28 มีนาคม 2555

พระมารดานิจจานุเคราะห์


พระมารดานิจจานุเคราะห์

รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์

วาดไว้บนไม้กระดานยาวประมาณ 21 นิ้ว กว้างประมาณ 17 นิ้ว รูปเดิมของพระมารดานิจจานุเคราะห์เป็นรูปจำลองรูปหนึ่งในบรรดารูป โฮเดเยตรีอา (DODEGETRIA) ของนักบุญลูกา
ที่กล่าวถึงนี้ เป็นรูปของแม่พระซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า นักบุญลูกาเป็นผู้วาดอยู่ในเมืองคอนสตันติโนเปิล เป็นที่เคารพนับถือของคริสตังค์เป็นเวลานาน ว่าเป็นรูปอัศจรรย์ ถูกพวกเตอร์กีทำลายในปี ค.ศ.1453 แต่เป็น "รูปเดียว" ที่แม่พระเองเป็นผู้เลือกไว้เพื่อประทานพรพิเศษให้แก่เรามนุษย์ ถ้าท่านไปกรุงโรมจะเห็นรูปนี้แขวนไว้เหนือพระแท่นใหญ่ในวัดของคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม ชื่อวัดนักบุญอัลฟอนโซ
ตอนปลายศตวรรษที่ 15 พ่อค้าคนหนึ่งขโมยรูปแม่พระวัดแห่งหนึ่งในเกาะครี๊ต (CRETE) เดินทางผ่านพายุมาอย่างอัศจรรย์ และในที่สุดก็มาถึงกรุงโรม ก่อนที่พ่อค้าคนนี้จะสิ้นใจ เขาได้มอบรูปแม่พระนี้ให้แก่เพื่อนชาวโรมันคนหนึ่ง และขอร้องให้เพื่อนชาวโรมันคนนี้ เอารูปแม่พระไปตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม แต่เพื่อนไม่ทำตาม
แม่พระได้มาเร่งให้ชาวโรมันผู้นี้ ทำตามคำขอร้องของพ่อค้าที่สิ้นใจตายไป และถึงกับขู่ว่า ถ้าไม่ทำจะประสบความตายเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่สนใจในการประจักษ์ของแม่พระ แต่กลับทำตามคำแนะนำของภรรยา ต่อจากนั้นไม่นาน พ่อค้าคนนั้นก็ถึงแก่กรรม
ต่อมา แม่พระประจักษ์มาแก่ลูกสาวของชาวโรมันผู้นั้นสั่งหนูน้อยว่า จงไปบอกแม่และยายของหนูว่า "สันตะมารีอา นิจจานุเคราะห์ เตือนให้เอารูปของพระนางออกไปจากบ้าน มิฉะนั้นทุกคนจะต้องตาย" หนูน้อยก็นำเรื่องไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของเด็กตกใจกลัวจนตัวสั่น สัญญาว่าจะทำตาม
หลังจากนั้น แม่พระก็บอกแก่หนูน้อยว่า พระนางต้องการให้เอารูปพระนางไปไว้ในวัดที่ตั้งอยู่ "ระหว่างวิหารซางตา มารีอา มายอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเทรัน" ในวันที่ 27 มีนาคม 1499 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ ก็ถูกอัญเชิญเข้าขบวนแห่อย่างสง่าไปที่วัดนั้น คือวัดนักบุญมาธิวอัครสาวก ในวันเดียวกันก็มีอัศจรรย์เกิดขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งแขนหักจนรักษาไม่ได้แล้ว กลับหายเป็นปกติ เพราะความช่วยเหลือจากพระมารดานิจจานุเคราะห์
รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ แขวนที่วัดนักบุญมาธิวนี้เป็นเวลา 300 ปี เป็นที่รู้จักและรักของคนทั่วไป มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการทำอัศจรรย์
แต่แล้วเดือนมิถุนายน 1798 ก็มาถึง นโปเลียน นำทัพเข้าย่ำกรุงโรม วัดนักบุญมาธิว เป็นวัดหนึ่งที่ถูกทำลายเสียจนหมดสิ้น และรูปแม่พระก็สูญหายไป
ซ่อนไว้เป็นเวลา 64 ปี ใคร ๆ ก็เกือบลืมหมดแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่ในอารามนักบวชคณะมหาไถ่ที่กรุงโรม ในระหว่างที่บรรดานักบวชกำลังหย่อนใจอยู่ คุณพ่อองค์หนึ่งกล่าวว่า ท่านได้อ่านพบว่า ที่ที่วัดนักบุญอัลฟอนโซตั้งอยู่นี้ เมื่อก่อนนี้เป็นวัดนักบุญมาธิวที่สลักหักพังไปแล้ว และที่ในวัดเคยมีรูป "พระมารดานิจจานุเคราะห์" ชื่อนั้นทำให้คุณพ่อมีคาแอล มาร์ซี (MICHAEL MARCHI) ตื่นเต้น ท่านจำได้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กนั้นท่านได้เคยช่วยมิสซา ที่ในวัดเล็กของคณะนักบวชเอากุสตีเนียน ชาวไอริช ชื่อวัด ซางตามารีอา อินโปสเตรูลา ท่านได้เห็นรูปแม่พระที่นั่น ภราดาแก่ ๆ องค์หนึ่งได้ชี้ให้ท่านดูบ่อย ๆ
ต่อมาอีกไม่กี่เดือน คุณพ่อฟรัสซิส โบลซี แห่งคณะเยซูอิต ได้เทศน์ที่ในวัด "เยซู" ถึงรูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ที่หายไป ท่านกล่าวว่า เป็นความปรารถนาของแม่พระที่จะให้รูปนี้ตั้งอยู่ที่วัด ระหว่างพระวิหาร ซางตามารีอา มายอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเตรัน ข่าวนี้ก็ถึงหูพวกนักบวชคณะมหาไถ่ และพากันเอาข้อความนี้ไปเสนอคุณพ่ออธิการของคณะ แต่ท่านรอต่อไปอีก 3 ปี ท่านต้องการให้แน่ใจเสียก่อน
ที่สุดในวันที่ 11 ธันวาคม 1865 ท่านก็นำเรื่องนี้ไปทูลพระสันตะปาปา ปีโอที่ 9 ในวันที่ 19 มกราคม 1866 รูปอัศจรรย์ของพระมารดานิจจานุเคราะห์ ก็ถูกนำมายังที่ที่เคยได้รับสิริมงคลมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง คือวัดนักบุญอัลฟอนโซ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระวิหารทั้งสอง อีก 3 เดือนต่อมารูปนี้ก็ตั้งไว้อย่างสง่า ในวันที่ 23 มิถุนายน 1867 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ก็ได้รับมงกุฏ เพราะเป็นรูปอัศจรรย์

พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส


พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส


ที่เมืองซีรากูส พระแม่เจ้ามิได้ประจักษ์มาเหมือนในสถานที่อื่นๆ ที่เมืองนี้พระนางมิได้พูด ได้แต่ร้องไห้โดยผ่านทางรูปปั้นธรรมดาๆรูปหนึ่ง ในบ้านอันต่ำต้อยของคนงานเกษตรกรรมคนหนึ่ง
เมืองซีรากูซา หรือ ซีรากุส (Syracuse) เป็นเมืองอยู่ในเกาะซิซิลี (Sicily) ทางใต้ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1953/พ.ศ. 2496 กรรมกรคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง อายุ 27 ปี ชื่อ อันเจโล ยานุสโซ (Janusso) แต่งงานกับ น.ส. อันโตนีนา จุสโต (Giusto) อายุ 20 ปี ในบรรดาของขวัญที่สองสามีภรรยาได้รับในวันแต่งงาน มีรูปแม่พระชี้ให้ดูดวงหทัยนิรมล เป็นรูปกลมรีทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ผู้ที่ให้ของขวัญชิ้นนี้คือ อันโตนีโอ น้องชายของ อันเจโล
อันโตนีนา มิใช่คนศรัทธาในเรื่องศาสนานัก ส่วนอันเจโลก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ในประเทศอิตาลีนั้น ใครๆก็ชอบมีรูปแม่พระไว้ในบ้าน ดังนั้นสองสามีภรรยที่แต่งงานใหม่ จึงแขวนรูปแม่พระที่อันโตนีโอให้ไว้ใกล้ๆเตียง
ต่อมาเดือนสิงหาคม อันโตนีนาตั้งครรภ์ แต่การคลอดจะเป็นไปตามปกติหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากอันโตนีนาป่วยเป็นโรคลมชักบ่อยๆ ทำให้หมดสติ มองไม่เห็นและพูดไม่ได้ชั่วขณะ บางครั้งสภาพป่วยของภรรยาทำให้อันเจโลเดือดดาล แล้วเขาก็หันไปโทษรูปแม่พระซึ่งแขวนอยู่ที่กำแพง อยากจะทุบให้แตกๆเสีย คืนวันที่ 29 สิงหาคม อาการของอันโตนีนากำเริบขึ้นอย่างน่ากลัว วันต่อมา อันเจโลต้องไปทำงาน จึงฝากภรรยาไว้กับน้องสะใภ้ชื่อกราเซีย (Grazia) เป็นภรรยาของน้องชายชื่อยูเซ็ปเป้
ราว 8.30 น. อันโตนีนาเริ่มทุเลาจากอาการชัก ซึ่งเป็นมาอย่างรุนแรงได้ 6 ช.ม.แล้ว เธอเริ่มมองเห็นชัด พลางกวาดสายตาไปทางรูปแม่พระก็บอกว่าเห็นน้ำตาไหลออกจากรูปปูนปลาสเตอร์นั้น กราเซีย น้องสะใภ้กับนางกอนแซ็ตตาแม่ของกราเซียคิดว่าเธอเพ้อ แต่เมื่อดูรูปแม่พระก็ตกใจ เห็นว่าน้ำตาคลออยู่ที่นัยน์ตาของรูปปั้นนั้น และไหลออกมาอย่างเนืองนอง
หญิงทั้งสองคุกเข่าลง แล้วร้องเรียกหญิงเพื่อนบ้าน มิช้าห้องน้อยๆของอันโตนีนา ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ละคนสามารถมอง พิจารณาอัศจรรย์ที่เกิดได้ น้ำตาของแม่พระไหลจนเปียกหมอนและผ้าปูที่นอน ต่อมาผู้ชายหลายคนก็มาถึงแสดงอาการไม่เชื่อ แต่ครู่เดียวก็ตกตะลึง เมื่อเห็นมหัศจรรย์ จึงคุกเข่าลงพลางสวดภาวนาด้วย
ต่อมาไม่นาน ถนนที่สองสามีภรรยาตระกูลยานุสโซอาศัยอยู่ ก็มีฝูงชนหลั่งไหลมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ละคนอยากมองให้เห็นกับตา จนเมื่อยูเซ็ปเป ยานุสโซกลับมาถึงบ้านต้องนึกถามในใจว่าเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นกับพวกพ้องของตน แต่เมื่อได้เห็นอัศจรรย์ เขาก็สวดด้วยแล้วไปบอกอันเจโล
ฝ่ายอันเจโลเมื่อได้ยินพูดถึงน้ำตาแม่พระ ก็เกรงว่า น้ำตาคงหมายถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับภรรยาป่วยของเขา แต่เมื่อกลับถึงบ้านเขาต้องตกตะลึง เห็นภรรยายืนอยู่สุขภาพสมบูรณ์ เขาคุกเข่าลงพนมมือ: “เหตุไรจึงร้องไห้ ข้าแต่พระแม่เจ้า เหตุไรจึงร้องไห้?”
จนถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงชนอยากเพ่งมองชมดูรูปปั้นที่ร้องไห้อย่างผิดปกติธรรมดา รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ฝูงชนก็ยังหลั่งไหลมาดูเหตุการณ์มหัศจรรย์ในความควบคุมของตำรวจ คนสอดรู้สอดเห็น คนเคลือบแคลงสงสัย ตลอดจนคนไม่เชื่อ ปะปนมากับคนที่มีความเชื่อ แต่แล้วทุกคนต้องยอมรับความจริงที่เห็นต่อหน้า: พระแม่เจ้าทรงกันแสงจริง!
แล้วทุกคนก็เริ่มร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจด้วย แม้ใจที่แข็งกระด้างที่สุดก็อ่อนลง และนักอเทวนิยมก็เริ่มภาวนา บางคนก็ใช้สำลีเก็บน้ำตาของพระแม่เจ้า ซึ่งบางครั้งบางคราว ก็หยุดร้องไห้แล้วก็เริ่มอีก

