15 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 9. ทรงเทศน์สอนบนภูเขา

3453.gif

9
ทรงเทศน์สอนบนภูเขา
       ในประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีการพูดถึงการที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับประชากรของพระองค์ “บนภูเขา”
       พระเยซูเจ้าก็เช่นกัน ทรงเทศน์สอนจากภูเขาเพื่อนำศิษย์ไปสู่พันธสัญญาแห่งความรักกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา
       “พระเจ้าทรงเป็นพระบิดา” และเราเป็น “บุตรของพระองค์” และ “ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง” กัน  นี่คือการเผยแสดงที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า และเป็นหัวใจของคำสอนของพระองค์
       “บทเทศน์บนภูเขา” ที่มัทธิวถ่ายทอดให้เรา มีคำสอนบางข้อของพระเยซูเจ้ารวมอยู่ด้วย ในรูปแบบเรียบง่าย  มุ่งไปที่ความรัก พลังพระเจ้า หรือที่เรียกกันว่า “พระจิตแห่งความรัก” ที่ต้องแผ่แพร่ไปทั่วโลก เพื่อให้แรงบันดาลใจแก่ทุกคน และก่อให้เกิดผลในแต่ละคน
       บทเทศน์เริ่มด้วย “บุญลาภแปดประการ” โดยซ้ำบางอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนบนพื้นราบ เป็นการสอนในรูปแบบการสอนของอาจารย์ นั่นคือ การพูดซ้ำไปมา คำพูด ความคิด ประโยคและสุภาษิต เพื่อเอื้อให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำ
       พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้ผู้ที่ฟังพระองค์ตัดสินใจเลือกอย่างถึงรากถึงโคน นั่นคือ เลือกอยู่กับพระเจ้าพระบิดา  ถือว่าตนเป็นของพระเจ้า เลือกพระองค์เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เลือกจิตตารมณ์แห่งความรัก ดำเนินชีวิตให้สอดคล้อง โดยมีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลาง
       พระเยซูเจ้าตรัสด้วยอำนาจพระเจ้า พระเจ้าตรัสอย่างไรกับโมเสสบนภูเขาซีนาย พระเยซูเจ้าก็ตรัสเช่นนั้นกับทุกคน พระเยซูเจ้าทรงพูดว่าพระองค์เองเป็นดังตัวอย่างที่ศิษย์พึงทำตาม พร้อมกับรายการของคุณภาพที่ศิษย์ต้องมีเพื่อจะดำเนินชีวิตเป็นสุข นั่นคือ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความอ่อนโยน ความหิวหาความยุติธรรม ความเมตตากรุณา ความจริงใจ ผู้นำสันติภาพ ผู้ถูกเบียดเบียน ได้รับการดูถูกดูหมิ่น กล่าวร้าย ผู้รักชีวิต 
       เพื่อมนุษย์จะดำเนินชีวิตในศีลธรรม เขาต้องมีความช่วยเหลือจากพระคริสตเจ้า  พระองค์ทรงช่วยให้เกิดเสียงเรียกแห่งความรักจากภายในแทนการทำตามตัวบทกฎหมายที่มนุษย์กำหนดขึ้น พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราและทรงเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเราให้กลับเป็น “พระอาณาจักรพระเจ้า”
       พระเยซูเจ้าทรงอธิบายให้ศิษย์ว่าพระอาณาจักรพระเจ้าพัฒนาขึ้นในตัวเราอย่างเงียบๆ ด้วยการภาวนาและการเสียสละตน  สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เราทำเป็นเหมือนการทวนกระแส  แต่พระองค์ทรงรับรองว่าจะประทานขุมทรัพย์ของพระเจ้าให้แก่ผู้ที่นำพระวาจาของพระองค์ไปปฏิบัติ


ความสุขแท้จริง

       
1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมายจึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ 2พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า
           3"ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา


        
    4
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
           5ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
           6ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
           7ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
           8ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
           9ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของ พระเจ้า
           10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
           11"ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่าง ๆ นานาเพราะเรา  12จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นักเขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่าน ดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน (มธ 5: 1-12)


เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก
       13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูก ทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 14ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ ถูกปิดบัง
       15ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน  16ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์  เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของ ท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ (มธ 5: 13-16)

พระเยซูเจ้าทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ 

            17"จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์  18เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป
            19ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์

มาตรฐานใหม่
 สูงกว่ามาตรฐานเดิม 

       20"เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้า อาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย" (มธ5: 17-20)



