8
เสด็จเข้าศาลาธรรมวันซาบาโต
พระเยซูเจ้าทรงเลือกศาลาธรรมแห่งนาซาเร็ธเพื่อประกาศด้วยความสง่างามและด้วยความรักถึงพันธกิจการไถ่กู้และการปลดปล่อยผู้ถูกจองจำให้เป็นอิสระ
ศาลาธรรมเป็นคำภาษากรีกซึ่งมีความหมายว่า “การมารวมกัน” หรือ “ประชุมกัน”
ศาลาธรรมเกิดขึ้นจากความคิดของชาวยิวที่กลับมาจากการเนรเทศที่บาบีลอนเพื่อใช้แทนพระวิหารที่ถูกทำลาย
ห้องใหญ่ที่สุดมีลักษะเป็นสี่เหลี่ยม จัดในรูปแบบให้สัตบุรุษหันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็ม
ตรงกลางมีหีบบรรจุม้วนหนังสือพระคัมภีร์
ชาวยิวมารวมกันในวันซาบาโตเพื่อเฉลิมฉลององค์พระผู้เป็นเจ้า
ตอนเริ่มพิธีกรรม พวกเขาตั้งจิตสำนึกถึงการที่พวกเขามารวมอยู่ที่นี่เพื่อฟังพระเจ้าตามรูปแบบที่โมเสสได้สั่งไว้ “จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระองค์เดียว จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดดวงใจ สุดวิญญาณและสุดกำลัง”
หลังจากนั้นมีการอ่านพระคัมภีร์จากบทกฎหมาย ตามด้วยบทอ่านจากหนังสือประกาศก หลังจากนั้นก็มีการอธิบายความสิ่งที่ได้ฟัง คนที่อธิบายความอาจจะเป็นสัตบุรุษคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีอายุครบ 13 ปีแล้ว
ปรกติแล้ว หัวหน้าศาลาธรรมเป็นผู้เลือกผู้อธิบายความ โดยคำนึงถึงความสามารถที่เขามี
สุดท้าย ผู้ที่นำการประชุมนำสวดบทสดุดี บทวอนขอ บทเป็นทุกข์ถึงบาป บทคร่ำครวญ บทโมทนาคุณ
มีการใช้ศาลาธรรมเป็นโรงเรียนและเป็นที่ทำงานของผู้ปกครองท้องถิ่น ศาลาธรรมจึงเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม จิตใจและการเมือง เฝ้าบำรุงรักษาคุณค่า อุดมการณ์และเอกภาพของชนชาติอิสราเอล
ในช่วงแรกของการประกาศเทศน์สอน พระเยซูเจ้าทรงเข้าสวดที่ศาลาธรรมของเมืองและของหมู่บ้าน หลังจากนั้น เมื่อประชาชนมาฟังพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงใช้สถานที่ข้างนอก อาทิ ที่ฝั่งทะเลสาบ บนภูเขา ในลานเมือง ตามถนน ในบ้านส่วนตัว เป็นต้น สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์คือการประกาศข่าวดีและการสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ถูกส่งมาในโลก
บัดนี้ ให้เราเข้าไปในศาลาธรรมพร้อมกับพระองค์
ศาลาธรรมเป็นคำภาษากรีกซึ่งมีความหมายว่า “การมารวมกัน” หรือ “ประชุมกัน”
ศาลาธรรมเกิดขึ้นจากความคิดของชาวยิวที่กลับมาจากการเนรเทศที่บาบีลอนเพื่อใช้แทนพระวิหารที่ถูกทำลาย
ห้องใหญ่ที่สุดมีลักษะเป็นสี่เหลี่ยม จัดในรูปแบบให้สัตบุรุษหันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็ม
ตรงกลางมีหีบบรรจุม้วนหนังสือพระคัมภีร์
ชาวยิวมารวมกันในวันซาบาโตเพื่อเฉลิมฉลององค์พระผู้เป็นเจ้า
ตอนเริ่มพิธีกรรม พวกเขาตั้งจิตสำนึกถึงการที่พวกเขามารวมอยู่ที่นี่เพื่อฟังพระเจ้าตามรูปแบบที่โมเสสได้สั่งไว้ “จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระองค์เดียว จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดดวงใจ สุดวิญญาณและสุดกำลัง”
หลังจากนั้นมีการอ่านพระคัมภีร์จากบทกฎหมาย ตามด้วยบทอ่านจากหนังสือประกาศก หลังจากนั้นก็มีการอธิบายความสิ่งที่ได้ฟัง คนที่อธิบายความอาจจะเป็นสัตบุรุษคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีอายุครบ 13 ปีแล้ว
ปรกติแล้ว หัวหน้าศาลาธรรมเป็นผู้เลือกผู้อธิบายความ โดยคำนึงถึงความสามารถที่เขามี
สุดท้าย ผู้ที่นำการประชุมนำสวดบทสดุดี บทวอนขอ บทเป็นทุกข์ถึงบาป บทคร่ำครวญ บทโมทนาคุณ
มีการใช้ศาลาธรรมเป็นโรงเรียนและเป็นที่ทำงานของผู้ปกครองท้องถิ่น ศาลาธรรมจึงเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม จิตใจและการเมือง เฝ้าบำรุงรักษาคุณค่า อุดมการณ์และเอกภาพของชนชาติอิสราเอล
ในช่วงแรกของการประกาศเทศน์สอน พระเยซูเจ้าทรงเข้าสวดที่ศาลาธรรมของเมืองและของหมู่บ้าน หลังจากนั้น เมื่อประชาชนมาฟังพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงใช้สถานที่ข้างนอก อาทิ ที่ฝั่งทะเลสาบ บนภูเขา ในลานเมือง ตามถนน ในบ้านส่วนตัว เป็นต้น สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์คือการประกาศข่าวดีและการสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ถูกส่งมาในโลก
บัดนี้ ให้เราเข้าไปในศาลาธรรมพร้อมกับพระองค์
พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ
------------------------------------------------ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์
มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจนทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำคืนสายตาให้แก่คนตาบอดปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า
แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลงสายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์
พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า
“ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัสเขากล่าวกันว่า
“นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ”
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
“ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า 'หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด' แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”
เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน
ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป (ลก 4: 16-30)
------------------------------------------------ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์
มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจนทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำคืนสายตาให้แก่คนตาบอดปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า
แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลงสายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์
พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า
“ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัสเขากล่าวกันว่า
“นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ”
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
“ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า 'หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด' แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”
เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน
ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป (ลก 4: 16-30)
พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน
ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาส อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ ( ลก6: 12-16)
ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล มาฟังพระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย19ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย
ธรรมเทศนาบทแรก ความสุขแท้จริง และคำสาปแช่ง
พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่าท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่มท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ
ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะท่านจะหิววิบัติจงเกิดกับท่านที่หัวเราะเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่านเพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว ( ลก6: 17-26)
พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่าท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่มท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ
ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะท่านจะหิววิบัติจงเกิดกับท่านที่หัวเราะเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่านเพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว ( ลก6: 17-26)