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม เขานำรูปแม่พระไปวางไว้ที่ถนน เพื่อให้ทุกๆคนเห็น
พระอัครสังฆราชบารันซินี (Baranzini) ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ตัดสินใจในทันทีให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน วันที่ 1 กันยายน นายแพทย์หลายคน พระสงฆ์องค์หนึ่ง นักเคมีคนหนึ่ง กับทหารหลายคน พิจารณารูปปั้นปูนปลาสเตอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ปูนปลาสเตอร์ของรูปปั้น เมื่อถูกน้ำไม่ละลายเลย จะใช้อุบายอะไรหลอกลวงก็ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้หลอดที่ฆ่าเชื้อแล้วเก็บน้ำตาที่ยังไหลอยู่ เมื่อเก็บน้ำตาดังนี้ได้ 19 หยดแล้ว พระแม่เจ้าก็หยุดร้องไห้ไปเลย ส่วนน้ำตาที่เก็บได้นั้นมีประมาณ 1 ลบ.ซม. เขาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ปรากฏว่าเป็นสารที่เหมือนกับน้ำตามนุษย์อย่างแท้จริง!
เมื่อได้รับความมั่นใจ พระอัครสังฆราชพร้อมด้วยนายกเทศมนตรีเมืองซีรากูซา ก็พากันมาถวายสักการะพระรูปแม่พระ โดยเฉพาะเมื่อการหายจากโรคและการกลับใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้น
วันที่ 19 กันยายน พระคุณเจ้าบารันซินีเอง นำพระรูปมาไว้บนแท่นหินอ่อนที่ตั้งขึ้นบนสนามเออรีปิด เพื่อให้ใครๆเคารพ


ตู้เก็บสำลีที่ซับน้ำตา



พระวิหารแม่พระกันแสง เมืองซีรากูส เกาะซิซิลี


ปอล เซเวียร์ ถอดความ
จากหนังสือแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 89 ปีที่ 15 กันยายน-ตุลาคม 1996/2539

