหน้าสมณะ  ธรรมาจารย์และผู้อาวุโสส่งคนเหล่านี้มา  ผู้ทรยศให้สัญญาณกับคนเหล่านี้ว่า “เราจูบผู้ใด ก็เป็นคนนั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้แล้วคุมตัวเขาไปอย่างแน่นหนาเถิด” เมื่อยูดาสมาถึง ก็ตรงเข้าไปหาพระองค์ ทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า” แล้วจูบพระองค์  มก 14,43-45
       ระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย จงทำอย่างที่ตั้งใจจะทำเถิด” เวลานั้น คนเหล่านั้นต่างกรูกันเข้าจับกุมพระองค์ มธ 26,50
       ระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปตรัสถามเขาเหล่านั้นว่า
       “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร”
       เขาตอบว่า
      “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ”
      พระองค์ตรัสตอบว่า
      “เราเป็น”
      ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย  แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราเป็น” เขาเหล่านั้นก็ถอยหลัง ล้มลงกับพื้นดิน
       พระองค์ตรัสถามอีกว่า
       “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร”
       เขาตอบว่า
       “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเป็น ถ้าท่านเสาะหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไป” ยน 18,4-8

       คนเหล่านั้นต่างกรูกันเข้ามาจับกุมพระองค์       
       คนที่ยืนอยู่ที่นั่นคนหนึ่งชักดาบฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ใบหูขาด
       พระเยซูเจ้าตรัสถามคนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายถือดาบ ถือตะบองมาจับเราราวกับเราเป็นโจรเทียวหรือ  เราอยู่กับท่านทุกวัน สั่งสอนในบริเวณพระวิหาร ท่านก็ไม่ได้มาจับเรา แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อให้พระคัมภีร์เป็นความจริง”  ศิษย์ทุกคนทิ้งพระองค์ แล้วหนีไป       
      ชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนเดียวตามพระองค์ไป คนเหล่านั้นพยายามจับเขา
       แต่เขาสลัดผ้าป่านนั้นทิ้ง แล้ววิ่งหนีไปแต่ตัวเท่านั้น มก 14,46-52

พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า”
 มธ 27,3-10


พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า”
 มธ 27,3-10


พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า”
 มธ 27,3-10


พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า”
 มธ 27,3-10

พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า”
 มธ 27,3-10

พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

       องทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์  นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น  คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำกับชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
       ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า  16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย
       หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า
      “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” 
      บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
       มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนในศาลาธรรมเสมอและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ  ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด
       เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า
       “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม”
       อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
       ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”
       เปโตรปฏิเสธว่า
       “ไม่เป็น”
       ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า
       “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ”
       เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน ยน 18,12-27

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว

       
       รั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง และพูดว่า
        ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ' ลก 22,66-68
       รรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาสูงทุกคนพยายามหาพยานเท็จมา กล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้  แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุด มีคนสองคนมาให้การว่า  “คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”
       มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า
       “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อ
กล่าวหาอะไรปรักปรำท่าน”
       แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า
       “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า
       มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า
       “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว  ท่านคิดอย่างไร”
       ทุกคนตอบว่า
       “เขาสมควรต้องตาย”
       แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า “พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า” มธ 26,59-68

ยูดาสฆ่าตัวตาย

       เมื่อยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิต  ก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญไปคืนให้หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส พูดว่า
       “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
        เขาเหล่านั้นตอบว่า
       “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าต่างหาก”
       ยูดาสจึงโยนเงินทิ้งไว้ในพระวิหาร แล้วไปแขวนคอตาย
       บรรดาหัวหน้าสมณะจึงเก็บเงินนั้น กล่าวว่า
       “เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเก็บเงินนี้ไว้ในคลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นค่าโลหิต”
        เขาทั้งหลายจึงปรึกษากัน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อนาแปลงหนึ่งของช่างหม้อทำเป็นสุสานสำหรับคนต่างเมือง  เพราะฉะนั้นนาแปลงนั้นจึงมีชื่อว่า “นาเลือด” จนถึงวันนี้  ดังนี้ พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ จึงเป็นความจริงว่า 
        “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญอันเป็นราคาค่าตัวซึ่งลูกหลานอิสราเอลตีราคาเขาไว้ ไปซื้อนาของช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า” มธ 27,3-10 


มานาประจำวัน - แปลกประหลาด อย่างน่ากลัว

ข้าพระองค์โมทนาพระคุณพระองค์เพราะพระองค์
ทรงกระทำให้ข้าพระองค์แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว -สดุดี139:14


ดาวิดผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้พรรณาว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง “ข้าแต่พระเจ้าพระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้นพระองค์ทรงทราบพระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกลพระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์”(สดด.139:1-3)

พวกเราไม่เพียงถูกสร้างขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั้น แต่การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้เราได้รับการฟื้นฟูสู่ความสัมพันธ์อันชอบธรรมกับพระเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว…ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้าผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์”(2คร.5:17-18)-AL

พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายา ปั้นร่างกายขึ้นมาจากผงคลี
ให้ชีวิตนิรันดร์ในวันนี้ แก่ผู้ที่ต้อนรับองค์พระเยซู – Hess

เราแต่ละคนเป็นฝีมือการออกแบบอันมีเอกลักษณ์
และเปี่ยมด้วยรักของพระเจ้า


ผู้กลับใจ