          21
"ท่านได้ยินคำกล่าว แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล  22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า  'ไอ้โง่' ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่บัดซบ' ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก
            23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว24"จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น
            2 5จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย (มธ 5: 21-26)

        27"ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี  28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว
               29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก  30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก มธ 5: 27-30 ) 


             31"มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยาก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง  32 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย (มธ 5: 31-32)

              33"ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบานแต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า  35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์" อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์  36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้
37ท่านจงกล่าวเพียงว่า 'ใช่' หรือ 'ไม่ใช่' ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ (มธ 5: 33-37)

              38ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า'ตาต่อตาฟันต่อฟัน' 39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย  40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย
       41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด  42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน
              43"ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู  44แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน  45เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม
               46ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษี มิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ
               47ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ  48ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด (มธ 5: 38-48)

การให้ทาน 

        
 1"จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจ ของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
              2 ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน        จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคด มักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
            3ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย  4แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน (มธ 6: 1-4)

การอธิษฐานภาวนา
 


           5"เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

           6
ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน (มธ 6: 5-6)

วิธีอธิษฐานภาวนา บทภาวนาของพระเยซูเจ้า
           7"เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง  8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก
           9เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
           10พระอาณาจักรจงมาถึงพระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์
           11โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
           12โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
           13โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญแต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้าย เทอญ
           14"เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย 15แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน (มธ 6: 7-15)

การจำศีลอดอาหาร 

           16
"เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
          17ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ  18เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน? (มธ 6: 16-18)

สมบัติแท้ 

       19"ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน และถูกขโมยเจาะช่องเข้า
26จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ
             27ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้
            28ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย  29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง  30แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ  พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง
            31ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ?เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร  หรือเราจะนุ่งห่มอะไร?  32เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้
            33จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้?34 "เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว? (มธ 6: 19-21)

อย่าตัดสินผู้อื่น 

       7 1"อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน  2ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน
            3ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย  4ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน  5ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง

อย่าเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์


             6
"อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์ แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหันมากัดท่านอีกด้วย” (มธ7: 1-14)

คำภาวนาที่ได้ผล

            7"จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน”
8"เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้
            9ท่านใดที่ลูกขออาหาร จะให้ก้อนหินหรือ  10ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ  11แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดี ๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ” (มธ 7: 7-11)

กฎปฏิบัติ 

            12"ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก” (มธ 7,12)

ทางสองแพร่ง 

            13"จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้น กว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก  14แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย” มธ 7: 13-14)

ประกาศกเทียม
            15"จงระวังประกาศกเทียม ซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย  16ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม  หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม  17ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี  ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี  18ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้  19ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ
            20เพราะฉะนั้นท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา” (มธ 7: 15-20)

ศิษย์แท้ 

            21
"คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ 22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’  23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’ (มธ 7: 21-23)

            24"ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน
          26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย  27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” (มธ 7: 24-29)