แม่พระอะคิต้า (Our Lady of Akita) ประเทศญี่ปุ่น

แม่พระอะคิต้า (Our Lady of Akita) ประเทศญี่ปุ่น


ในปี 1973 พระนางพรหมจารีมารีอาได้ประทานสาร 3 ฉบับแก่ซิสเตอร์อักแนส แคตซูโก้ ซาซากาว้า (Sister Agnes Katsuko Sasagawa) ในเมืองอะคิต้า (Akita) โดยอาศัยรูปพระแม่มารีย์แกะสลักจากไม้ รูปสลักได้ฉายแสงสว่างเจิดจ้า กลายเป็นสิ่งมีชีวิต และพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะเพราะพริ้ง ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เทวดารักษาตัวได้ปรากฏกายสอนนักบวชหญิงสวดภาวนา รูปสลักไม้ซึ่งพูดภาษาคนได้ร้องไห้ 101 ครั้ง ในระยะเวลาหลายปี แล้วก็ยังมีเหงื่อไหลส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั้งห้อง โลหิตไหลจากบาดแผลเป็นรูปกางเขนบนมือขวา ประชาชนจำนวนแสนๆคนได้เป็นพยานเห็นเหตุการณ์เหล่านี้
ศาสดาจารย์ซากิซาก้า (Professor Sagisaka) ของคณะแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอะคิต้า(University of Akita) เป็นผู้วิเคราะห์โลหิต และน้ำตาจากรูปสลักไม้โดยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ และยืนยันว่าโลหิต น้ำตา และเหงื่อเป็นของมนุษย์จริงๆมาจากกลุ่มเลือด 3 ชนิด โอ (O) บี (B) และ เอบี (AB) ซิสเตอร์อักแนสก็มีบาดแผลเป็นรูปกางเขนบนฝ่ามือขวาของเธอ
ในปี 1981 ขณะหญิงชาวเกาหลีผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมะเร็งในสมอง คุกเข่าวอนขอต่อหน้ารูปแม่พระ ได้รับการรักษาให้หายจากโรคทันที นายแพทย์ตองวูคิม ประจำโรงพยาบาลเซนต์เปาโล (St. Paul Hospital) ในกรุงโซล (Seoul) และคุณพ่อ ธิเซน (Fr. Theisen) ประธานศาสนศาลแห่งสังฆมณฑลโซลได้ยืนยันมหัศจรรย์นี้ มหัศจรรย์อันที่สอง คือซิสเตอร์อักแนสได้หายจากโรคหูหนวก
ในเดือนเมษายน 1984 หลังจากพระสังฆราช ยอห์น โชจิโร อิโต แห่งนิอิกาต้าประเทศญี่ปุ่น (Bishop John Shojiro Ito of Niigata, Japan) ทำการสอบสวนอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายปี ท่านประกาศว่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในเมืองอะคิต้าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ และออกคำสั่งให้ทั้งสังฆมณฑลของท่าน แสดงความเคารพบูชาต่อพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองอะคิต้า (Holy Mother of Akita) ท่านกล่าวว่า "สารของอะคิต้าเป็นสารของฟาติมา"
ในเดือนมิถุนายน 1988 นครวาติกัน พระคาร์ดินัลยอเซฟ แรทซิงเยอร์ (Joseph Cardinal Ratzinger) ประธานสมณกระทรวงว่าด้วยข้อความเชื่อ ได้พิจารณาลงความเห็นว่าเหตุการณ์และสารแห่งเมืองอะคิต้าเชื่อถือได้
สารฉบับแรกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1973
"ลูกรักและนวกนารีของแม่ ลูกได้นบนอบเชื่อฟังแม่ในการละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อทำตามคำขอร้องของแม่ หูของลูกยังเจ็บอยู่ใช่ไหม? แน่นอน โรคหูหนวกของลูกจะหายขาด จงมีความอดทน นี่เป็นการพลีกรรมสุดท้าย ลูกต้องเจ็บปวดทรมานด้วยบาดแผลบนฝ่ามือของลูกใช่ไหม?" จงสวดภาวนาชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งมวล ทุกคนในคณะนี้เป็นลูกที่รักยิ่งของแม่ ลูกตั้งใจสวดบทผู้รับใช้แห่งศีลมหาสนิท (Handmaids of the Eucharist) ใช่ไหม? ให้เราสวดบทนี้พร้อมกัน
พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้า
ผู้ทรงประทับอยู่ในศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
ข้าพเจ้าขอถวายร่างกายและวิญญาณของข้าพเจ้าทั้งครบ
เป็นหนึ่งเดียวกับพระหฤทัยของพระองค์
เพื่อเป็นเครื่องบูชาทุกเวลาบนพระแท่นทั่วโลก
และเพื่อสรรเสริญพระบิดาและวิงวอนให้พระราชัยของพระองค์จงมาถึง
โปรดรับการถวายตัวอันสุภาพถ่อมตนของข้าพเจ้า
โปรดใช้ข้าพเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์
เพื่อพระสิริโรจนาของพระบิดาและการกอบกู้วิญญาณ
มารดาพระเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าพลัดพรากจากพระบุตร
โปรดปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าเป็นลูกรักอย่างหวงแหนของพระแม่ อาแมน"
"จงสวดมากๆเพื่อ พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์"
สารฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 1973
"ลูกรักและนวกนารีของแม่ ลูกรักพระเยซูเจ้าใช่ไหม? ถ้าลูกรักพระองค์ จงตั้งใจฟังสิ่งที่แม่กำลังพูดกับลูก สำคัญมากๆ ลูกจะต้องบอกแม่อธิการด้วย
ในโลกนี้มนุษย์มากมายทำร้ายพระเยซูเจ้า แม่ต้องการให้คนบรรเทาพระทัยพระองค์เพื่อลดพระพิโรธของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระบุตรและแม่ปรารถนาให้คนยอมรับความทุกข์ยาก และความยากจนเพื่อชดเชยบาปและความอกตัญญูของมนุษย์
เพื่อให้ทั้งโลกรู้พระพิโรธของพระองค์ พระบิดาเจ้าสวรรค์กำลังเตรียมลงโทษมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง พร้อมด้วยพระบุตรแม่ได้เข้าแทรกแซงหลายๆครั้ง เพื่อระงับพระพิโรธของพระบิดา แม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติที่กำลังมาโดยถวายแด่พระองค์พระมหาทรมานของพระบุตรบนไม้กางเขน พระโลหิตอันประเสริฐของพระองค์ และลูกรักของแม่ที่บรรเทาพระทัยพระองค์ และจัดตั้งกลุ่มทำพลีกรรมถวายแด่พระองค์ คำภาวนา การใช้โทษบาป และการพลีกรรมสามารถลดพระพิโรธของพระบิดา แม่ต้องการสิ่งนี้จากคณะของลูก ขอให้รักความยากจน ความศักดิ์สิทธิ์ และการสวดภาวนาเพื่อชดเชยบาปของคนอกตัญญูและคนทุราจารศีลศักดิ์สิทธิ์ จงสวดบทผู้รับใช้แห่งศีลมหาสนิทโดยเข้าใจความหมายของบทภาวนานี้ แล้วนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถวายทุกสิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานแก่เราเพื่อชดเชยบาป ให้ทุกคนทำตามความสามารถ และเพียรถวายตัวทั้งครบแด่พระเยซูเจ้า

