04 เมษายน 2558

รายละเอียดทางกายวิภาค และจิตวิเคราะห์ของผู้ตาย เพราะถูกตรึงกับไม้กางเขน


รายละเอียดทางกายวิภาค และจิตวิเคราะห์ของผู้ตาย เพราะถูกตรึงกับไม้กางเขน ~ (แปลและเรียบเรียงโดย คุณพ่อยอห์น บัปติสต์ พงศ์เทพ ประมวลพร้อม จากหนังสืออุดมศานต์ เดือนกรกฎาคม 2013)

***คุณจะทำสิ่งนี้เพื่อพระองค์ได้หรือไม่ กรุณาหยุดสิ่งที่คุณทำอยู่เวลานี้และแบ่งปันข้อความนี้กับเพื่อนๆของคุณ อย่าดูแคลนข้อความนี้ว่าเป็นเพียงข่าวสารที่เราส่งต่อ กรุณาส่งอีเมล์เนื้อหานี้ไปยังทุกคนที่คุณมีรายชื่อของพวกเขาและขอให้เขาส่งต่อไปตามรายชื่ออื่นๆที่เขามี การกระทำเช่นนี้มีแต่สิ่งที่เราจะได้มากมายและไม่มีสิ่งใดเลยที่เราจะเสียในความรักที่เรามีต่อพระเยซูเจ้า***

จากการวิเคราะห์ของ : ดอกเตอร์ ซี. ทรูแมน เดวิส ในเอกสารที่ชื่อ "การวิเคราะห์ทางกายภาพของการตรึงผู้คนบนไม้กางเขน"

การตรึงผู้คนบนไม้กางเขนคิดค้นโดยชาวเปอร์เซีย ราว300ปี ก.ค.ศ. และนำมาใช้อย่างสัมฤทธิ์ผลโดยชาวโรมันราว 100ปี ก.ค.ศ.

1. นับเป็นการตายที่เจ็บปวดที่สุดเท่าที่มนุษย์จะคิดค้นกันมาได้ และนี่จึงเป็นที่มาของศัพท์คำว่า "ทำให้ทุกข์ทรมานกายใจ" ในภาษาอังกฤษ (Excruciating) เพราะคำว่า "การตรึงกับไม้กางเขน" ภาษาอังกฤษคือ "Crucify"

2. การตรึงกับไม้กางเขนมีไว้สำหรับผู้ร้ายเพศชายที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์อย่างที่สุด พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธดื่มน้ำองุ่นเปรี้ยวที่ทหารโรมันถวายให้ดื่ม เพื่อช่วยกลบความเจ็บปวด เนื่องด้วยพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้ใน มธ26:29ว่า "แต่เราขอบอกท่านว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีกจนกว่าจะถึงวันที่เราได้ดื่มอีกครั้งกับพวกท่านอีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์ของพระบิดา"

3. พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยนบนร่างเปลือยเปล่า และพระภูษาถูกทหารโรมันเอาไปแบ่งกัน นี่จึงทำให้บทเพลงสดุดี 22:18 ที่เขียนไว้เป็นจริงว่า "พวกเขาเอาเสื้อผ้าเราไปแบ่งปันกัน และเสื้อยาวเขาเอาไปจับสลากกัน"
http://www.youtube.com/watch?v=YBZnyb2dW8U

4. การตรึงพระเยซูเจ้ากับไม้กางเขนเป็นความตายอย่างช้าๆ น่าหวั่นกลัว เจ็บปวดอย่างแน่นอน เนื่องจากถูกตอกตรึงกับไม้กางเขน ณ เวลานั้นเป็นไปไม่ได้ที่ตำแหน่งของอวัยวะทางกายวิภาคของพระเยซูเจ้าจะสามารถวางอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องได้

5. พระชานุของพระเยซูเจ้าเอียงไป 45 องศา เพราะพระองค์จะทรงต้องแบกน้ำหนักในท่าที่กล้ามเนื้อบิดตึงซึ่งไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติทางกายวิภาคของมนุษย์ การจะรับน้ำหนักแบบนี้ทำได้เพียงแค่ไม่นานเท่านั้น โดยกล้ามเนี้อจะเป็นตะคริวเพราะอาการเกร็งของกล้ามเนี้อบริเวณน่อง

