17 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู (จบ) 31 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนชีพจริงแท้

bluesilvanimcross.gif

31
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนชีพจริงแท้


       ทว่าเรื่องราวไม่ได้จบลงที่นี่ แม้ว่าศิษย์ของพระเยซูเจ้าหลายคนจะคิดและตระหนักใจว่าการผจญภัยที่พวกเขาได้เริ่มกับพระเยซูแห่งนาซาแร็ธมาสามปีจบลงแล้ว
       หญิงคนหนึ่งที่มารู้ว่าไม่เป็นเช่นนี้ เธอคือมารีย์ มักดาลา ที่เคยชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำหอมล้ำค่าและรักพระองค์มากกว่าใคร เมื่อเธอมาถึงคูหาฝังร่างของพระเยซูเจ้า เธอเห็นว่าคูหาว่างเปล่า จึงรีบวิ่งไปบอกบรรดาศิษย์ “พวกเขาได้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากคูหา”
       เปโตรและยอห์นมาพบความจริงเดียวกัน พวกเขาเข้าไปในคูหาฝังพระศพและไม่พบพระศพ มีผ้าห่อหุ้มศพของพระองค์ รวมกับผ้าปิดพระพักตร์วางอยู่เคียงข้างกัน พวกเขากลับมาบ้านด้วยความเศร้าโศกและผิดหวัง
       แต่มารีย์ มักดาลา ยังคงอยู่ต่อไปที่พระคูหาเพื่อร้องไห้ ทันใดเธอจำเสียงพระองค์ได้ พระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ “มารีย์”
       เธอไม่สงสัยอีกต่อไป ความไม่แน่ใจหายไปสิ้น ตั้งแต่เช้าตรู่ พระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนอยู่ที่นั่น อยู่ต่อหน้าเธอและเธอสามารถจูบพระบาท สวมกอดพระองค์
       “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ที่นี่” พระเยซูเจ้าตรัส “แต่จงไปหาพี่น้องของเราและบอกพวกเขาว่าเรากลับไปหาพระบิดาของเรา พระเจ้าของทุกคน”
       หลังจากที่นำข่าวไปแจ้งบรรดาศิษย์ รุ่งสางมารีย์กับสตรีบางคนซึ่งเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้ากลับมาที่คูหาฝังศพ พบว่าหินก้อนใหญ่ที่ปิดทางเข้าคูหาถูกเคลื่อนออกมา คูหาว่างเปล่า หนุ่นคนหนึ่งในชุดขาวถามพวกเธอว่า “พวกเธอมาหาใคร? พระเยซูแห่งนาซาแร็ธที่ถูกตรึงกางเขนไม่อยู่ที่นี่ ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว จงไปบอกเรื่องนี้แก่ศิษย์ของพระองค์” พวกเธอออกจากบริเวณคูหาฝังศพ สับสน และวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว  พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์และตรัสกับพวกเธอว่า “จงอย่ากลัวเลย”
       พฤติกรรมของพวกเธอยืนยันกับบรรดาศิษย์ได้อย่างชัดแจ้งว่า “พระเยซูเจ้า ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทรงกลับคืนชีพแล้ว”
       ทว่าบรรดาศิษย์กลับมีท่าทีตรงข้ามลูกาบอกว่าพวกเขาหาว่าบรรดาสตรีเพ้อเจ้อและแต่งเรื่องราวไร้สาระ
       จึงเห็นได้ว่า เช้าวันอาทิตย์นั้น ไม่มีศิษย์คนใดเชื่อการกลับคืนชีพของพระอาจารย์ ยกเว้นบรรดาสตรี

       พวกเขาต้องเห็นพระองค์ด้วยตาพวกเขาเอง ต้องฟังพระองค์พูดกับหู อีกทั้งต้องรับของขวัญแห่งสันติและพระจิตเจ้า ต้องเอานิ้วแยงเข้าที่รอยแผลจากตาปูเพื่อจะเชื่อว่าพระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว  และทุกอย่างก็เกิดขึ้นในค่ำวันอาทิตย์นั้นเอง
       แม้แต่ศิษย์สองคนแห่งเอมมาอุสแทบจะจำพระองค์ไม่ได้ ถึงจะเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์ เพราะพวกเขาดื้อรั้นและเชื่อยากในสิ่งที่บรรดาประกาศกได้กล่าวถึงพระองค์
       การปรากฏองค์ของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงสี่สิบวันที่พระองค์ทรงอยู่กับบรรดาศิษย์
       เปาโลซึ่งถือว่าเป็นสาวกคนที่สิบสาม ได้ยืนยันถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนและกลับเป็นขึ้นมา  ในปีที่ 45 ท่านเขียนในจดหมายฉบับแรกถึงชาวโครินท์ “พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ดังที่มีเขียนในพระคัมภีร์และทรงถูกฝังไว้  แต่สามวันต่อมา ทรงกลับคืนชีพตามที่มีเขียนในพระคัมภีร์และได้ทรงปรากฏพระองค์แก่เปโตร  แล้วนั้นก็ทรงปรากฏองค์แก่สาวกทั้งสิบสอง พวกเขาส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็มีบางคนที่เสียชีวิตไปแล้วต่อมาทรงปรากฏองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นก็ทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ในที่สุด ทรงแสดองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย” (คร15,3-9)
       เปโตร หัวหน้าของสาวก ไม่เพียงได้เห็นพระเยซูเจ้าที่ทะเลสาบเท่านั้น แต่ยังได้ยินพระองค์ถามว่า “ซีมอน ท่านรักเราไหม?” ถึงสามครั้ง
       พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้เปโตรลบล้างความผิดที่ได้ปฏิเสธพระองค์สามครั้งที่บ้านของไคฟาส  พร้อมกับทรงมอบหมายภารกิจให้เขาดูแลหมู่คณะคริสตชน เป็นประจักษ์พยานให้แก่โลกว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ ได้ทรงกลับคืนชีพแล้ว
       พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์ที่เยรูซาเล็มและแคว้นยูเดีย ในห้องอาหารและตามถนนหนทาง บนภูเขาและริมฝั่งทะเลสาบ ทั่วไปในทุกแห่ง องค์พระผู้ทรงกลับคืนชีพคือผู้ที่แสดงองค์ให้เห็นทั่วไป เพราะพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่กับเราเสมอไป
       เหตุการณ์น่าทึ่งยังดำเนินต่อไป แม้ยากจะยอมรับ แต่ประจักษ์พยานของผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่ยืนยันให้เห็นความจริงในรูปแบบเดียวกัน  ตามมาด้วยบุคคลจำนวนมากที่ร่วมเป็นประจักษ์ในเหตุการณ์น่าทึ่งนี้ในประวัติศาสตร์มนุษย์จนกระทั่งทุกวันนี้ 