แม้แต่ในสถาบันฆราวาส การสวดภาวนาก็เป็นสิ่งจำเป็น คนที่ปรารถนาอยากสวดภาวนากำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่ม รูปแบบไม่สำคัญ ขอให้เราสัตย์ซื่อและเร่าร้อนในการภาวนาเพื่อบรรเทาพระทัยพระอาจารย์ของเรา"

สารฉบับที่ 3 และสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1973
". . . ถ้ามนุษย์ไม่ยอมเป็นทุกข์ถึงบาปและกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ พระบิดาจะลงโทษมนุษย์ทั้งโลกอย่างน่าหวาดกลัวสยองขวัญ โทษครั้งนี้จะหนักยิ่งกว่าครั้งน้ำมหาวินาศท่วมโลก ชนิดที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ไฟจะหล่นจากฟ้า มนุษย์ส่วนใหญ่ทั้งคนดีและคนชั่วจะตายทันที ไม่ยกเว้นพระสงฆ์หรือผู้ชอบธรรม คนที่รอดตายจะโศกเศร้าเสียใจและอิจฉาคนตาย อาวุธเดียวที่เหลืออยู่สำหรับลูก คือ สายประคำและเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนของพระบุตร ทุกๆวันจงสวดสายประคำ และอุทิศให้พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ ปิศาจจะบ่อนทำลายพระศาสนจักร พระคาร์ดินัลจะขัดแย้งกันเอง พระสังฆราชจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน พระสงฆ์ที่เคารพนับถือแม่จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และต่อต้านจากเพื่อนพระสงฆ์ด้วยกัน โจรผู้ร้ายจะเข้าไปในวัดวาอารามทำลาย และทุราจารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรจะเต็มไปด้วยผู้ที่ยอมรับการประนีประนอม ปิศาจจะกดดันพระสงฆ์และนักบวชหลายๆองค์ให้ลาออกจากการรับใช้พระเยซูเจ้า
จิตชั่วร้ายจะเล่นงานคนที่ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างหนักหน่วง เมื่อคิดถึงวิญญาณมากมายที่จะต้องพินาศไป แม่รู้สึกทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งนัก ถ้าบาปเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและความมหันต์ ก็จะไม่มีการให้อภัย
. . . จงสวดสายประคำบ่อยๆ แม่ผู้เดียวเท่านั้นสามารถช่วยลูกให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆซึ่งกำลังจะมา คนที่ฝากความวางใจไว้กับแม่จะรอด"
ซิสเตอร์อักแนสกับเทวดา
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 1981 ซิสเตอร์อักแนสได้รับสารจากอารักขาเทวดา อธิบายว่า ทำไมรูปสลักไม้ได้ร้องไห้ 101 ครั้ง? คำอธิบายนี้ตรงกับข้อความในปฐมกาล 3:15 (Genesis)
"เราจะให้เจ้าและสตรีเป็นอริกัน ลูกของเจ้าและของสตรีเป็นอริกัน ลูกของสตรีจะขยี้หัวเจ้า เจ้าจะฉกเท้าของเขา"
"ตัวเลข 101 หมายความว่า โดยสตรีคนหนึ่งบาปได้เข้ามาในโลก และโดยสตรีอีกคนหนึ่งการกอบกู้วิญญาณได้เข้ามาในโลก เลข 0 ที่อยู่ระหว่างเลข 1 สองตัว หมายถึงพระเป็นเจ้าผู้สถิตชั่วนิรันดร ตลอดกาลไม่มีวันจบสิ้น เลขหนึ่งตัวแรกแทนเอวาและเลขหนึ่งตัวหลังแทนพระนางพรหมจารี มารีอา"
การประจักษ์และเหตุการณ์ในเมืองอะคิต้าประเทศญี่ปุ่นเกิดขึ้นรอบๆรูปแม่พระแกะสลักจากไม้ สูงประมาณ 3 ฟุต มีพระพักตร์เหมือนสตรีญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในโบสถ์ ผู้รับใช้ศีลมหาสนิทแห่งพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับซิสเตอร์อักแนส ซาซากาว้า หนึ่งในนักบวชหญิงที่อยู่ในคอนแวนต์ แม่พระได้ประทานสารแก่เธอ ขณะนั้นเธอป่วยหนัก หมอต้องผ่าตัดเธอประมาณ 20 ครั้ง เมื่อการประจักษ์เริ่มขึ้น หูเธออยู่ในอาการขั้นวิกฤติเกือบไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น วันที่ 12 มิถุนายน 1973 เมื่อเธอเปิดตู้ศีลเพื่อเฝ้าศีลมหาสนิท ลำแสงสว่างจ้าได้ฉายออกมาจากตู้ศีล ทั้งโบสถ์สว่างไสว เหตุการณ์นี้ได้เกิดเป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน เมื่อซิสเตอร์ถามเพื่อนนักบวชด้วยกันว่าพวกเขาได้มองเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ทุกคนตอบว่าไม่ได้เห็นอะไรเลย
ในวันฉลองพระคริสตกายา (Corpus Christi) แสงเจิดจ้านี้ก็ได้พวยพุ่งออกมาจากตู้ศีล เมื่อซิสเตอร์บอกพระสังฆราชแห่งอะคิต้าผู้มาเยือนอาราม ณ โอกาสนั้น ท่านได้แนะนำเธอให้เก็บเรื่องทั้งหมดไว้ในใจ ในปีเดียวกันก่อนวันฉลองพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Heart) อารักขาเทวดาได้ปรากฏกายให้ซิสเตอร์ซาซากาว้าเห็น และสอนเธอสวดบทภาวนาฟาติมาหลังลูกประคำแต่ละทศ ในปี 1973 บทนี้ไม่มีใครรู้จักสวดในประเทศญี่ปุ่น ซิสเตอร์รู้สึกลำบากใจ แต่เธอก็เริ่มสวด
ในสมัยปัจจุบันบทภาวนานี้ได้แพร่หลายทั่วประเทศญี่ปุ่น
" ข้าแต่พระเยซูเจ้า
โปรดอภัยบาปข้าพเจ้า
โปรดช่วยข้าพเจ้าพ้นจากไฟนรก
โปรดนำวิญญาณทั้งมวลสู่สวรรค์
โดยเฉพาะวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด พระเจ้าข้า"