6. น้ำหนักของพระวรกายของพระเยซูเจ้าตกลงบนพระบาทซึ่งมีตะปูตอกทะลุตรึงอยู่ กล้ามเนื้อส่วนล่างของพระวรกายอ่อนแรง ดังนั้นน้ำหนักทั้งหมดของพระวรกายถ่วงดึงต่อบริเวณบั้นเอว แขน และหัวไหล่

7. ในเพียงชั่วครู่เดียวเมื่อต้องถูกตรึงกับไม้กางเขน หัวไหล่ของพระองค์ก็จะบิดเบี้ยวผิดรูปจากธรรมชาติ หลังจากนั้นข้อศอกและข้อแขนของพระองค์ก็จะบิดเบี้ยวผิดรูปตามไปโดยปริยาย

8. ผลของพระวรกายในข้อ 7 จึงทำให้แขนทั้งสองข้างถูกดึงด้วยน้ำหนักที่ถ่วงลงมายาวกว่าปกติถึง9นิ้วดังที่มีภาพปรากฏชัดเจนคือรอยบนผ้าที่เชื่อกันว่าเป็นผ้าพันพระศพจากเมืองตุริน

9. ดังนั้นพระคัมภีร์จึงสำเร็จไปใน สดด 22:14 ว่า "ข้าพเจ้าถูกรินออกเหมือนน้ำ และกระดูกก็หลุดออกจากกัน"
http://www.youtube.com/watch?v=YBZnyb2dW8U

10. หลังจากที่ ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่ ของพระเยซูเจ้าเคลื่อนหลุดไปแล้ว น้ำหนักพระวรกายส่วนบนจึงถ่วงดึงอย่างแรงต่อกล้ามเนื้อทรวงอกด้านหน้า

11. การถ่วงดึงกล้ามเนื้อเช่นนี้ทำให้กระดูกซี่โครงถูกดึงยกขึ้นและล้ำออกจากลำตัวในท่าที่ผิดธรรมชาติอย่างมาก ช่องทรวงอกอยู่ในรูปแบบบิดเบี้ยวส่งผลให้ไม่เอื้ออำนวยต่อการหายใจอย่างมากที่สุด และเพื่อที่จะหายใจได้ พระเยซูเจ้าทรงจำต้องรวบรวมกำลังเพื่อพยุงยกพระวรกายที่ทิ้งถ่วงลงอยู่อย่างนั้นขึ้นมาให้ได้

12. เพื่อจะหายใจ พระเยซูเจ้าทรงต้องยันกล้ามเนี้อพระบาทให้ยั้งพระวรกายขึ้น ซึ่งเท่ากับต้องกดแผลที่พระบาทลงบนตะปูซึ่งจะช่วยให้กระดูกซี่โครงเคลื่อนต่ำลงและขยับกลับเข้ามาไม่ทิ่มออกเพื่อปอดจะหายใจได้สะดวก

13. ปอดของพระองค์อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการหายใจอย่างถาวร การตรึงกางเขนจึงคล้ายกับเป็นการประหารด้วยการฉีดยาเข้าเส้นให้เสียชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง

14. ปัญหาก็คือพระเยซูเจ้าไม่ทรงสามารถยั้งพระวรกายขึ้นด้วยการกดพระบาทลงบนตะปูที่ตรึงอยู่ เนื่องด้วยกล้ามเนี้อขาที่บิดตะแคงอยู่ 45 องศานั้นเกินกว่าจะขยับ ทั้งอาการเกร็งอย่างรุนแรงคล้ายตะคริวที่ต้องอยู่ในท่ากายวิภาคบิดเบี้ยวสอดคล้องต่อเนื่องกันไปเช่นนี้เป็นอุปสรรคอยู่

15. ไม่เหมือนกับภาพยนต์จากฮอลลีวูดที่สร้างเกี่ยวกับการตรึงกางเขนที่ผู้ถูกตรึงมีชีวิตชีวาตลอดเวลา ผู้ถูกตรึงกางเขนจะถูกบังคับทางกายภาพโดยปริยายให้ต้องเขย่งตัวเองขึ้นๆลงๆบนไม้กางเขนเพื่อจะได้หายใจอยู่ตลอดเวลา ช่วงเขย่งตัวขึ้นลงราว 12 นิ้ว

