13 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 5.ขึ้นไปเยรูซาเล็ม



3453.gif
5
ขึ้นไปเยรูซาเล็ม
       ามพระวรสารของยอห์น พระเยซูเจ้าเคยเสด็จไปเยรูซาเล็มแล้ว แต่ในปี 28 แห่งคริสตศักราช        พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนุ่มแล้วและเสด็จไปเยี่ยงพระเมสิยาห์พร้อมกับอำนาจแห่งพระเจ้า
       เยรูซาเล็มอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 740 เมตร ตั้งอยู่กลางทะเลทรายยูดา อยู่สูงกว่าเมืองเยริโก
กว่า 1000 เมตร
       เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงทั้งด้านศาสนาและด้านการเมืองชาวยิว ศูนย์กลางแห่งชีวิตจิตของประชาชนอยู่ที่พระวิหารสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่กราบไหว้นมัสการพระยาห์เวห์ ที่นั่นมีตำแหน่งหัวหน้าสงฆ์ประจำอยู่
       ชาวยิว ทั้งในยูเดอาและที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นภาคต่างๆ มองดูพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและถือกันว่าสงฆ์ใหญ่คือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ากว่าใคร
       กวีชาวยิวได้รับแรงบันดาลใจจาก “เมืองแห่งพระเจ้า” เขียนยกย่องว่า
       “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองสูงเด่น
       เป็นความยินดีสำหรับแผ่นดิน
       ภูเขาซีออนเป็นที่ประทับของพระเจ้า
       เป็นเมืองของกษัตริย์
       พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการ
       เมืองแข็งแกร่งยากจะพิชิตได้
       พระเจ้าทรงสถาปนาเมืองนี้ไว้ตลอดไป”
 (Sl 48)
       ชื่อของเมืองหมายความว่า “เมืองแห่งสันติภาพ”
       เป็นความดีสูงส่งที่ทุกคนกล่าวขวัญ แต่น้อยคนที่ต้องการ
       กวีต่างวาระต่างกาลได้เขียนถึงกรุงเยรูซาเล็มในเชิงโจมตี ตำหนิ บรรเทาใจ กล่าวขวัญ สรรเสริญ รัก
       “ถ้าข้าพเจ้าลืมเจ้า เยรูซาเล็มเอ๋ย
       ขอให้มือขวาข้าพเจ้าเหี่ยวเฉาไป
       ถ้าข้าพเจ้าลืมท่าน
       ขอให้ลิ้นข้าพเจ้าติดกับเพดานปาก
       ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ยกย่องเยรูซาเล็มไว้เหนือความยินดีของข้าพเจ้า”
 (Sl 137)
       ไม่มีใครอาจเฉยเมยต่อหน้าเสน่ห์ของเยรูซาเล็มได้
       แต่เฉพาะผู้ที่มองมันด้วยดวงใจใหม่
       ก็สามารถเก็บเกี่ยวมิติเหนือธรรมชาติและนิรันดรของมันได้หมด

       เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ
       พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทุกคนรวมทั้งแกะและโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด และทรงคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงิน  แล้วตรัสแก่คนขายนกพิราบว่า “จงนำของเหล่านี้ออกไปอย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด”
       บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ถึงคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า"
       ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า
       "ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอำนาจทำดังนี้"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "จงทำลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน"
        ชาวยิวพูดว่า
        "วิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวันหรือ"
        แต่พระองค์กำลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์
        ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วบรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้

       ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา คนจำนวนมากเชื่อในพระนามของพระองค์เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่ทรงกระทำ แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้น ทรงรู้จักทุกคน พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยานในเรื่องมนุษย์ เพราะทรงทราบดีว่ามีสิ่งใดอยู่ในใจมนุษย์ (ยน2: 13-25 )