คำภาวนาสำหรับพระสันตะปาปา
ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงดูแลสอดส่องความทุกข์สุขของเรา
โปรดคุ้มครองอารักขาพระสันตะปาปา บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ผู้ได้รับการแต่งตั้งสืบต่อจากนักบุญเปโตร
ท่านเป็นหินที่พระองค์ได้ตั้งพระศาสนจักร
โปรดให้พระสันตะปาปาเป็นจุดรวมและพื้นฐานแห่งการเป็นหนึ่งเดียว
ในความเชื่อและความรัก
โปรดประทานตามคำวิงวอนของเรา
ทั้งนี้ อาศัยพระบารมีพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์
ผู้ซึ่งสถิตกับพระองค์และพระจิตตลอดนิรันดร อาแมน
คำภาวนาสำหรับพระสงฆ์
ข้าแต่พระเป็นเจ้า พระทัยของพระองค์ทรงเมตตาอย่างไม่มีขอบเขต
โปรดอวยพระพรพระสงฆ์ทุกองค์ ผู้แทนพระองค์บนแผ่นดินนี้
ให้เขาทั้งหลายระลึกเสมอถึงพระหรรษทาน ซึ่งหลั่งลงมาเมื่อเขาทั้งหลายประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ให้เขาทั้งหลายรักพระองค์เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ถวายบูชามิสซาบนพระแท่น
โปรดประทานความเข้มแข็งแก่พระสงฆ์ทุกองค์ ผู้เป็นชุมพาบาลเอาใจใส่เลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์
โปรดประทานพระหรรษทานแก่เขาทั้งหลายเมื่อความเชื่อคลอนแคลน
เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้เป็นแบบฉบับในการยืนยันความจริง และนำเราตรงไปหาพระองค์
ทั้งนี้ อาศัยพระบารมี พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระสงฆ์ชั่วนิรันดร
และสถิตกับพระองค์และพระจิตตลอดนิรันดร อาแมน
โปรดระลึกเถิด
โอ้ พรหมจารีมารีอา ผู้โอบอ้อมอารี
แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยได้ยินเลยว่า
ผู้ที่มาพึ่งท่าน มาขอความช่วยเหลือคุ้มครองจากท่าน ถูกท่านทอดทิ้ง
ข้าพเจ้าวางใจดังนี้ จึงวิ่งมาหาพระมารดา พรหมจารีแห่งพรหมจารีทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคนบาปคร่ำครวญเฉพาะพระพักตร์ของท่าน 

พระมารดาแห่งพระวจะนาถ
โปรดอย่าเมินต่อวาจาของข้าพเจ้า แต่จงสดับฟังและโปรดด้วยเถิด อาแมน