16. ขบวนการเพื่อขัดจังหวะการหายใจนี้เป็นสาเหตุของความทรมานอันใหญ่หลวง ผสมด้วยอาการหวาดกลัวการหายใจไม่ออก

17. เมื่อการตรึงกางเขนดำเนินไปถึงชั่วโมงที่ 6 พระเยซูเจ้าทรงแบกรับน้ำหนักพระวรกายด้วยพระพาหาได้น้อยลงๆ กล้ามเนื้อขากับน่องหมดกำลังลงแล้ว ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่บิดเบี้ยวผิดตำแหน่งจนถึงที่สุด ทำให้การจะเขย่งยกพระวรกายให้ทรวงอกหายใจต่อไปได้อีกสักเล็กน้อยก็ทำไม่ได้แล้ว ภายในไม่นานหลังจากนั้นพระเยซูเจ้าก็ทรงหายใจสั้นลงและถี่มากขึ้น

18. การเคลื่อนพระวรกายขึ้นลงเพื่อหายใจได้ยิ่งก่อเกิดความเจ็บปวดทรมานที่ข้อมือ พระบาท ข้อศอกและหัวไหล่ที่ผิดรูปหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

19. การเคลื่อนไหวเพื่อยีดพระวรกายจึงทำได้น้อยลง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอ่อนแรง แต่ความหวาดหวั่นต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าที่คืบคลานเข้ามาบังคับให้พระองค์ยังทรงต้องพยายามที่จะหายใจต่อไป

20. อวัยวะของพระกายส่วนล่างเจ็บปวดจากอาการเกร็งที่ทรงต้องพยายามแบกรับน้ำหนักที่ถ่วงลงมายังพระพาหาของพระองค์และยังทรงต้องยกพระวรกายขึ้นเพื่อให้อยู่ในท่าที่พอจะหายใจได้

21. แต่ความเจ็บปวดจากเส้นประสาทกลางข้อมือที่ฉีกขาดรุนแรงอย่างปวดร้าวทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว

22. พระเยซูเจ้าทรงเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อและพระโลหิตทั่วพระวรกาย

23. รอยคราบโลหิตเกิดจากบาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีพระองค์ปางตาย ส่วนคราบเหงื่อมาจากพลังงานอย่างมากที่พระวรกายใช้ไปโดยอัตโนมัติในการที่ทรงพยายามใช้ปอดเพื่อหายใจออกมาให้ได้ ทั้งหมดนี้ พระองค์ทรงเปลือยเปล่า บรรดาสมณะ ชาวยิวและฝูงชน รวมทั้งโจรบนไม้กางเขน ล้วนเย้ยหยัน กล่าวคำสบถและหัวเราะเยาะพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระมารดาของพระองค์ประทับยืนดูรับรู้อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วยความระทมทุกข์

24. ทางกายภาพ พระเยซูเจ้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาจะสิ้นใจและมาถึงวาระสุดท้าย

25. เพราะว่าพระเยซูเจ้าทรงไม่สามารถยืดกระแสลมหายใจให้แก่ปอดได้อย่างพอเพียง ขณะนี้พระองค์อยู่ในสภาวะ "ขาดลมหายใจเฉียบพลัน" (Hypoventilation)

26. ระดับออกซิเจนในเม็ดเลือดเริ่มต่ำและเข้าสู่ภาวะ "ออกซิเจนในเม็ดเลือดต่ำ" ยิ่งกว่านั้นการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้หายใจได้ก็อยู่ในท่าที่ทำให้ทรงขยับตัวไม่ได้ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดกลับสูงขึ้นไปสู่อาการที่เรียกว่า "ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงเกิน" (Hypercapnia)

27. ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเม็ดเลือดที่สูงขึ้นทำให้หัวใจของพระองค์มีอัตราการเต้นเร็วสูงขึ้นเพื่อจะพยายามผลิตออกซิเจนแก่เม็ดเลือดในร่างกายและจะได้ขับไล่คาร์บอนไดออกไซด์ให้มีปริมาณต่ำลง

28. ระบบศูนย์กลางการหายใจในสมองของพระเยซูเจ้าส่งสัญญาณเร่งด่วนมายังปอดให้เร่งหายใจและพระเยซูเจ้าทรงเริ่มหายใจหอบ

