17 มิถุนายน 2555

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:38-42


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา

พระวรสารนักบุญมัทธิว
มธ 5:38-42


         เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน”


ข้อคิด
          นาโบท มีสวนองุ่นใกล้พระราชวังขอกษัตริย์อาหับ พระองค์เกิดอยากได้ที่ดินอันน้อยนิดของนาโบท แม้จะขอซื้อหรือ ขอแลกที่ดิน อาหับก็ไม่ยอม เพราะเป็นของบรรพบุรุษเอาไปขายไม่ได้ แต่อาหับก็ยังอยากได้... ที่สุดพระมเหสีเยเซเบลออกอุบายฆ่านาโบทจนสำเร็จ แล้วสั่งยึดที่ดินนำมาถวายแด่อาหับ
พูดถึงบาปก็คือพูดถึงความหายนะหรือความตายเสมอ บาปของอาหับและเยเซเบล นำความตายมาสู่ผู้บริสุทธิ์ และ ต่อมาผู้ทำบาปก็ถูกลงโทษด้วย … มิใช่เราจะดีใจ แต่จะเน้นว่า “บาปนำความหายนะและความตาย”มาให้... อย่าให้มันเข้ามา และทำให้ใชีวิตของเราวุ่นวาย



วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 21:1-16


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 
1 พกษ 21:1-16



          ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของกษัตริย์อาหับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาหับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราทำเป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนี้อยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้แทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา นาโบททูลตอบกษัตริย์อาหับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์”

          กษัตริย์อาหับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่พระองค์” พระองค์เสด็จเข้าที่พระบรรทม หันพระพักตร์เข้าฝาผนัง ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร พระมเหสีเยเซเบลเสด็จเข้าไปทูลถามว่า “ทำไมพระทัยของพระองค์จึงขุ่นเคืองจนไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร” พระองค์ทรงตอบว่า “เพราะเราบอกนาโบทชาวยิสเรเอลว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราเถิด เราจะให้เงิน หรือถ้าท่านพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอื่นแทน” แต่เขากลับตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นให้พระองค์”” พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเช่นนี้หรือ ขอทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉันเองจะให้สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์”

          พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาหับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงประกาศวันถือศีลอดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคน ให้มานั่งเผชิญหน้านาโบทและกล่าวหาเขาว่า “ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” แล้วท่านทั้งหลายจะนำเขาออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย”

          คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อาศัยอยู่ในเมือง ปฏิบัติตามรับสั่งของพระนางเยเซเบล ที่เขียนไว้ในลายพระหัตถ์ที่พระนางทรงส่งไป ชาวเมืองได้ประกาศวันถือศีลอดอาหาร สั่งให้นาโบทมานั่งแถวหน้าในหมู่ประชาชน อันธพาลสองคนออกมานั่งเผชิญหน้ากับเขา คนอันธพาลกล่าวหานาโบทต่อหน้าประชาชนว่า “นาโบทได้สาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” เขาจึงนำนาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มจนตาย ชาวเมืองส่งข่าวไปทูลพระนางเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว” เมื่อพระนางเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว ก็ทูลกษัตริย์อาหับว่า “ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยึดครองสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลเถิด เพราะนาโบทไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาตายแล้ว เขาเคยปฏิเสธไม่ยอมขายให้พระองค์” เมื่อกษัตริย์อาหับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น


เล่าเรื่องพระเยซู (จบ) 31 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนชีพจริงแท้