ตำนานแม่พระฉวีดำ Black Madonna




ภาพเขียนแม่พระฉวีดำอุ้มพระกุมาร
ถ่ายจากภาพจริง

เป็นภาพวาดพระนางมารีย์อุ้มพระกุมารเยซูในอ้อมพระหัตถ์ซ้าย ขนาดกว้าง 82 ซม. ยาว 122 ซม. พระรูปนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ถึงความศักดิ์สิทธิ์ และมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 
คนเชื้อชาติโปแลนด์ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพอยู่นอกประเทศ หรือชาวโปแลนด์ในประเทศก็ตาม ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักชื่อ ตำบล "จัสนา โกรา" [Jasna Gora] ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของแม่พระฉวีดำนั่นเอง ไม่เคยมีรูปแม่พระใด ๆ ที่มีสีผิวคล้ำเหมือนกับรูปแม่พระฉวีดำ ชาวยุโรปซึ่งเป็นคนผิวขาวจึงได้ขนานนามพระรูปนี้ว่า "Black Madonna" และเพราะความศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนอัศจรรย์ที่แสดงปกป้องประเทศโปแลนด์จากการรุกรานกันเอง ทั้งในและนอกอาณาจักร พระเจ้าจอห์น คาซิมีร์ [King John Casimir] จึงได้ทรงประกาศให้ "แม่พระฉวีดำเป็นราชินีแห่งราชวงศ์" ให้เป็นที่เคารพสักการะของชาวโปแลนด์ในศตวรรษที่ 17 วัดในสำนักสงฆ์คณะ Paulite แห่งจัสนา โกรา ในเมืองเชสโตโชวา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้ จึงกลายเป็นสถานที่ให้ผู้แสวงบุญจากทุกมุมโลก ได้มาสักการะขอพระพรจากแม่พระฉวีดำ