29. ในทางกายภาพเพื่อจะผ่อนคลายขึ้นพระองค์จึงต้องทรงหายใจลึกขึ้นและทรงมิได้จงใจพระวรกายของพระองค์จะเคลื่อนไหวเพื่อยกตัวขึ้นและลงบ่อยยิ่งขึ้นและเร็วขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวดอย่างสาหัส การเคลื่อนไหวอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติจะเกิดขึ้นหลายครั้งในช่่วงเวลา 1 นาที ซึ่งเป็นที่พอใจของฝูงชน พวกทหารโรมันและสมาชิกสภาซันเฮดริน ที่มาเยาะเย้ยพระองค์อย่างมาก

30. อย่างไรก็ดี อันเนื่องมาจากการถูกตอกตรึงด้วยตะปูบนไม้กางเขนและการขาดลมหายใจมากขึ้นทุกที พระองค์ไม่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้พระวรกายผลิตออกซิเจนแก่ร่างกายที่กำลังขาดอยู่นั้นได้

31. ความรุนแรงทั้งสองอาการ คือการขาดออกซิเจนและปริมาณสูงขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเม็ดเลือดทำให้หัวใจของพระองค์ต้องเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น และพระเยซูเจ้าก็เข้าสู่สถานะ "หัวใจเต้นเร็วเกินปกติ" (Tychycardia)

32. หัวใจของพระเยซูเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ชีพจรของพระองค์จะอยู่ที่อัตรา 220 ครั้งต่อนาที เป็นอัตราสูงที่สุดที่คนเราจะรับได้

33. พระเยซูเจ้ามิได้เสวยสิ่งใดเลยเป็นเวลา 15 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของเมื่อวาน พระเยซูเจ้ายังทรงถูกเฆี่ยนตีปางตาย

34. พระองค์สูญเสียโลหิตใหลหยดจากบาดแผลทั่วพระวรกายจากการเฆี่ยนตี จากแผลที่พระเศียรเนื่องจากหนามของมงกุฏหนามทิ่มแทง ตะปูตรึงข้อพระหัตถ์และพระบาท รอยแผลถลอกอันเนื่องจากการโบยตีและทรงหกล้ม

35. พระวรกายของพระเยซูเจ้าอยู่ในสถานะสูญเสียน้ำ ความดันโลหิตของพระองค์ก็ส่งสัญญาณว่าต่ำลงมาก

36. ความดันโลหิตของพระองค์อาจจะอยู่ที่ 80/50

37. พระองค์น่าจะอยู่ในขั้นแรกของอาการช็อคของร่างกาย ระดับเลือดต่ำ (Hypovolamia) อาการเต้นของหัวใจถี่สูง (Tychycardia) หายใจหอบถี่ (Tachypnoea) และเสียเหงื่ออย่างรุนแรง (Hyperhidrosis)

38. ประมาณเที่ยงวัน หัวใจของพระเยซูคงจะเริ่มล้มเหลว

39. ปอดของพระองค์คงจะเริ่มบวมน้ำ

40. อาการเช่นนี้ย่อมรบกวนการหายใจของพระองค์ซึ่งไม่เป็นไปอย่างราบรื่นมาตั้งนานแล้ว

41. พระเยซูเจ้าจึงทรงอยู่ในขั้นตอนหัวใจล้มเหลว และ ระบบหายใจล้มเหลว

42. พระองค์ตรัสว่า "เรากระหาย" พระวรกายที่อยู่ในสภาพขาดน้ำของพระองค์ต้องร้องขอน้ำ

43. พระองค์ทรงหมดหวังที่จะได้รับการให้เลือดหรือน้ำเกลือเพื่อช่วยชีวิตเอาไว้อย่างแน่นอน

44. พระเยซูเจ้าไม่ทรงสามารถหายใจได้และค่อยๆขาดอากาศจนสิ้นพระชนม์

45. ถึงขั้นนี้พระเยซูเจ้าทรงเข้าสู่สภาพผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ

46. ของเหลวและเลือดในร่างกายไหลรวมกัน ณ ที่ว่างบริเวณหัวใจที่เรียกว่า "เยื่อหุ้มหัวใจ" (Pericardium)