bluesilvanimcross.gif

31
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนชีพจริงแท้


       ทว่าเรื่องราวไม่ได้จบลงที่นี่ แม้ว่าศิษย์ของพระเยซูเจ้าหลายคนจะคิดและตระหนักใจว่าการผจญภัยที่พวกเขาได้เริ่มกับพระเยซูแห่งนาซาแร็ธมาสามปีจบลงแล้ว
       หญิงคนหนึ่งที่มารู้ว่าไม่เป็นเช่นนี้ เธอคือมารีย์ มักดาลา ที่เคยชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำหอมล้ำค่าและรักพระองค์มากกว่าใคร เมื่อเธอมาถึงคูหาฝังร่างของพระเยซูเจ้า เธอเห็นว่าคูหาว่างเปล่า จึงรีบวิ่งไปบอกบรรดาศิษย์ “พวกเขาได้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากคูหา”
       เปโตรและยอห์นมาพบความจริงเดียวกัน พวกเขาเข้าไปในคูหาฝังพระศพและไม่พบพระศพ มีผ้าห่อหุ้มศพของพระองค์ รวมกับผ้าปิดพระพักตร์วางอยู่เคียงข้างกัน พวกเขากลับมาบ้านด้วยความเศร้าโศกและผิดหวัง
       แต่มารีย์ มักดาลา ยังคงอยู่ต่อไปที่พระคูหาเพื่อร้องไห้ ทันใดเธอจำเสียงพระองค์ได้ พระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ “มารีย์”
       เธอไม่สงสัยอีกต่อไป ความไม่แน่ใจหายไปสิ้น ตั้งแต่เช้าตรู่ พระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนอยู่ที่นั่น อยู่ต่อหน้าเธอและเธอสามารถจูบพระบาท สวมกอดพระองค์
       “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ที่นี่” พระเยซูเจ้าตรัส “แต่จงไปหาพี่น้องของเราและบอกพวกเขาว่าเรากลับไปหาพระบิดาของเรา พระเจ้าของทุกคน”
       หลังจากที่นำข่าวไปแจ้งบรรดาศิษย์ รุ่งสางมารีย์กับสตรีบางคนซึ่งเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้ากลับมาที่คูหาฝังศพ พบว่าหินก้อนใหญ่ที่ปิดทางเข้าคูหาถูกเคลื่อนออกมา คูหาว่างเปล่า หนุ่นคนหนึ่งในชุดขาวถามพวกเธอว่า “พวกเธอมาหาใคร? พระเยซูแห่งนาซาแร็ธที่ถูกตรึงกางเขนไม่อยู่ที่นี่ ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว จงไปบอกเรื่องนี้แก่ศิษย์ของพระองค์” พวกเธอออกจากบริเวณคูหาฝังศพ สับสน และวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว  พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์และตรัสกับพวกเธอว่า “จงอย่ากลัวเลย”
       พฤติกรรมของพวกเธอยืนยันกับบรรดาศิษย์ได้อย่างชัดแจ้งว่า “พระเยซูเจ้า ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทรงกลับคืนชีพแล้ว”
       ทว่าบรรดาศิษย์กลับมีท่าทีตรงข้ามลูกาบอกว่าพวกเขาหาว่าบรรดาสตรีเพ้อเจ้อและแต่งเรื่องราวไร้สาระ
       จึงเห็นได้ว่า เช้าวันอาทิตย์นั้น ไม่มีศิษย์คนใดเชื่อการกลับคืนชีพของพระอาจารย์ ยกเว้นบรรดาสตรี

       พวกเขาต้องเห็นพระองค์ด้วยตาพวกเขาเอง ต้องฟังพระองค์พูดกับหู อีกทั้งต้องรับของขวัญแห่งสันติและพระจิตเจ้า ต้องเอานิ้วแยงเข้าที่รอยแผลจากตาปูเพื่อจะเชื่อว่าพระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว  และทุกอย่างก็เกิดขึ้นในค่ำวันอาทิตย์นั้นเอง
       แม้แต่ศิษย์สองคนแห่งเอมมาอุสแทบจะจำพระองค์ไม่ได้ ถึงจะเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์ เพราะพวกเขาดื้อรั้นและเชื่อยากในสิ่งที่บรรดาประกาศกได้กล่าวถึงพระองค์
       การปรากฏองค์ของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงสี่สิบวันที่พระองค์ทรงอยู่กับบรรดาศิษย์
       เปาโลซึ่งถือว่าเป็นสาวกคนที่สิบสาม ได้ยืนยันถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนและกลับเป็นขึ้นมา  ในปีที่ 45 ท่านเขียนในจดหมายฉบับแรกถึงชาวโครินท์ “พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ดังที่มีเขียนในพระคัมภีร์และทรงถูกฝังไว้  แต่สามวันต่อมา ทรงกลับคืนชีพตามที่มีเขียนในพระคัมภีร์และได้ทรงปรากฏพระองค์แก่เปโตร  แล้วนั้นก็ทรงปรากฏองค์แก่สาวกทั้งสิบสอง พวกเขาส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็มีบางคนที่เสียชีวิตไปแล้วต่อมาทรงปรากฏองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นก็ทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ในที่สุด ทรงแสดองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย” (คร15,3-9)
       เปโตร หัวหน้าของสาวก ไม่เพียงได้เห็นพระเยซูเจ้าที่ทะเลสาบเท่านั้น แต่ยังได้ยินพระองค์ถามว่า “ซีมอน ท่านรักเราไหม?” ถึงสามครั้ง
       พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้เปโตรลบล้างความผิดที่ได้ปฏิเสธพระองค์สามครั้งที่บ้านของไคฟาส  พร้อมกับทรงมอบหมายภารกิจให้เขาดูแลหมู่คณะคริสตชน เป็นประจักษ์พยานให้แก่โลกว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ ได้ทรงกลับคืนชีพแล้ว
       พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์ที่เยรูซาเล็มและแคว้นยูเดีย ในห้องอาหารและตามถนนหนทาง บนภูเขาและริมฝั่งทะเลสาบ ทั่วไปในทุกแห่ง องค์พระผู้ทรงกลับคืนชีพคือผู้ที่แสดงองค์ให้เห็นทั่วไป เพราะพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่กับเราเสมอไป
       เหตุการณ์น่าทึ่งยังดำเนินต่อไป แม้ยากจะยอมรับ แต่ประจักษ์พยานของผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่ยืนยันให้เห็นความจริงในรูปแบบเดียวกัน  ตามมาด้วยบุคคลจำนวนมากที่ร่วมเป็นประจักษ์ในเหตุการณ์น่าทึ่งนี้ในประวัติศาสตร์มนุษย์จนกระทั่งทุกวันนี้ 



 