สาเหตุที่พระฉวีเป็นสีดำ เพราะเขม่าจากควันเทียนที่ผู้ศรัทธาจุดขณะสวดต่อหน้าพระรูป
พระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้มีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นภาพที่นักบุญลูกาได้วาดไว้บนแผ่นไม้ที่ต่อกัน 3 แผ่น และไม้ทั้งสามแผ่นนี้ได้มาจากโต๊ะที่ใช้อยู่ในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ (เยซู มารีอา ยอแซฟ) ที่เมืองนาซาเร็ธ ตามตำนานเชื่อกันว่า เป็นโต๊ะที่พระเยซูเจ้า และนักบุญยอแซฟใช้ทำงานช่างไม้ และใช้เป็นโต๊ะอาหารของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ด้วย พระรูปนี้มาปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด เป็นแต่มีบันทึกว่า ในปี ค.ศ. 326 นักบุญเฮเลนได้พบภาพดังกล่าว ขณะที่พระนางเดินทางมาแสวงบุญที่กรุงเยรูซาเลม ต่อมาท่านได้มอบภาพพระแม่ฉวีดำให้กับบุตรชาย (จักรพรรดิ์คอนสแตนติน) ซึ่งได้สร้างสักการะสถานที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล เพื่อประดิษฐานพระรูปต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ถูกมอบให้เจ้าชายลีโอแห่งรูเธเนีย โดยประดิษฐานอยู่ในพระราชวัง จนกระทั่งศตวรรษที่ 11 รูเธเนียได้ถูกศัตรูบุกรุก กษัตริย์จึงได้สวดภาวนาต่อพระรูป ขอให้ทรงช่วยเหลือกองทัพเล็กๆของพระองค์ ผลก็คือความมืดได้แผ่เข้าปกคลุมบริเวณที่ตั้งของกองทัพศัตรู และในท่ามกลางความสับสนนั้นเอง ศัตรูก็ได้โจมตีกันเอง รูเธเนียจึงปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นในสมัยโบราณ ไม่ว่าใครจะออกรบ ก็จะต้องนำกองทัพมาสวดภาวนา วิงวอนขอต่อพระพักตร์ของแม่พระฉวีดำก่อนเสมอ และเมื่อรบชนะกลับมาก็จะนำสิ่งของมีค่า ทั้งที่เป็นของตนเองและที่ยึดมาได้จากศัตรู มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่แม่พระฉวีดำ
ต่อมาในปี 1382 ซึ่งเป็นสมัยของเจ้าชาย Ladislaus พวกTartar ได้โจมตีพระราชวังที่ประดิษฐานพระรูป และธนูดอกหนึ่งได้แทงทะลุพระรูปบริเวณพระศอ เจ้าชายจึงได้นำพระรูปไปประดิษฐานที่ Mount of Light (Jasna Gora)ในประเทศโปแลนด์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามพระสุบินของพระองค์ ทุกวันนี้สมบัติของแม่พระฉวีดำ ที่อยู่ที่วัดในสำนักสงฆ์คณะ Paulite แห่ง จัสนา โกรา นั้นมีมากมายมหาศาล
ในปี ค.ศ.1430 พระรูปถูกทำลายบางส่วน โดยกลุ่มโจรพวกฮัสไซท์ จากแคว้นโบฮิเมียและโมราเวีย ที่ได้เข้ามารุกราน เพื่อหวังจะปล้นเอาสมบัติล้ำค่าของวัด ในระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของปี ค.ศ.1430 แต่เมื่อค้นหาทรัพย์สมบัติไม่ได้ตามที่ต้องการ จึงได้ปล้นเอาศาสนภัณฑ์ที่ใช้ในพิธีกรรมไป แล้วดึงพระรูปแม่พระฉวีดำ [Madonna] ลงมาจากแท่นบูชา แกะเอาอัญมณี และเครื่องทองที่ประดับพระรูปไปจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ พวกโจรยังได้ใช้ดาบกรีดพระพักตร์แม่พระฉวีดำ ปรากฏเป็นทางยาวตลอดแก้มขวา แล้วทุบพระรูปจนแตกหัก แต่ก่อนที่พวกโจรจะทำลายได้มากกว่านั้น เขาได้ล้มลงสิ้นใจด้วยความเจ็บปวดทรมาน รอยกรีดที่พระพักตร์ปรากฏเป็นสีแดงคล้ายรอยเลือดเห็นได้จนทุกวันนี้ พระรูปที่ชำรุดเสียหายนี้ ได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่ศาลาประชาคมเมืองคราโค๊ฟ
เมื่อบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ ก็ได้มีการซ่อมแซมพระรูปแม่พระฉวีดำใหม่ ช่างฝีมือชั้นเยี่ยมสมัยนั้น เช่น ศิลปินจากสำนัก "รูเธเนียน" และ "อิมพีเรียล ฮับส์เบอร์ก" ต่างพยายามลอกแบบจากต้นฉบับเดิมที่ชำรุดเสียหาย พวกเขาวาดได้งดงามเหมือนของเดิมบนผืนผ้าใบ ด้วยขนาดและสีสันอย่างเดียวกัน พอวาดเสร็จ ปรากฏว่า สีที่วาดไว้ได้ไหลเยิ้มจนเลอะเทอะไปหมดทั้งภาพ ได้มีการพยายามที่จะลอกแบบเพื่อวาดภาพให้เหมือนเดิมอยู่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากเมื่อวาดภาพเสร็จ แม้จะเหมือนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน วันรุ่งขึ้นสีก็จะไหลเลอะเทอะอีก นับเป็นความมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งประการหนึ่ง
การซ่อมแซมพระรูปแม่พระฉวีดำจึงต้องกลับมาหาของเดิม คือนำแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเข้ากับขนาดเท่าเดิม ซ่อมชิ้นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกหักเข้าด้วยกัน รวมทั้งสีต่าง ๆ จากรูปเดิมที่ยังเหลืออยู่บนแผ่นไม้ จนกระทั่งปรากฏเป็นพระรูปแม่พระฉวีดำอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ทางการได้นำพระรูปนี้ไปประดิษฐานยังพระแท่นเดิมในเมืองเชสโตโชฟา
พระรูปแม่พระฉวีดำ มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือเช่นเดียวกับที่แม่พระประจักษ์ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวโปแลนด์ ทรงปกป้องประเทศมิให้สูญสลายสิ้นชาติ แม้จะเหลืออาณาเขตเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งเท่านั้น
พระรูปนั้นงดงามด้วยฝีมือวาด และเครื่องทองตลอดจนอัญมณีที่ประกอบเป็นฉลองพระองค์ ประดับแพรวพราวด้วยเพชรนิลจินดา และมงกุฏล้ำค่าที่ประดิษฐานบนพระเศียรของแม่พระและพระกุมาร ฉลองพระองค์ดังกล่าวมีด้วยกัน 5 ชุด ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชุด คือ ฉลองพระองค์ที่ได้ชื่อว่า "เครื่องทรงเพชร" ประดับด้วยสิ่งมีค่าพระราชทานจากองค์กษัตริย์และราชวงศ์สายสกุลต่าง ๆ ในยุโรปสมัยก่อน ส่วนอีกชุดหนึ่ง คือ "เครื่องทรงทับทิม" เพราะมีทับทิมเม็ดใหญ่ประดับอยู่ด้วย ฉลองพระองค์ชุดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ฉลองพระองค์แห่งความซื่อสัตย์" เนื่องจากมีแหวนแต่งงานเป็นร้อย ๆ วงที่คู่สามีภรรยานำมาถวายแด่แม่พระ เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ต่อกันระหว่างเขาทั้งสอง
ใครก็ตาม ไม่ว่าศิลปินหรือชาวบ้านธรรมดา ๆ ทุกคนที่ได้ไปเห็นพระรูปแม่พระฉวีดำ นอกจากจะชื่นชมกับผลงานในเชิงศิลปะแล้ว ยังต้องยอมรับกันว่า พระพักตร์ที่สง่างามและสงบนิ่ง บันดาลให้เกิดความศรัทธาขึ้นในจิตใจได้อย่างประหลาด และอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ว่าตนกำลังยืนอยู่บนธรณีประตูระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ และยิ่งจ้องมองดูก็คล้ายกับว่า พระรูปนั้นทรงมีชีวิตที่มีทั้งพระคุณและความสง่างามน่าเกรงขาม
เรียบเรียงจาก "The Shrine of the Black Madonna at Czestochowa" และ " TheCultural Heritage of Jasna Gora"
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

ผู้กลับใจ