เล่าเรื่องพระเยซู ~ 8. เสด็จเข้าศาลาธรรมวันซาบาโต

3453.gif


8
เสด็จเข้าศาลาธรรมวันซาบาโต


       ระเยซูเจ้าทรงเลือกศาลาธรรมแห่งนาซาเร็ธเพื่อประกาศด้วยความสง่างามและด้วยความรักถึงพันธกิจการไถ่กู้และการปลดปล่อยผู้ถูกจองจำให้เป็นอิสระ
       ศาลาธรรมเป็นคำภาษากรีกซึ่งมีความหมายว่า “การมารวมกัน” หรือ “ประชุมกัน”
       ศาลาธรรมเกิดขึ้นจากความคิดของชาวยิวที่กลับมาจากการเนรเทศที่บาบีลอนเพื่อใช้แทนพระวิหารที่ถูกทำลาย
       ห้องใหญ่ที่สุดมีลักษะเป็นสี่เหลี่ยม จัดในรูปแบบให้สัตบุรุษหันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็ม
       ตรงกลางมีหีบบรรจุม้วนหนังสือพระคัมภีร์
       ชาวยิวมารวมกันในวันซาบาโตเพื่อเฉลิมฉลององค์พระผู้เป็นเจ้า
       ตอนเริ่มพิธีกรรม พวกเขาตั้งจิตสำนึกถึงการที่พวกเขามารวมอยู่ที่นี่เพื่อฟังพระเจ้าตามรูปแบบที่โมเสสได้สั่งไว้ “จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระองค์เดียว จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดดวงใจ สุดวิญญาณและสุดกำลัง”
       หลังจากนั้นมีการอ่านพระคัมภีร์จากบทกฎหมาย ตามด้วยบทอ่านจากหนังสือประกาศก หลังจากนั้นก็มีการอธิบายความสิ่งที่ได้ฟัง  คนที่อธิบายความอาจจะเป็นสัตบุรุษคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีอายุครบ 13 ปีแล้ว
       ปรกติแล้ว หัวหน้าศาลาธรรมเป็นผู้เลือกผู้อธิบายความ โดยคำนึงถึงความสามารถที่เขามี
       สุดท้าย ผู้ที่นำการประชุมนำสวดบทสดุดี บทวอนขอ บทเป็นทุกข์ถึงบาป บทคร่ำครวญ บทโมทนาคุณ
       มีการใช้ศาลาธรรมเป็นโรงเรียนและเป็นที่ทำงานของผู้ปกครองท้องถิ่น ศาลาธรรมจึงเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม จิตใจและการเมือง เฝ้าบำรุงรักษาคุณค่า อุดมการณ์และเอกภาพของชนชาติอิสราเอล
       ในช่วงแรกของการประกาศเทศน์สอน พระเยซูเจ้าทรงเข้าสวดที่ศาลาธรรมของเมืองและของหมู่บ้าน  หลังจากนั้น เมื่อประชาชนมาฟังพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงใช้สถานที่ข้างนอก อาทิ ที่ฝั่งทะเลสาบ บนภูเขา ในลานเมือง ตามถนน ในบ้านส่วนตัว  เป็นต้น  สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์คือการประกาศข่าวดีและการสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ถูกส่งมาในโลก
       บัดนี้ ให้เราเข้าไปในศาลาธรรมพร้อมกับพระองค์


พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ 
------------------------------------------------
       พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์
มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
       พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจนทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำคืนสายตาให้แก่คนตาบอดปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
        ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า
       แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลงสายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์
       พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า
        “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
        ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัสเขากล่าวกันว่า
        “นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ”
        พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
        “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า 'หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด'  แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า
        “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”
         เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล  แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน
        ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
       เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป  แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป (ลก 4: 16-30)


พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน



       ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน  ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก”  คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิว  มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ”  ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาส  อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ ( ลก6: 12-16)


ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า

       พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล  มาฟังพระองค์  และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย19ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย


ธรรมเทศนาบทแรก ความสุขแท้จริง และคำสาปแช่ง
       พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่าท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
       ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่มท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ
       ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน  รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์  จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
       วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
       วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะท่านจะหิววิบัติจงเกิดกับท่านที่หัวเราะเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
       วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่านเพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว ลก6: 17-26)






เล่าเรื่องพระเยซู ~ 7. พระเยซูเจ้าเสด็จไปกาลิลี

3453.gif

7
พระเยซูเจ้าเสด็จไปกาลิลี
       แคว้นกาลิลีตั้งอยู่ทางเหนือของปาเลสไตน์ เนื้อที่ไม่กว้าง แต่มีความหลากหลาย งดงามและอุดมสมบูรณ์ ที่นี่ พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและกระทำกิจการหลายอย่าง
       บรรดาประกาศกเรียกพื้นที่นี้ว่ากาลิลีเพราะ “เป็นหัวเมืองของประชาชน” ที่นี่มีคนกลุ่มน้อยและชนเผ่าต่างภาษามาอาศัยอยู่ พร้อมกับวัฒนธรรมและศาสนาต่างๆกัน
       ในสมัยของพระเยซูเจ้า มีทหารโรมันดูแลอยู่และมีกษัตริย์เฮรอด อันตีปา ปกครอง พระองค์เอาใจชาวโรมันด้วยการสร้างเมืองทีเบเรียสบนฝั่งทะเลสาบเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิทีเบเรียสแห่งอาณาจักรโรม
       ในพื้นที่ของกาลิลีนี่เอง แม่น้ำจอร์แดนไหลมารวมเป็นทะเลสาบ สมัยก่อนเรียกว่า“เยเนซาเร็ธ” และภายหลังมีชื่ว่า  “ทีเบเรียส” ทะเลสาบนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 208 เมตร และมีความลึกสุด 45 เมตร กว้าง 12 กิโลเมตรและยาว 21 กิโลเมตร  ที่เรียกเป็น “ทะเล”เพราะในภาษาอีบรู มีคำเดียวที่ใช้เรียกทุกแห่งมีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบหรือทะเล
       ทะเลสาบนี้มีปลาชุมมากและมีความหลากหลายของภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศ บางครั้งเกิดพายุและอันตรายไม่แพ้ทะเล  สำหรับพระเยซูเจ้า ทะเลสาบนี้เป็นสัญลักษณ์สากลแห่งสภาพมนุษย์ในทุกสมัย
       ที่นี่ ประกาศกอิสยาห์เคยมีชีวิตอยู่และบรรยายไว้ว่า “แผ่นดินแห่งซาบูลอนและแผ่นดินแห่งเนฟตาลี บนเส้นทางจากทะเลสู่จอร์แดน มีประชาชนต่างชาติอาศัยอยู่ พวกเขาถูกรังแกและหิวโหย เป็นประชาชนที่ดำเนินชีวิตในความมืดและในพื้นที่แห่งความตาย” (อสย 8-9)
       พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางประชาชนเหล่านี้ในช่วงที่ทรงเยาว์อยู่
       บัดนี้ พระองค์เสด็จมาที่เมืองคาร์เปอร์นาอุมเพื่อทำภารกิจที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าอย่างเต็มเวลา นั่นคือ การประกาศข่าวดีของพระเจ้าเพื่อเชื้อเชิญให้ทุกคนกลับมาเป็นของพระเจ้าและไม่ใช่ของซาตานอีกต่อไป •


พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี 

       หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า
       "เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด?"
 (มก 1: 14-15)





พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรก 

       วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
       เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า
       "จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด" 
       ซีโมนทูลตอบว่า
       "พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน"   
       เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด  
       เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบจม
       เมื่อซีโมนเปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า
       "โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป"
       เพราะเขาและคนอื่นๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า
       "อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์"
       เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ (ลก 5: 1-11)



        พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์
        ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า
        "ท่านมายุ่งกับเราทำไมเยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมา ทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร  ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"  
        พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า
        "จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้" 
        เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา
        ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า
        "นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง"
        แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที (มก 1: 21-28)



พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน 
       ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระองค์เสด็จ เข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและยอห์น        
       มารดาของภรรยาซีโมนกำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที
         พระองค์เสด็จเข้าไปจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ นางจึงรับใช้ทุกคน (มก 1: 29-31)



พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก

       เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีผู้นำคนป่วยและคนถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์  คนทั้งเมืองมารวมกันที่ประตู  พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่าง ๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์
( มก 1: 32-34)



พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุมและทรงพระดำเนินทั่วแคว้นกาลิลี
       วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น  ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์  เมื่อพบแล้ว  จึงทูลพระองค์ว่า
        "ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์"   
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        "เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำบลใกลเคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้" 
        พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย (มก 1: 35-39)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อน

        ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า
        "ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้"
        พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า
        "เราพอใจ จงหายเถิด" 
        ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ
        พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า  
        "ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว"
        แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว  แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ 
(มก 1: 40-45)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต 

       ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น  
       ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์  แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น
       เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า
       "ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว"
       ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า  "ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เล่า เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น"  
       ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า
       "ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม  อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า 'บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว'  หรือบอกว่า 'ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด'  แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้"พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า  
        "เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด"   
        เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า
        "พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย"
 (มก2: 1-12)
 
พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี 

       พระองค์เสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา  ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี  บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า
        "จงตามเรามาเถิด" 
        เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป


       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา  บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า        "ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า"
       พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า
       "คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป" (มก 2: 13-17)






การโต้เถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร


       บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       "ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย" 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร
       ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม  ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า  เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า ทั้งถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่"
 มาระโก 2: 18-22)



บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
 

       วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาวฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า
       "ทำไมศิษย์ของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า"
        พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า  กษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดขณะที่มีความยากลำบากและหิวโหย  พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมื่ออาบียาธาร์ เป็นมหาสมณะ ได้เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย"
       แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า
       "วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต    ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย"
 (มก 2: 23-28)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

        พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง  ประชาชนบางคนคอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์  
        พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า
        "ลุกขึ้น  มายืนตรงกลางนี่ซิ" 
        แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า
        "ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป" 
        คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่
        พระองค์จึงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจหยาบกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า
        "จงเหยียดมือซิ" 
         เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ
        ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดทันทีพื่อปรึกษาว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร (มาระโก 3: 1-6)



ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
 

       พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามพระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย  จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา  จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงทำก็มาเฝ้าพระองค์
        พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำหนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์
        เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์
        เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" แต่พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิ ให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร 
( มก 3: 7-12, 20-21)