พระคูหาว่างเปล่า

       ช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว
        นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
        เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา  ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน  เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน  ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติด ๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น  รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง  ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ  เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย  หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งสองคนก็กลับไปบ้าน ยน 20,1-10

พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา

        ารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา  ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท  ทูตสวรรค์ทั้งสองถามนางว่า
        “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม”
        นางตอบว่า
        “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด”       
        เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า  พระองค์ตรัสถามนางว่า
        “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด”
        นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า
        “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา”
        พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า
        “มารีย์ นางจึงหันไป
        ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า
        “รับโบนี ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์
        พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า
        “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย”
        มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง ยน 20,11-18

 

พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์

       มื่อวันสับบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมเพื่อชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว สตรีทั้งสามคนไปยังพระคูหา และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา” แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่าก้อนหินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง  ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า “อย่ากลัวไปเลย ท่านกำลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ สถานที่นี้คือสถานที่ที่เขาได้วางพระศพไว้  จงไปแจ้งบรรดาศิษย์และเปโตรให้รู้ว่า  “พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านทั้งหลายไปในแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น  ดังที่ทรงบอกท่านไว้” สตรีทั้งสามคนออกจากพระคูหา หนีไปเพราะตกใจกลัวจนตัวสั่น และไม่ได้พูดเรื่องใด ๆ กับใครเลยเพราะกลัว มก16,1-8

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่สตรีทั้งสองคน

       ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน  ตรัสว่า “จงยินดีเถิด”
       ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” มธ 28,9-10

 

ผู้นำชาวยิวป้องกันตน

       มื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ มธ 28,11 

 

พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์

       บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น  ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ มธ 28,2-3

 

ผู้นำชาวยิวป้องกันตน

       บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร  สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ”
       ทหารได้รับเงินและกระทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ มธ 28,12-15

 

การเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส

       วันนั้น ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร  ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
       ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง
      พระองค์ตรัสถามว่า
      ‘ท่านสนทนากันเรื่องอะไรตามทาง ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง
       ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า
       'ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้’         พระองค์ตรัสถามว่า
       ‘เรื่องอะไรกัน’
        เขาตอบว่า
        ‘ก็เรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำนาจในกิจการและคำพูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง  บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน  เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  สตรีบางคนในกลุ่มของเราทำให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่  เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  บางคนในกลุ่มของเรา ไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์’
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
       'เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้  พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ’
       แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก
       เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรงทำท่าว่าจะทรงพระดำเนินเลยไป  แต่เขาทั้งสองรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว’ พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา  ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา
        เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา
        ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า ‘ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’
        เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่น ๆ
        เขาเหล่านี้บอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริง ๆ และทรงสำแดงพระองค์แก่ซีโมน’  ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ลก 24,13-35

 

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์

       ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
       ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี
       พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า
       “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”
       ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลม เหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า  “จงรับพระจิตเจ้าเถิด" ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด
       บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” ยน 20,19-23

       ทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่น ๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา  ศิษย์คนอื่น บอกเขาว่า
        “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”
        แต่เขาตอบว่า
        “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
       แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดอยู่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”  แล้วตรัสกับโทมัสว่า
       “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด”
       โทมัสทูลพระองค์ว่า
        “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”
        พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
        “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” ยน 20,24-29



       มื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม”
       เปโตรทูลตอบว่า
       “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
        พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม”
       เขาทูลตอบว่า
       “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
        พระองค์ตรัสกับเขาว่า
        “จงดูแลลูกแกะของเราเถิด"
       พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม”
       เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า
       “ท่านรักเราไหม
        เขาทูลตอบว่า
       “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”     
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด” เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”
       พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด” ยน21,15-19

       ปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนที่เอนกายชิดพระอุระพระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารค่ำ และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ทรยศพระองค์เป็นใคร”  เมื่อเปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า”
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระอะไรของท่านเล่า ท่านจงตามเรามาเถิด”
       ดังนั้น จึงมีเรื่องที่เล่าลือกันไปทั่วในกลุ่มบรรดาพี่น้องว่าศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระอะไรของท่านเล่า”ยน21,20-23

       นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ ว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง
       ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น ยน21,24-25



