15 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 9. ทรงเทศน์สอนบนภูเขา

3453.gif

9
ทรงเทศน์สอนบนภูเขา
       ในประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีการพูดถึงการที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับประชากรของพระองค์ “บนภูเขา”
       พระเยซูเจ้าก็เช่นกัน ทรงเทศน์สอนจากภูเขาเพื่อนำศิษย์ไปสู่พันธสัญญาแห่งความรักกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา
       “พระเจ้าทรงเป็นพระบิดา” และเราเป็น “บุตรของพระองค์” และ “ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง” กัน  นี่คือการเผยแสดงที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า และเป็นหัวใจของคำสอนของพระองค์
       “บทเทศน์บนภูเขา” ที่มัทธิวถ่ายทอดให้เรา มีคำสอนบางข้อของพระเยซูเจ้ารวมอยู่ด้วย ในรูปแบบเรียบง่าย  มุ่งไปที่ความรัก พลังพระเจ้า หรือที่เรียกกันว่า “พระจิตแห่งความรัก” ที่ต้องแผ่แพร่ไปทั่วโลก เพื่อให้แรงบันดาลใจแก่ทุกคน และก่อให้เกิดผลในแต่ละคน
       บทเทศน์เริ่มด้วย “บุญลาภแปดประการ” โดยซ้ำบางอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนบนพื้นราบ เป็นการสอนในรูปแบบการสอนของอาจารย์ นั่นคือ การพูดซ้ำไปมา คำพูด ความคิด ประโยคและสุภาษิต เพื่อเอื้อให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำ
       พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้ผู้ที่ฟังพระองค์ตัดสินใจเลือกอย่างถึงรากถึงโคน นั่นคือ เลือกอยู่กับพระเจ้าพระบิดา  ถือว่าตนเป็นของพระเจ้า เลือกพระองค์เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เลือกจิตตารมณ์แห่งความรัก ดำเนินชีวิตให้สอดคล้อง โดยมีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลาง
       พระเยซูเจ้าตรัสด้วยอำนาจพระเจ้า พระเจ้าตรัสอย่างไรกับโมเสสบนภูเขาซีนาย พระเยซูเจ้าก็ตรัสเช่นนั้นกับทุกคน พระเยซูเจ้าทรงพูดว่าพระองค์เองเป็นดังตัวอย่างที่ศิษย์พึงทำตาม พร้อมกับรายการของคุณภาพที่ศิษย์ต้องมีเพื่อจะดำเนินชีวิตเป็นสุข นั่นคือ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความอ่อนโยน ความหิวหาความยุติธรรม ความเมตตากรุณา ความจริงใจ ผู้นำสันติภาพ ผู้ถูกเบียดเบียน ได้รับการดูถูกดูหมิ่น กล่าวร้าย ผู้รักชีวิต 
       เพื่อมนุษย์จะดำเนินชีวิตในศีลธรรม เขาต้องมีความช่วยเหลือจากพระคริสตเจ้า  พระองค์ทรงช่วยให้เกิดเสียงเรียกแห่งความรักจากภายในแทนการทำตามตัวบทกฎหมายที่มนุษย์กำหนดขึ้น พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราและทรงเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเราให้กลับเป็น “พระอาณาจักรพระเจ้า”
       พระเยซูเจ้าทรงอธิบายให้ศิษย์ว่าพระอาณาจักรพระเจ้าพัฒนาขึ้นในตัวเราอย่างเงียบๆ ด้วยการภาวนาและการเสียสละตน  สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เราทำเป็นเหมือนการทวนกระแส  แต่พระองค์ทรงรับรองว่าจะประทานขุมทรัพย์ของพระเจ้าให้แก่ผู้ที่นำพระวาจาของพระองค์ไปปฏิบัติ


ความสุขแท้จริง

       
1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมายจึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ 2พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า
           3"ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา


        
    4
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
           5ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
           6ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
           7ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
           8ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
           9ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของ พระเจ้า
           10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
           11"ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่าง ๆ นานาเพราะเรา  12จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นักเขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่าน ดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน (มธ 5: 1-12)


เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก
       13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูก ทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 14ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ ถูกปิดบัง
       15ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน  16ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์  เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของ ท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ (มธ 5: 13-16)

พระเยซูเจ้าทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ 

            17"จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์  18เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป
            19ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์

มาตรฐานใหม่
 สูงกว่ามาตรฐานเดิม 

       20"เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้า อาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย" (มธ5: 17-20)



          21
"ท่านได้ยินคำกล่าว แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล  22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า  'ไอ้โง่' ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่บัดซบ' ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก
            23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว24"จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น
            2 5จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย (มธ 5: 21-26)

        27"ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี  28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว
               29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก  30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก มธ 5: 27-30 ) 


             31"มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยาก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง  32 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย (มธ 5: 31-32)

              33"ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบานแต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า  35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์" อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์  36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้
37ท่านจงกล่าวเพียงว่า 'ใช่' หรือ 'ไม่ใช่' ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ (มธ 5: 33-37)

              38ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า'ตาต่อตาฟันต่อฟัน' 39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย  40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย
       41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด  42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน
              43"ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู  44แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน  45เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม
               46ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษี มิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ
               47ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ  48ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด (มธ 5: 38-48)

การให้ทาน 

        
 1"จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจ ของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
              2 ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน        จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคด มักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
            3ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย  4แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน (มธ 6: 1-4)

การอธิษฐานภาวนา
 


           5"เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

           6
ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน (มธ 6: 5-6)

วิธีอธิษฐานภาวนา บทภาวนาของพระเยซูเจ้า
           7"เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง  8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก
           9เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
           10พระอาณาจักรจงมาถึงพระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์
           11โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
           12โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
           13โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญแต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้าย เทอญ
           14"เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย 15แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน (มธ 6: 7-15)

การจำศีลอดอาหาร 

           16
"เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
          17ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ  18เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน? (มธ 6: 16-18)

สมบัติแท้ 

       19"ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน และถูกขโมยเจาะช่องเข้า
26จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ
             27ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้
            28ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย  29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง  30แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ  พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง
            31ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ?เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร  หรือเราจะนุ่งห่มอะไร?  32เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้
            33จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้?34 "เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว? (มธ 6: 19-21)

อย่าตัดสินผู้อื่น 

       7 1"อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน  2ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน
            3ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย  4ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน  5ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง

อย่าเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์


             6
"อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์ แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหันมากัดท่านอีกด้วย” (มธ7: 1-14)

คำภาวนาที่ได้ผล

            7"จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน”
8"เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้
            9ท่านใดที่ลูกขออาหาร จะให้ก้อนหินหรือ  10ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ  11แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดี ๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ” (มธ 7: 7-11)

กฎปฏิบัติ 

            12"ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก” (มธ 7,12)

ทางสองแพร่ง 

            13"จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้น กว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก  14แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย” มธ 7: 13-14)

ประกาศกเทียม
            15"จงระวังประกาศกเทียม ซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย  16ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม  หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม  17ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี  ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี  18ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้  19ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ
            20เพราะฉะนั้นท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา” (มธ 7: 15-20)

ศิษย์แท้ 

            21
"คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ 22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’  23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’ (มธ 7: 21-23)

            24"ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน
          26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย  27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” (มธ 7: 24-29)



ผู้กลับใจ