พระญาติของพระเยซูเจ้าเป็นห่วงพระองค์


       พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวยและบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่า ทรงเสียพระสติ






15 พฤษภาคม 2555 พระวรสาร ยน 16:5-11 การเสด็จมาของพระผู้ช่วยเหลือ



   92tuesday10.gif 





15 พฤษภาคม 2555
พระวรสาร ยน 16:5-11 การเสด็จมาของพระผู้ช่วยเหลือ 
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า 10 5 บัดนี้เรากำลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และไม่มีท่านใดถามเราว่า 'พระองค์กำลังเสด็จไปไหน? '6แต่เพราะเราได้กล่าวเรื่องเหล่านี้แก่ท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ 7เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน
8เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงสำแดงให้โลกเห็นความหมายของบาป ของความถูกต้องและของการตัดสิน 9บาปของโลกคือเขาไม่ได้เชื่อในเรา 10ความถูกต้องคือเรากำลังไปเฝ้าพระบิดา และท่านจะไม่เห็นเราอีก 11การตัดสินคือเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสินลงโทษแล้ว


ข้อคิด
          พระเจ้ามิได้ใช้เทวดาของพระองค์มาช่วยเปาโลให้พ้นจากการจองจำ แต่เป็นหนทางให้เปาโล

กลับใจผู้คุมและทุกคนในครอบครัวของเขา พระเจ้ามีหนทางของพระองค์เองเสมอ พระองค์มีวิธีที่จะช่วยเหลือเราเสมอ หลายครั้งมิได้ช่วยเหลือเราแบบที่เราคิดและต้องการ พระองค์ทรงทราบดีว่าพวกเราต้องการความช่วยเหลือจากพระจิตเจ้า เราจะได้มองเห็นและเข้าใจวิธีการของพระมากขึ้น เราต้องมั่นคงในสิ่งหนึ่งคือ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยเราเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย หากเราเชื่อเช่นนี้พระเจ้าก็อยู่ฝ่ายเราตลอดเวลา บาปและซาตานก็ไม่มีทางที่จะมีอำนาจเหนือเรา



92tuesday14.gif

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2012 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 16:22-34


   tuesday9.gif 



วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 16:22-34

ในครั้งนั้น ประชาชนกลุ้มรุมกันจะทำร้ายเปาโลและสิลาส บรรดาผู้พิพากษาจึงสั่งให้เปลื้องเสื้อผ้าและเฆี่ยนเขาทั้งสองคน เมื่อได้เฆี่ยนหลายทีแล้ว ก็นำไปขังคุก สั่งให้ผู้คุมควบคุมไว้อย่างกวดขัน เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ ผู้คุมก็นำเปาโลและสิลาสไปขังไว้ในคุกชั้นในสุด และใส่โซ่ตรวนที่เท้าอย่างแน่นหนา

เวลาประมาณเที่ยงคืน เปาโลและสิลาสกำลังอธิษฐานภาวนาและขับร้องสรรเสริญพระเจ้า นักโทษคนอื่นกำลังฟังอยู่ ทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนฐานคุกสั่นสะเทือน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันที โซ่ตรวนของผู้ถูกจองจำทุกคนก็หลุด ผู้คุมตื่นขึ้น เห็นว่าประตูคุกเปิด จึงชักดาบจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่า บรรดาผู้ถูกจองจำหนีไปหมดแล้ว แต่เปาโลร้องตะโกนว่า “อย่าทำร้ายตนเองเลย พวกเรายังอยู่ที่นี่กันทุกคน”

ผู้คุมสั่งให้จุดตะเกียง กระโดดเข้าไปในคุก ตัวสั่นกราบลงแทบเท้าของเปาโลและสิลาส พาคนทั้งสองออกมาข้างนอกพูดว่า “ท่านขอรับ ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะรอดพ้น”

เปาโลและสิลาสตอบว่า “จงเชื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านและครอบครัวจะได้รอดพ้น” ทั้งสองคนประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ผู้คุมและทุกคนในครอบครัวฟัง เวลาดึกคืนนั้นผู้คุมพาเขาทั้งสองคนแยกไปล้างแผล ทันทีหลังจากนั้น เขาได้รับ ศีลล้างบาปพร้อมกับทุกคนในครอบครัว เขาเชิญทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้าน จัดโต๊ะเลี้ยงอาหาร และมีความยินดีพร้อมกันทั้งครอบครัวที่ได้มีความเชื่อในพระเจ้า


94tuesday4.gif

ผู้กลับใจ