 

พระคูหาว่างเปล่า

       ช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว
        นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
        เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา  ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน  เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน  ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติด ๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น  รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง  ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ  เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย  หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งสองคนก็กลับไปบ้าน ยน 20,1-10

พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา

        ารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา  ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท  ทูตสวรรค์ทั้งสองถามนางว่า
        “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม”
        นางตอบว่า
        “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด”       
        เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า  พระองค์ตรัสถามนางว่า
        “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด”
        นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า
        “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา”
        พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า
        “มารีย์ นางจึงหันไป
        ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า
        “รับโบนี ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์
        พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า
        “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย”
        มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง ยน 20,11-18

 

พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์

       มื่อวันสับบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมเพื่อชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว สตรีทั้งสามคนไปยังพระคูหา และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา” แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่าก้อนหินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง  ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า “อย่ากลัวไปเลย ท่านกำลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ สถานที่นี้คือสถานที่ที่เขาได้วางพระศพไว้  จงไปแจ้งบรรดาศิษย์และเปโตรให้รู้ว่า  “พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านทั้งหลายไปในแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น  ดังที่ทรงบอกท่านไว้” สตรีทั้งสามคนออกจากพระคูหา หนีไปเพราะตกใจกลัวจนตัวสั่น และไม่ได้พูดเรื่องใด ๆ กับใครเลยเพราะกลัว มก16,1-8

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่สตรีทั้งสองคน

       ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน  ตรัสว่า “จงยินดีเถิด”
       ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” มธ 28,9-10

 

ผู้นำชาวยิวป้องกันตน

       มื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ มธ 28,11 

 

พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์

       บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น  ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ มธ 28,2-3

 

ผู้นำชาวยิวป้องกันตน

       บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร  สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ”
       ทหารได้รับเงินและกระทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ มธ 28,12-15

 

การเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส

       วันนั้น ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร  ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
       ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง
      พระองค์ตรัสถามว่า
      ‘ท่านสนทนากันเรื่องอะไรตามทาง ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง
       ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า
       'ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้’         พระองค์ตรัสถามว่า
       ‘เรื่องอะไรกัน’
        เขาตอบว่า
        ‘ก็เรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำนาจในกิจการและคำพูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง  บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน  เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  สตรีบางคนในกลุ่มของเราทำให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่  เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  บางคนในกลุ่มของเรา ไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์’
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
       'เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้  พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ’
       แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก
       เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรงทำท่าว่าจะทรงพระดำเนินเลยไป  แต่เขาทั้งสองรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว’ พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา  ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา
        เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา
        ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า ‘ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’
        เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่น ๆ
        เขาเหล่านี้บอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริง ๆ และทรงสำแดงพระองค์แก่ซีโมน’  ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ลก 24,13-35

 

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์

       ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
       ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี
       พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า
       “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”
       ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลม เหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า  “จงรับพระจิตเจ้าเถิด" ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด
       บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” ยน 20,19-23

       ทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่น ๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา  ศิษย์คนอื่น บอกเขาว่า
        “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”
        แต่เขาตอบว่า
        “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
       แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดอยู่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”  แล้วตรัสกับโทมัสว่า
       “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด”
       โทมัสทูลพระองค์ว่า
        “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”
        พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
        “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” ยน 20,24-29



       มื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม”
       เปโตรทูลตอบว่า
       “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
        พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม”
       เขาทูลตอบว่า
       “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
        พระองค์ตรัสกับเขาว่า
        “จงดูแลลูกแกะของเราเถิด"
       พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า
       “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม”
       เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า
       “ท่านรักเราไหม
        เขาทูลตอบว่า
       “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”     
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด” เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”
       พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด” ยน21,15-19

       ปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนที่เอนกายชิดพระอุระพระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารค่ำ และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ทรยศพระองค์เป็นใคร”  เมื่อเปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า”
       พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
       “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระอะไรของท่านเล่า ท่านจงตามเรามาเถิด”
       ดังนั้น จึงมีเรื่องที่เล่าลือกันไปทั่วในกลุ่มบรรดาพี่น้องว่าศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระอะไรของท่านเล่า”ยน21,20-23

       นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ ว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง
       ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น ยน21,24-25



ผู้กลับใจ