47. ของเหลวมารวมกันรอบบริเวณหัวใจทำให้หัวใจของพระเยซูเจ้าไม่อาจหายใจได้ (Cardiac Tamponade)

48. สภาพของเหลวท่วมเยื่อหุ้มหัวใจ และหัวใจไม่อาจทำงานได้จึงทำให้หัวใจของพระเยซูเจ้าล้มเหลวหยุดทำงาน นี่น่าจะเป็นสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

49. อาจเป็นได้เพื่อจะชะลอความตายออกไป ทหารก็จะวางไม้ชิ้นเล็กๆ สำหรับนั่งเข้าไปที่ไม้กางเขนซึ่งจะช่วยให้พระเยซูเจ้าสามารถมีโอกาสถ่ายน้ำหนักตัวลงบนกระดูกก้นกบได้

50. ผลของสิ่งนี้ก็คือ อาจยืดเวลาออกไปถึง 9 วันจึงประสบความตายบนไม้กางเขน

51. เมื่อชาวโรมันต้องการให้ความตายจบลงเร็วตามกำหนด พวกเขาก็เพียงแค่หักขาของผู้ถูกตรึง เพื่อทำให้หายใจไม่ได้ภายในไม่กี่นาที การทำแบบนี้เรียกว่า "ตรึงตายโดยหักขา" (Crucifracrum)

52. เวลาบ่าย 3 โมง พระเยซูเจ้าตรัสว่า "Telestai" ซึ่งแปลว่า "จบบริบูรณ์แล้ว" ณ เวลานั้น พระองค์ทรงมอบจิตใจแด่พระบิดา และสิ้นพระชนม์

53. เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าเพื่อจะหักขาพระองค์ พระองค์ก็สิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีกระดูกของพระองค์สักชิ้นเดียวหัก เพื่อทำให้สิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์สำเร็จลง

54. พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์หลังจาก 6 ชั่วโมงที่ต้องแบกรับความเจ็บปวด ทรมานและทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหดเท่าที่มีการคิดค้นกันขึ้นมาได้

55. พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนอย่างคุณและผมจะได้ไปสวรรค์ สิ่งเดียวที่พระองค์ขอจากคุณคือขอให้คุณรักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสิ้นสุดหัวใจ สิ้นสุดกำลัง สิ้นสุดวิญญาณและจิตใจ

30 มีนาคม 2558

ความหมายของการหนุนใจ


"3 สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระเมตตากรุณา พระเจ้าแห่งการหนุนใจทุกอย่าง
4 พระองค์ผู้ทรงหนุนใจเราในความยากลำบากทั้งหมดของเรา เพื่อเราจะสามารถหนุนใจคนทั้งหลาย ที่มีความยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยการหนุนใจ ซึ่งเราเองได้รับจากพระเจ้า" (2โครินธ์ 1:3-4 ThaiTSV2002)

เราสามารถอธิบายคำว่า "หนุนใจ" 
(หรือคำว่า "ชูใจ" ในพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 1971)  
ในข้อความนี้อย่างถูกต้องที่สุดได้ดังนี้ 
 "คนคนหนึ่งกำลังกำลังเดินไปตามท้องถนนตามลำพัง แล้วก็มีอีกคนหนึ่งมาเดินเคียงข้างเขาเพื่อให้เขาไม่ต้องเดินตามลำพังในหนทางที่เหลือ"

เราจึงสามารถแปลข้อความตอนนี้ได้ใหม่ว่า
"สาธุการ แด่พระเจ้าผู้ทรงเดินเคียงข้างเรา พระองค์ผู้ทรงเดินเคียงข้างเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถเดินเคียงข้างคนเหล่านั้นที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่าง หนึ่งได้ เหมือนอย่างที่เรามีประสบการณ์มาแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเดินเคียงข้างเรา"

พระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้น พระองค์คือผู้ที่เดินเคียงข้างเรา และนั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้บุตรของพระองค์ทำด้วย พระองค์ทรงบอกให้เราเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์โดยไม่สนใจว่าเรามีอายุเท่าไร ลักษณะนิสัยอย่างไร มีความกลัวหรือสิ่งที่คอยฉุดรั้งเราไว้ในเรื่องใดบ้าง


ผู้กลับใจ