เล่าเรื่องพระเยซู 30 ทรงถูกตรึงพร้อมกับอีกสองคน



bluesilvanimcross.gif


30
ทรงถูกตรึงพร้อมกับอีกสองคน


        ปิลาตส่งพระเยซูเจ้าให้ทหารเพื่อนำไปประหารชีวิต
        เนื่องจากไม่ได้เป็นพลเมืองโรมัน พระเยซูเจ้าไม่สามารถอุทธรณ์หรือขอให้ส่งคดีไปยัง
จักรพรรดิโรมันได้ นอกนั้นก็ไม่มีโอกาสพักรอความตายอยู่ในคุกได้อีกวันหนึ่งได้ แต่ทรงถูกพาตัวไปยังหลักประหารทันที เพราะฉลองปัสกาใกล้เข้ามาและพระองค์ในฐานะแกะถูกฆ่าเพื่อชดเชยบาปของมนุษย์ควรถูกบูชาอย่างสง่าในวันสมโภช
       บรรดาสมณะเรียกร้องให้ลงโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิตโดยทหารโรมัน ไม่ใช่ด้วยการทุ่มหินแบบชาวยิว แต่ด้วยการตรึงกางเขนแบบชาวโรมัน
       การตรึงกางเขนเป็นการลงโทษที่ใช้ในระหว่างชาวโรมัน เป็นการลงโทษที่โหดร้าย น่ากลัวและน่าอับอาย ซึ่งมักจะใช้เพื่อลงโทษทาสหรืออาชญากรอันตรายและสิ้นหวังจะเยียวยาได้
       นักโทษประหารต้องแบกไม้กางเขนท่อนขวางที่หนักและยังสดอยู่ เพราะไม้ท่อนตั้งมีการปักไว้ในที่ประหารอยู่แล้ว บนเนินเขาที่อยู่นอกกำแพงกรุงเยรูซาเล็มซึ่งมีชื่อว่าโกลกาทาหรือกัลวารีโอ
       เส้นทางที่พระเยซูเจ้าและนักโทษเดินสู่แดนประหารเริ่มจากป้อมอันโตนิโอ ซึ่งเป็นที่ตั้งศาล แล้วผ่านไปตามถนนที่อยู่ของชาวเมือง
       ขณะเดินมาตามเส้นทาง มีชาวนาคนหนึ่งช่วยพระเยซูเจ้าแบกกางเขนต่อ มีสตรีชาวเยรูซาเล็มที่ร่ำไห้และพูดบรรเทาใจพระองค์ พร้อมกับติดตามพระองค์ไปถึงที่ประหาร
       เมื่อถึงที่ประหาร มีการนำน้ำองุ่นผสมมดยอบให้พระองค์ทรงดื่มเพื่อลดความเจ็บปวดให้น้อยลง แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธ พระองค์ทรงถูกเปลื้องพระภูษาและทรงถูกจับนอนบนพื้น พร้อมยืดแขนออกเพื่อตอกตาปู  แล้วไม้ท่อนขวางถูกยกขึ้นและตอกยึดติดกับไม้ท่อนตั้ง จากนั้นก็มีการตอกตาปูยึดพระบาท
       ด้านบนไม้กางเขน เหนือพระเศียร มีการแขนป้ายระบุโทษประหาร “เยซูนาซาแรธ กษัตริย์ของชาวยิว” บรรดาสมณะพากันประท้วงป้ายดังกล่าว แต่ปิลาตไม่สนใจ
       พร้อมกับพระเยซูเจ้า ทหารตรึงกางเขนนักโทษอีกสองคน
       ความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าทวีขึ้นจากแผลที่ถูกตาปูตอกทั้งห้า ตามด้วยการสบประมาท หัวเราะเยาะ ความเกลียดชังและคำพูดถากถาง 
       พระเยซูเจ้าทรงตกเป็นเหยื่อไร้มลทิน พระองค์ไม่ทรงตอบโต้อย่างไร

       พระองค์ไม่ตอบโต้การดูหมิ่นสบประมาท แต่ทรงรับบาปของมนุษย์ไว้ในพระองค์ เพื่อความรักต่อเราและความรอดของเรา 
       มีการบันทึกพระวาจาเจ็ดประโยคของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน
      “ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงอภัยโทษพวกเขา...วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์...ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งลูก...นี่คือลูกของแม่...เรากระหาย...ทุกอย่างจบครบบริบูรณ์...ลูกขอมอบจิตวิญญาณลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์...”
       แล้วทรงก้มพระเศียร สิ้นพระชนม์
       เมื่อเห็นว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว จึงแทงหัวใจพระองค์ด้วยหอก มีพระโลหิตและน้ำไหลย้อนออกมา  น้ำและเลือดเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ชีวิตแห่งความรัก” และ “พระจิตเจ้า” ที่หลั่งเพื่อความรอดของโลก
       นายทหารที่อยู่ที่นั่นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วอุทาน “คนนี้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นบุตรพระเจ้า”
       ทุกอย่างจบลงด้วยการนำพระศพพระเยซูเจ้าลงจากกางเขนและนำไปฝังไว้ในคูหาใหม่
       บรรดาสมณะและฟาริสี ต่างจำได้ดีว่าพระเยซูเจ้าตรัสล่วงหน้าว่าพระองค์จะกลับเป็นขึ้นมา จึงประทับตราไว้บนแผ่นหินปิดคูหาและจัดทหารให้เฝ้ายามตลอดเวลา •

  
     ทางไปสู่ที่ประหาร
    
       ณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำลังกลับจากชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า 
       ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้งสตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งข้อนอกคร่ำครวญถึงพระองค์ 
       พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า ‘ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูก ๆ เถิด  เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อประชาชนจะพูดว่า “หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำเนิดบุตร และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข”
       เวลานั้นประชาชนจะพูดกับภูเขาว่า 
       “จงถล่มลงมาทับเราเถิด” และพูดกับเนินเขาว่า “จงกลบเราไว้เถิด” 
       เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับไม้แห้งเล่า’ 
       บรรดาทหารนำผู้ร้ายสองคนไปประหารพร้อมกับพระองค์ด้วย ลก 23:26-32


พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
       
        ทหารนำน้ำองุ่นเปรี้ยวผสมมดยอบให้พระองค์ดื่ม แต่พระองค์ไม่ทรงดื่ม  เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน แล้วแบ่งฉลองพระองค์กันโดยจับสลากว่าใครจะได้สิ่งใด เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย 
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน มก15:23-24, ลก15:23-24

 


       ปีลาตเขียนป้ายประกาศติดไว้บนไม้กางเขน เป็นข้อความว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” 
       ชาวยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายประกาศนี้เพราะสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายประกาศนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก 
       บรรดาหัวหน้าสมณะของชาวยิวกล่าวกับปีลาตว่า
      ‘อย่าเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่จงเขียนว่าคนนี้ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’ 
       ปีลาตตอบว่า
       “เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”

ทหารแบ่งฉลองพระองค์

       เมื่อบรรดาทหารตรึงพระเยซูเจ้าแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน นำไปคนละส่วน ส่วนเสื้อยาวของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอดตั้งแต่คอจนถึงชายเสื้อ  24เขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าแบ่งเสื้อตัวนี้เลย เราจับสลากกันเถิด ดูว่าใครจะได้” ดังนี้ ก็เป็นจริงตามพระคัมภีร์ ที่ว่า
       พวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกัน
       และจับสลากเสื้อยาวของข้าพเจ้า
       บรรดาทหารก็ทำเช่นนี้ 
ยน19,19-24

พระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนทรงถูกเยาะเย้ย

       ระชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้นำเยาะเย้ยพระองค์ว่า ‘เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ ก็ให้เขาช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร’  แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขานำเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย  พลางกล่าวว่า ‘ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้นซิ’ ลก23:35-37


ผู้ร้ายกลับใจ

       ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า
       ‘แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ’ 
       แต่อีกคนหนึ่งดุเขากล่าวว่า
       ‘แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกัน  สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย’ 
       แล้วเขาทูลว่า
       ‘ข้าแต่พระเยซู โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์’ 
       พระองค์ตรัสตอบเขาว่า
       ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์’ ลก23,39-43

พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ 


       เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมง  ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา ซาบั๊กทานี”  ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า”  
       ผู้ที่ยืนอยู่ที่นั่นบางคนได้ยินจึงพูดว่า “ฟังซิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์” 
       ชายคนหนึ่งวิ่งไปนำฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย กล่าวว่า “เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” มก15,33-36

 

พระเยซูเจ้ากับพระมารดา

       ระมารดาของพระเยซูเจ้าทรง ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 
       เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่”  แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน
 ยน19,25-27

 

พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์

       ลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็นจริงด้วย
       ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำองุ่นเปรี้ยวเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์  พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์ ยน19,28-30
       ระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์ ลก 23,46

        ทันใดนั้น ม่านในพระวิหาร ก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง แผ่นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินแตก  คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงลับไปแล้วกลับคืนชีพ  และออกมาจากหลุมศพหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปในนครศักดิ์สิทธิ์แล้วแสดงตนแก่ผู้คนจำนวนมาก 
       นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”
       ที่นั่น สตรีหลายคนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ สตรีเหล่านี้ติดตามพระเยซูเจ้ามาจากแคว้นกาลิลี เพื่อรับใช้พระองค์  ในจำนวนนี้มีมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟและมารดาของบุตรเศเบดี 
มท 27,51-56
        ระชาชนที่มาชุมนุมกันดูเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ข้อนอก พากันกลับไป ลก23,48

 

ทหารแทงด้านข้างพระวรกายของพระเยซูเจ้า

       วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่  เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึง และนำศพไป  บรรดาทหารทุบขาคนทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์  เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าก็เห็น ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกายของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกมา ทันที 
       ผู้ที่ได้เห็น ก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขา รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย  เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า
       กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง ยน19,31-37

การฝังพระศพ

       ลังจากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นศิษย์ลับ ๆ คนหนึ่งของพระเยซูเจ้าเพราะกลัวชาวยิว ขออนุญาตปีลาตอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าลง ปีลาตก็อนุญาต เขา จึงมาอัญเชิญพระศพลง         นิโคเดมัสซึ่งก่อนนั้นเคยมาเฝ้าพระองค์เวลากลางคืนก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมที่ผสมด้วยมดยอบและว่านหางจระเข้ หนักประมาณหนึ่งร้อยปอนด์  ทั้งสองคนอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้า ใช้ผ้าพันพระศพพร้อมกับใส่เครื่องหอมตามประเพณีฝังศพของชาวยิว 
       สถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย  เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองของชาวยิว และคูหาอยู่ใกล้ ยน19,38-42

 

ทหารยามเฝ้าพระคูหา

       วันรุ่งขึ้น เป็นวันสับบาโต บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีไปพบปีลาตพร้อมกัน  กล่าวว่า
       “ท่านขอรับ เราจำได้ว่าคนลวงโลกผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยพูดว่า  “ฉันจะกลับคืนชีพหลังจากสามวัน”  ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สาม เพื่อมิให้บรรดาศิษย์ของเขาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า “เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว” การหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน”
       ปีลาตจึงบอกเขาว่า
       “ท่านจงจัดทหารยาม ไปเฝ้าตามใจชอบเถิด” 
        บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวดโดยประทับตราที่หินปิดทางเข้าและวางยามไว้ มธ27,62-66