       ายคนหนึ่งจากกลุ่มชาวฟาริสีชื่อ นิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของชาวยิว  เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอนกลางคืน ทูลว่า
       "รับบี พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่"
       นิโคเดมัสทูลถามว่า
       "คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไรกัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ"
       พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า
       "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนังสิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่าท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ลมต้องการท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหนทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่น
นี้"
       นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า
       "เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ"
       "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้ และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็นแต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา  ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น
       "โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น15เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร
       "พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมี
ชีวิตนิรันดร
       "เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลกแต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษแต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้วเพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้วแต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะการกระทำของเขา
นั้นชั่วร้าย
       "ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่างเกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่างเพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำได้ทำโดยพึ่ง
พระเจ้า" (ยอห์น3: 1-21)
       ลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้าไปในแคว้นยูเดีย พระองค์ประทับอยู่กับเขาที่นั่นและทรงทำพิธีล้าง  ส่วนยอห์นก็ทำพิธีล้างอยู่ที่ไอโนน ใกล้ตำบลซาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำบริบูรณ์ ประชาชนต่างมารับพิธีล้าง  เวลานั้น ยอห์นยังไม่ถูกจำคุก
       ชาวยิวคนหนึ่งเริ่มโต้เถียงกับศิษย์บางคนของยอห์นเรื่องการชำระล้าง คนเหล่านั้นจึงไปหายอห์น พูดว่า
       "รับบี ขณะนี้ผู้ที่เคยอยู่กับท่านที่แม่น้ำจอร์แดนฟากโน้น และท่านเป็นพยานถึงเขากำลังทำพิธีล้างอยู่ และทุกคนก็ไปหาเขา"
       ยอห์นตอบว่า
       "มนุษย์มีสิ่งใดไม่ได้นอกจากสิ่งที่ได้รับจากสวรรค์ ท่านทั้งหลายก็เป็นพยานได้ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้า  ไม่ใช่พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาก่อนพระองค์ ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าวแต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังอยู่ย่อมยินดีเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวข้าพเจ้ามีความยินดีเช่นนี้ และความยินดีของข้าพเจ้าก็สมบูรณ์ พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้นส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง" (ยอห์น 3:22-30)




     ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคนผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินแต่ไม่มีใครยอมรับคำยืนยันของเขา ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขาก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้าเพราะพระเจ้า ประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัด
       พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดรผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้นการลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว’ (ยน3: 31-36)



นักบุญ มัสธีอัีส อัครธรรมทูต 14 พฤษภาคม


 
พระเจ้าทรงสถาปนาพระศาสนจักรของพระองค์บนรากฐานของ อัครธรรมทูตองค์ที่ 12 นี้ด้วย เพื่อเข้าแทนยูดาสผู้ทรยศ อัครธรรมทูตทั้ง 11 องค์ได้พร้อมใจกันเลือกนักบุญ มัทธีอัส เนื่องจากว่าท่านได้ติดตามพระเยซูคริสตเจ้าระหว่างที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์กับประชากรพระเจ้า โดยเริ่มตั้งแต่พิธีล้างของท่านยอห์น แบปติสต์ จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ( กจ.1:15-26 ) เพราะได้รับการรับรองเช่นนี้ท่านจึงสามารถกลายเป็นคนหนึ่งในพวกอัครธรรมทูตที่ได้เป็นพยานยืนยันถึงการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้าตามที่นักประวัติศาสตร์ เอวเซบีโอ แห่งเซซาเรีย ได้บันทึกไว้ นักบุญ มัทธีอัส คงจะเป็นสาวกองค์หนึ่งในจำนวน 72 องค์ของพระเยซูเจ้า
พระศาสนจักรได้เลื่อนวันฉลองของท่านจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ มาเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งอยู่ในเทศกาลปัสกา ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าจะได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น กับการที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นอัครธรรมทูตและเป็น “องค์พยานของพระผู้ได้เสด็จกลับคืนชีพ”

คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. ขอให้ได้มีธรรมทูตใหม่ๆ เข้ามาแทนที่คนที่ได้เสียไป
2. ขอให้บรรดาพระสังฆราชได้มีความรัก ความเมตตา และมีใจร้อนรนใน การแพร่ธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
3. ขอให้พระศาสนจักรได้มีความชิดสนิทสัมพันธ์กับบรรดาอัครธรรมทูตและนักบุญ เปโตร
4. ขอให้ทุกคนเข้าร่วมอยู่ในพันธสัญญาสากลแห่งการช่วยให้รอด

ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลจันทบุรี
หมายเหตุ การเลือกมัทธีอัสเป็นอัครสาวกแทนยูดาส จากหนังสือกิจการอัครสาวก บทที่1 ข้อ 12-26
คราวนั้น เปโตรได้ยืนขึ้นท่ามกลางพี่น้องที่ประชุมกันอยู่ มีรวมทั้งสิ้นประมาณ 120 คน  และกล่าวว่า ”พี่น้องทั้งหลาย จำเป็นที่พระคัมภีร์จะต้องเป็นจริงตามที่พระจิตเจ้าทรงใช้พระโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิดตรัสล่วงหน้าถึงยูดาส ผู้นำคนมาจับกุมพระเยซูเจ้า ยูดาสผู้นี้เคยเป็นคนหนึ่งในคณะของเราและร่วมภารกิจกับเรา ยูดาสผู้นี้นำเงินที่ได้มาจากการประกอบอาชญากรรมไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง เขาล้มคว่ำลงที่นั่น ท้องแตกไส้ทะลัก ผู้อาศัยในกรุงเยรูซาเล็มทุกคนรู้เรื่องนี้ดี จึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตามภาษาของเขาว่า “ฮาเคลดามา” แปลว่า “นาเลือด” เพราะมีเขียนไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า “ขอให้ที่อยู่ของเขาถูกทิ้งร้าง อย่าให้มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย” และอีกตอนหนึ่งว่า “ขอให้ผู้อื่นรับหน้าที่แทนเขา”
ดังนั้น ในบรรดาคนทั้งหลายซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลาที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำเนินชีวิตอยู่กับเรา เริ่มตั้งแต่พิธีล้างของยอห์นจนถึงวันที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์นั้น จำเป็นที่คนหนึ่งจะต้องเป็นพยานร่วมกับเราถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์” 
ผู้ที่มาชุมนุมกันเสนอชื่อชายสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบาร์ซับบัสหรือยุสทัส และอีกคนหนึ่งชื่อมัทธีอัส เขาทั้งหลายอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทุกคน ขอทรงแสดงให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ว่า พระองค์ทรงเลือกคนใดในสองคนนี้ ให้รับหน้าที่รับใช้เป็นอัครสาวกแทนยูดาสที่ละทิ้งหน้าที่นี้เพื่อไปตามวิถีทางของตน” เขาจึงจับสลากระหว่างสองคนนี้ และจับสลากได้มัทธีอัส มัทธีอัสจึงได้เข้าร่วมคณะกับอัครสาวกสิบเอ็ดคน
ข้อมูลจากเวปไซด์คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์

วันฉลองแม่พระฟาติมา แม่พระแห่งฟาติมา


วันฉลองแม่พระฟาติมาแม่พระแห่งฟาติมาชาวคาทอลิกศรัทธาต่อพระนางมารีย์ ผู้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า “แม่พระแห่งฟาติมา” คาทอลิกส่วนมากทราบว่า พระนางมารีย์ได้ประจักษ์มาแก่เด็กเลี้ยงแกะสามคน คือ ลูซีอา ซันโทส ฟรังซิสโก มาร์โตและน้องสาวชื่อ ยาชินทา มาร์โต ที่ตำบลฟาติมา ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 1917
ข้อเรียกร้อง 3 ประการ
พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกรับรองการประจักษ์ของพระนางมารีย์ที่ฟาติมาและพยายามสอนให้คริสตชนสนองตอบเสียงเตือนของพระเจ้า โดยผ่านทางพระนางมารีย์ว่า
1. ให้ศรัทธาต่อพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนาง และเราทุกคนก็เป็นลูกของพระน าง ดังที่พระองค์มอบเราแก่พระนาง โดยผ่านทางนักบุญยวงที่เชิงกางเขน (ยน.19:25-27)
2. พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ และยังมีชีวิตอยู่ในพระศาสนจักรเสนอวิงวอนเพื่อเรา โดยอาศัยพระจิตเจ้า เหตุการณ์ที่ฟาติมาเป็นเครื่องหมายยืนยันสิ่งนี้
3. สิ่งที่แม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา ขอร้องคริสตชนคือ พลีกรรมใช้โทษบาป ภาวนาและถวายตนแด่ดวงหทัยนิรมลของพระนางเรียกร้องเราทุกคน 3 ประการคือ

- จงวางใจในพระเจ้าแม้สภาพสังคมปัจจุบันจะดึงเราให้ออกห่างจากพระองค์ จงวางใจในพระเจ้าดีกว่าเชื่อในมนุษย์

- จงส่งเสริมความสำนึกว่าเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน ต้องช่วยเหลือกันและกันมากกว่าที่จะดำเนินชีวิ ตแบบ “ตัวใครตัวมัน” แต่จงเป็นคนใจกว้างเพื่อผู้อื่นเสมอ

- จงสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในชีวิตคริสตชน ด้วยการถวายตนเองแด่ดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีอา เมื่อเราได้รับศีลล้างบาป เราก็มีสิทธิ์เป็นสมาชิกในครอบครัวใหญ่ เป็นลูกของพระ มีหน้าที่ส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ (หน้าที่สงฆ์) หน้าที่รับใช้ผู้อื่น (หน้าที่ปกครอง) และหน้าที่ประกาศข่าวดี และความรักข องพระเยซูเจ้า (หน้าที่ประกาศก) โดยอาศัยการถวายตัวแด่แม่พระ เราก็สามารถไปพบกับพระเยซูเจ้าได้



ผู้กลับใจ