เล่าเรื่องพระเยซู 29 พระเยซูเจ้าและปิลาต


bluesilvanimcross.gif

29
พระเยซูเจ้าและปิลาต


       รรดาสงฆ์และสมาชิกแห่งซินเนดริน ติดตามด้วยผู้มักรู้มักเห็น พาพระเยซูเจ้าไปหาปิลาต หวังว่าปิลาตจะตัดสินประหารชีวิตพระองค์  หรือไม่ก็ขออำนาจในการดำเนินการตัดสินประหารชีวิตพระองค์
       ปิลาตคือใคร? มีการเขียนถึงเขา ไม่เพียงโดยผู้นิพนธ์พระวรสาร แต่นักประวัติศาสตร์ในยุคนั้น  ปิลาตเป็นผู้ปกครองชาวโรมันของยูดา แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ์ทีเบเรียส นักประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาเป็นคนโอหังและดื้อรั้น เป็นข้าราชการระดับปานกลาง แต่ชอบสบประมาทชาวยิว  ชาวยิวก็สบประมาทเขาเช่นกัน เพราะเขาไม่เคยทำอะไรที่น่านับถือ ตรงข้าม มักแสดงความเหี้ยมโหดและเผด็จการกับชาวยิวบางคน
       ทันทีที่ไปถึงหน้าจวนปิลาตประชาชนพากันตะโกน พวกเขาไม่เข้าไปในจวนคนต่างชาติเพราะกลัวจะเป็นมลทิน พวกเขานำพระเยซูเจ้ามาพร้อมกับข้อกล่าวหาร้ายแรงสามอย่าง นั่นคือ ปฏิวัติทางการเมือง ค้านการเสียภาษีแก่ชาวโรมัน และทำตัวเป็นศัตรูกับซีซาร์ พวกเขาจับพระเยซูเจ้ายืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษา
       ปิลาตผู้ไม่สนใจเกี่ยวกับศาสนาถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” 
       คำตอบของพระเยซูเจ้าทำให้ปิลาตรู้ว่าเป็นปัญหาด้านศาสนาและพระองค์คงเป็นนักปรัชญาแบบอุดมการณ์ผู้แสวงหาความจริง “ความจริงคืออะไร?”
       เมื่อเห็นว่าพระเยซูเจ้าไม่มีทนายป้องกันและไม่มีประจักษ์พยานของตน จึงพยายามปกป้องพระองค์และยืนยันว่าพระองค์ไม่มีความผิด
      ปิลาตพยายามจะปล่อยพระองค์ไป เสนอพระองค์เป็นตัวเลือกกับบารับบาหัวหน้าโจรปฏิวัติและฆาตกรให้ประชาชนขอให้ปล่อยตัว  เมื่อไม่สำเร็จตามใจหวัง ก็สั่งให้ลงโทษพระองค์ด้วยการเฆี่ยนด้วยแซ้สายหนังที่มีปลายเป็นปุ่มโลหะ  ปิลาตแน่ใจว่าประชาชนจะถือว่าเป็นการลงโทษที่สาสมแล้ว
       ทหารพากันเฆี่ยนตีพระเยซูเจ้า แถมล้อเลียนสบประมาท เอาเสื้อคลุมมาสวมให้แบบกษัตริย์ พร้อมกับมงกุฏหนามและต้นอ้อเป็นดังคทา
       เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าในสภาพนี้ ปิลาตรู้สึกสงสาร พยายามจะแก้ต่างให้พระองค์อีก จึงนำพระองค์ออกมาให้ประชาชนเห็นพร้อมตะโกนว่า “นี่แหละเขา”
       เมื่อเห็นพระเยซูเจ้า ประชาชนพากันร้องตะโกน “เอามันไปตรึงกางเขน มันต้องตายเพราะทำตัวเป็นบุตรพระเจ้า”  ข้อกล่าวหาสุดท้ายนี้ทำให้ปิลาตกลัว (บวกกับการที่ภรรยาพูดถึงความฝันเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า) ปิลาตจึงกลับมาหาพระเยซูเจ้าและอยากจะรู้ว่าพระองค์มาจากไหน
       คำตอบของพระเยซูเจ้าทำให้ปิลาตมั่นใจยิ่งขึ้นว่าพระองค์ไม่มีความผิดแต่อย่างใด  ในเวลาเดียวกันก็ทึ่งในท่าทีทรงอำนาจของพระองค์ “ใครที่มอบเราไว้ในมือท่านมีความผิดมากกว่าท่าน”
       แต่เมื่อประชาชนตะโกนว่าหากปิลาตปล่อยพระเยซูเจ้า ก็แสดงว่าปิลาตเป็นศัตรูของซีซาร์ ปิลาตกลัวต้องเสียตำแหน่ง จึงล้างมือไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยและตัดสินให้พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน พร้อมกับประกาศกับประชาชนว่า “นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน”
       ผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่คนเขียนบรรยายเกี่ยวกับความเจ็บปวดแห่งพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์






       ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น นำพระองค์ไปมอบให้ปีลาต

 

       พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาต

       เขาเหล่านั้นตั้งข้อกล่าวหาพระองค์โดยพูดว่า “เราพบคนคนนี้ยุยงประชาชนของเรา ห้ามเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิ และอ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ กษัตริย์”  ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า
       ‘ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ’
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       ‘ท่านพูดเองนะ’ 
       ปีลาตจึงพูดกับบรรดาหัวหน้าสมณะและประชาชนว่า
       ‘เราไม่พบความผิดข้อใดในคนคนนี้’ 
       แต่พวกเขาย้ำอีกว่า
       ‘เขาก่อกวนประชาชน เที่ยวสั่งสอนทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มตั้งแต่แคว้นกาลิลีจนถึงที่นี่’ 
       เมื่อปีลาตได้ยินดังนี้จึงถามว่า “คนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือไม่” เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงอยู่ในอำนาจของกษัตริย์เฮโรด จึงส่งพระองค์ไปให้กษัตริย์เฮโรด ซึ่งในขณะนั้นประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม

 

       พระเยซูเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์เฮโรด

       เมื่อกษัตริย์เฮโรดทอดพระเนตรเห็นพระเยซูเจ้า ก็ทรงยินดีมาก เพราะทรงได้ยินเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า มีพระประสงค์จะเห็นพระองค์มานานแล้ว และทรงหวังจะได้เห็นอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้าบ้าง  กษัตริย์เฮโรดตรัสถามพระเยซูเจ้าหลายเรื่อง แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงตอบแต่ประการใด  บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ซึ่งอยู่ที่นั่นร่วมกันกล่าวหาพระเยซูเจ้าอย่างรุนแรง  กษัตริย์เฮโรดพร้อมกับบรรดาทหารสบประมาทเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า ให้พระองค์สวมเสื้อสีฉูดฉาด  และส่งกลับไปมอบให้ปีลาต  กษัตริย์เฮโรดและปีลาตซึ่งแต่ก่อนเป็นศัตรูกัน ก็กลับเป็นเพื่อนกัน ลก23,1-12

 

พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาตอีกครั้งหนึ่ง 

       ปีลาตเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะ บรรดาผู้นำและประชาชน  แล้วพูดกับเขาว่า
        ‘ท่านทั้งหลายนำชายผู้นี้มาหาเราในฐานะเป็นผู้ยุยงประชาชนให้กบฏ  เราไต่สวนเขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว แต่ไม่พบว่าเขามีความผิดประการใดตามที่ท่านกล่าวหา  กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบความผิดประการใดด้วย จึงทรงส่งเขากลับมาให้เราอีก ท่านก็เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ทำผิดที่ควรจะมีโทษถึงตาย เพราะฉะนั้น  เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยไป’ ลก23,13-16

       ปีลาตจึงออกมาพบเขาข้างนอก กล่าวว่า
       “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้”
       เขาตอบว่า 
       “ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เราคงไม่นำมามอบให้ท่าน” 
       ปีลาตพูดกับเขาว่า
       “ท่านทั้งหลายจงนำเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด”
       ชาวยิวตอบว่า
       “พวกเราไม่มีอำนาจประหารชีวิตผู้ใดได้ 
        ดังนี้ พระวาจาของพระเยซูเจ้าจึงเป็นจริงตามที่ตรัสไว้ล่วงหน้าว่า พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์อย่างไร
        ปีลาตกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า
       “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” 
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” 
       ปีลาตตอบว่า
      “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวหรือ ชนชาติของท่าน และบรรดาหัวหน้าสมณะมอบท่านให้ข้าพเจ้า ท่านทำผิดสิ่งใด” 
      พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้”        
       ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า
      “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหม”
      พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์นั้นถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา” 
       ปีลาตจึงถามว่า
       “ความจริงคืออะไร”
       พูดดังนี้แล้ว เขาก็กลับออกมาพบชาวยิวข้างนอกอีก พูดว่า
       “ข้าพเจ้าไม่พบข้อกล่าวหาอะไรปรักปรำชายผู้นี้ได้" ยน 18,29-38

       มีประเพณีที่ผู้ว่าราชการต้องปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามคำขอร้องของประชาชนในวันฉลอง 
       เวลานั้น มีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งชื่อ บารับบัส  ดังนั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกัน ปีลาตจึงถามว่า “ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใด ปล่อยบารับบัส หรือเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์”  ปีลาตรู้อยู่แล้วว่า เขาจับพระองค์มามอบให้เพราะความอิจฉา
      ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ศาลนั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาบอกว่า
      “อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชอบธรรมคนนี้เลย เพราะวันนี้ ฉันฝันถึงเรื่องของคนคนนี้ จึงไม่สบายใจมาก”
       แต่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสเสี้ยมสอนยุยงประชาชนเพื่อขอให้ปล่อยบารับบัส และประหารพระเยซูเจ้า  ผู้ว่าราชการจึงถามว่า “ในสองคนนี้ ท่านอยากให้ข้าพเจ้าปล่อยคนไหน” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”
      ปีลาตจึงถามว่า
       “ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าทำอะไรกับเยซู ซึ่งมีชื่อว่า พระคริสต์”
       ทุกคนตอบว่า “ให้เขาถูกตรึงกางเขน” 
       ปีลาตถามอีกว่า
       “เขาทำผิดอะไร”
       แต่ประชาชนร้องตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า
       “ให้เขาถูกตรึงกางเขน” มธ27: 15-23

       เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะวุ่นวายยิ่งขึ้น จึงนำน้ำมาล้างมือ ต่อหน้าประชาชน กล่าวว่า
       “ข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลหิต ของผู้นี้ เรื่องนี้เป็นธุระของท่าน” 
        ประชาชนทุกคนตอบว่า
        “ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเราและเหนือลูกหลานของเราเถิด” 
        แล้วปีลาตสั่งให้ปล่อยบารับบัส สั่งให้โบยตีพระเยซูเจ้า แล้วมอบพระองค์ให้เขานำไปตรึงบนไม้กางเขน มธ27: 24-26


พระเยซูเจ้าทรงถูกสวมมงกุฎหนาม



       รรดาทหารของผู้ว่าราชการนำพระเยซูเจ้าเข้าไปในจวน และเรียกทหารทั้งกองมาพร้อมกัน เขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก นำเสื้อคลุมสีม่วงแดงมาคลุมให้ นำหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ถือไม้อ้อในพระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญเทอญ”  เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์ ฉวยไม้อ้อฟาดพระเศียร มธ 27,27-30
       ปีลาตออกมาข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง พูดกับคนเหล่านั้นว่า
       “ดูเถิด เรานำชายผู้นี้ออกมา ให้ท่านรู้ว่าเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด” 
       แล้วพระเยซูเจ้าเสด็จออกมาข้างนอก ทรงมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีแดง ปีลาตพูดกับประชาชนว่า
        “นี่คือ คนคนนั้น” 
        เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและยามรักษาพระวิหารเห็นพระองค์ก็ตะโกนว่า
        “เอาไปตรึงกางเขน เอาไปตรึงกางเขน”
        ปีลาตสั่งว่า
        “ท่านทั้งหลาย จงนำเขาไปตรึงกางเขนกันเองเถิด เพราะเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด 
        ชาวยิวตอบว่า
        “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้น เขาต้องตาย เพราะตั้งตนเป็นบุตรของพระเจ้า” ยน 19,4-7
       มื่อปีลาตได้ยินถ้อยคำนี้ ก็มีความกลัวมากขึ้น  จึงเข้าไปในจวนอีก ถามพระเยซูเจ้าว่า
       “ท่านมาจากไหน” พระเยซูเจ้าไม่ตรัสตอบแต่ประการใด 
        ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า
        “ท่านไม่อยากพูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่า เรามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะตรึงกางเขนท่านก็ได้ 
        พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
        “ท่านไม่มีอำนาจใดเหนือเราเลย ถ้าท่านมิได้รับอำนาจนั้นมาจากเบื้องบน  ดังนั้น ผู้ที่มอบเราให้ท่านก็มีบาปมากกว่าท่าน” ยน 19,8-11

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินประหารชีวิต

       นับตั้งแต่นั้น ปีลาตพยายามหาทางปล่อยพระองค์ ชาวยิวตะโกนว่า
       “ถ้าท่านปล่อยผู้นี้ไป ท่านก็ไม่เป็นมิตรของพระจักรพรรดิ ผู้ใดตั้งตนเป็นกษัตริย์ ก็เป็นศัตรูของพระจักรพรรดิ” 
      เมื่อปีลาตได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ จึงสั่งให้นำพระเยซูเจ้าออกมาข้างนอก ให้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาในสถานที่ที่เรียกว่า “ลานศิลา” ภาษาฮีบรูว่า กับบาธา  วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองปัสกา เวลาประมาณเที่ยงวัน ปีลาตบอกชาวยิวว่า
      “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย” 
       เขาเหล่านั้นตะโกนว่า
       “เอาตัวไป เอาตัวไปตรึงกางเขน”
       ปีลาตถามเขาว่า
       “จะให้เราตรึงกางเขนกษัตริย์ของท่านหรือ”
       บรรดาหัวหน้าสมณะตอบว่า
       “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่น นอกจากพระจักรพรรดิ” 
       ปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำไปตรึงกางเขน ยน 19,12-16

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2012 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:6-10

zwani.com myspace graphic comments

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง
2 คร 5:6-10

          พี่น้อง เรามีความมั่นใจอยู่เสมอและทราบว่า เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในร่างกาย เราก็ถูกเนรเทศห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตาแลเห็น เรามีความมั่นใจและปรารถนาที่จะถูกเนรเทศจากร่างกายมากกว่า เพื่อไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในร่างกายหรือถูกเนรเทศจากร่างกาย เราก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นที่พอพระทัย เพราะเราทุกคนจะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ได้กระทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นว่าจะดีหรือชั่ว

zwani.com myspace graphic comments

ผู้กลับใจ