19 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 14. เราคือปังทรงชีวิต



bluesilvanimcross.gif
14
เราคือปังทรงชีวิต
       แรกมองเราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางประชาชน เหมือนชาวนา เหมือนชาวประมง เหมือนช่างไม้ เหมือนชายชุมพาบาล ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ไม่เหมือนใคร  เพราะพระองค์ทรงมีความละเอียดอ่อนมากกว่าทุกคน พระองค์ทรงเห็นประชาชน แต่ทรงเข้าถึงใจแต่ละคน ไม่ใช่แค่ใบหน้า พระองค์ทรงเห็นว่าแต่ละคนเหมือนแกะที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีฝูง ไม่มีนายชุมพาบาลดูแล และทรงรู้สึกสงสารพวกเขา ทรงเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถมีปฏิกิริยาต่อความแปลกแยกของชีวิต ทรงเห็นความวุ่นวายใจและความวิตกกังวนในพวกเขา หลายคนหิวโหยทั้งปังและศักดิ์ศรี พวกเขาถูกกดขี่จากความไม่รู้และความทุกข์ยาก เหน็ดเหนื่อยกับการดำเนินชีวิตในโลก ไร้ซึ่งความหวัง รอความเมตตา
       พระเยซูเจ้าทรงสงสารทุกคน ทรงร่วมความยากลำบากและเสนอทางออกจากความแห้งแล้งด้วยการเสนอปังที่บันดาลชีวิตให้ทุกคน
       พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เพื่อพวกเขา แล้วนั้นทรงอธิบายความหมายลึกซึ้งของสิ่งที่พระองค์จะทรงมอบให้แก่พวกเขาเมื่อตรัสว่า “เราคือปังที่บันดาลชีวิต”  พระบิดาทรงให้ปังนี้แก่พวกเขาซึ่งจะให้ชีวิตนิรันดรที่เต็มด้วยความสุข ตามที่จิตใจของพวกเขาแสวงหามาโดยตลอด
      แต่ต้องเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงพูดถึงชีวิตแบบไหน ไม่ใช่ชีวิตในแง่ร่างกายและสรีระ หรือชีวิตพืชที่เลี้ยงดูด้วยน้ำและแสงแดด ไม่ใช่ชีวิตแบบสัตว์ที่ดำเนินไปตามความรู้สึกและสัญชาตญาณ แต่เป็นชีวิตมนุษย์ที่มีเหตุผล มีน้ำใจ มีความรักและมีอิสรภาพ คุณภาพเหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์แต่ละคน
      พระเยซูเจ้าทรงประสงค์เติมเต็มชีวิตมนุษย์ด้วยการเชื่อมโยงชีวิตมนุษย์กับชีวิตพระองค์เอง ชีวิตพระเจ้า ชีวิตอมตะ ทรงยกชีวิตมนุษย์ให้สูงส่งด้วยพระหรรษทานของพระองค์ 
      แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ พระวาจาของพระองค์ทำให้หลายคนสงสัยและต่อต้าน ต่างพากันบ่นว่า“พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าทรงเป็นปังจากสวรรค์? พระองค์จะให้เนื้อของพระองค์เป็นอาหารแก่เรากินได้อย่างไร? คำพูดนี้ช่างกระด้าง ใครจะเข้าใจได้?”
      หลังจากที่ฟังสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัส ศิษย์หลายคนละทิ้งพระองค์ไป แต่ไม่ใช่ทุกคน ใครที่ยังอยู่กับพระองค์ต่อไป?

อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งแรก
       บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน  
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด" เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร  
       พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก
       ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า        พระองค์จะทรงไปที่ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่าง ๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน
       เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาศิษย์จึงเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า "สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยวและเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซื้ออาหารกินตามชนบทและตามหมู่บ้านรอบ ๆ นี้เถิด"
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด"
       บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า
       "พวกเราจะต้องไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้เขากินหรือ"
       พระองค์ตรัสว่า
       "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน ไปดูซิ"
       บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงานว่า
       "มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว"
       พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่ม ๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว  เขาก็นั่งลงเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่ายให้ทุกคนด้วย  
       ทุกคนได้กินจนอิ่ม  แล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม  จำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน



พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินบนน้ำ


       ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปที่เมืองเบธไซดา ขณะที่พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงอำลาจากเขาแล้ว  พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา  
       ครั้นถึงเวลาค่ำเรืออยู่กลางทะเลสาบ พระองค์ทรงอยู่บนฝั่งตามลำพัง
       พระองค์ทรงเห็นว่าบรรดาศิษย์ต้องกรรเชียงเรืออย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะเรือทวนลม        ครั้นถึงเวลาประมาณยามที่สี่ พระองค์ทรงพระดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ทรงตั้งพระทัยจะผ่านเขาไป  บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงพระดำเนินอยู่บนทะเล ก็คิดว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้องอื้ออึง  เพราะทุกคนได้แลเห็นพระองค์ จึงตกใจกลัว แต่ทันใดนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า 
       "ทำใจให้ดี  เราเอง อย่ากลัวเลย"
  แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง  เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง ใจของเขายังแข็งกระด้างอยู่ มก 6 : 45-52


พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เจ็บป่วยที่เมืองเยนเนซาเร็ธ 


       พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ  เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระองค์ได้ทันที  และคนในบริเวณนั้นต่างรีบมาหา นำผู้เจ็บป่วยนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่      
       ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมืองหรือในชนบท เขาก็นำผู้เจ็บป่วยมาวางตามลานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัสเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย มก 6: 53-56


พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม 

       วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และจำได้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกันตามลำพังเท่านั้น  แต่เรือลำอื่นจากเมืองทีเบเรียสมายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปัง  เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า
       เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า "พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไปแต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ ท่านเพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรา รับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว"
       เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า "พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "กิจการของพระเจ้า ก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา"
       ประชาชนจึงทูลถามว่า "ท่านกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำอะไรเล่า  บรรพบุรุษของเราได้กินมานนา ในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่ามิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่านแต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน33เพราะขนมปังของพระเจ้าคือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตให้แก่โลก"
       ประชาชนจึงทูลว่า "นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด"  พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่าเราเป็น ปังแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่าท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ
       ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเราและผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ผลักไสไปเลย
       เพราะเราลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา
       พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือเราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราแต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดรและเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
       ชาวยิวบ่นพึมพำ ไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า ที่ตรัสว่า "เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์"  เขาพูดกันว่า "คนคนนี้ไม่ใช่ เยซู บุตรของโยเซฟหรือ เรารู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขาดี แล้วเขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสวรรค์"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า        "เลิกบ่นพึมพำกันเสียทีเถิด" ไม่มีใครมาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขาและเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่าทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้าทุกคนที่ได้ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า
       เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร ยน 6: 22-47



       เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย51เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต
       ชาวยิวจึงเถียงกันว่า
       "คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์และไม่ดื่มโลหิตของเขาท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดรเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเราและเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามาและเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใดผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน
แล้วยังตายผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป"
       พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม ยน 6: 48-59


       เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ ก็กล่าวว่า
       "ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้"
       พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสกับเขาว่า "เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจเราหรือ
       แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร" "พระจิตเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิตลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า "แต่บางท่านไม่เชื่อ" พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศต่อพระองค์  พระองค์ตรัสต่อไปว่า "ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระบิดาประทานให้เขามา"
       หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป

เปโตรประกาศความเชื่อ



       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า "ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ"
       ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า
       "พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร  พวกเราเชื่อ และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "เราได้เลือกท่านทั้งสิบสองคนมิใช่หรือ แต่คนหนึ่งเป็นปีศาจ" 
       พระองค์ทรงหมายถึงยูดาส บุตรของซีโมน อิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน แต่เขาจะทรยศต่อพระองค์   ยน 6: 60-71

นักบุญเบอร์นาดินแห่งซิเอนา พระสงฆ์ 20 พฤษภาคม



แบร์นาดีโน เกิดที่มาสซา มาริตตีมา ( ซึ่งเวลานั้นอยู่ในเขตของเมืองซีเอนา ประเทศอิตาลี) ท่านได้สำเร็จการศึกษาค่อนข้างรวดเร็วเกินวัย ทั้งในด้านการศึกษาทางคลาสสิก ปรัชญา กฎหมายและเทววิทยา ท่านเป็นคนที่ศรัทธามาก อายุแค่เพียง 22 ปีก็ได้เข้าเป็นนักบวชในคณะฟรังซิสกัน
การเทศน์สอนของท่านยิ่งวันก็ยิ่งจี้ถูกจุดขึ้นทุกที ท่านได้ประณามการเจริญชีวิตที่ผิดศีลธรรม ความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายของพวกเจ้านายและพวกผู้มีอำนาจทั้งหลาย แฟชั่นที่ไม่สุภาพเรียบร้อย ความมักได้และความตระหนี่ถี่เหนียว เพราะการที่ท่านเป็นคนที่มีไหวพริบดีและมีอารมณ์ขันด้วย ท่านจึงประสบความสำเร็จอย่างมากมาย
จากปี 1417 ท่านได้จุดเพลิงบรรดาวิญญาณทั้งหลาย เมื่อท่านได้แลเห็นอักษรพระนามของพระเยซูเจ้า “IHS” ปรากฎอยู่บนแผ่นกระดาษเล็กๆ และบนธง และชื่อของพระเยซูเจ้านี้ได้เดินนำหน้าท่าน อีกทั้งท่านได้ถือเอาไว้ข้างธรรมาสน์ด้วยโดยอาศัยคำเทศน์สอนของท่านที่เต็มไปด้วยจิตวิทยา
ท่านได้ทำการเผยแพร่สัญลักษณ์นี้ไปทั่วทั้งประเทศอิตาลี เพื่อเป็นการกระตุ้นความเชื่อและความศรัทธา (ซึ่งเวลานี้ก็ยังส่องแสงเป็นประกายอยู่ที่หน้ามุขของปราสาทที่ทำการเทศบาลของเมืองซีเอน า) ท่านได้ถูกพวกนักเทววิทยากล่าวโทษ และถูกสบประมาทเยาะเย้ยจากพวกผู้ใหญ่ในสำนักคูเรียเอง แต่สันตะปาปาเอวเยนที่ 4 ได้ทรงช่วยป้องกันท่าน ทั้งยังได้ให้กำลังใจท่านให้ท่านทำการเทศน์สอนต่อไป ท่านได้มุ่งหน้าพยายามทำให้คนทั่วๆ ไปได้กลับใจ ท่านได้สิ้นใจที่เมืองอะกวีลา และร่างของท่านได้ถูกฝังไว้ในวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองนี้ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของบรรดาสื่อมวลชนชาวอิตาเลียน

คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. ขอให้บรรดาคริสตชนได้ประณามความอยุติธรรม การเจริญชีวิตที่ผิดศีลธรรมจรรยาและการใช้ความรุนแรง.....
2. การมีชื่อเป็นคริสตชน คือการมีหน้าที่ที่จะต้องพยายามติดตามพระคริสต์
3. ขอให้พระนามของพระเยซูเจ้า จงเป็นที่รักของทุกๆ คน และให้การ กล่าวคำผรุสวาทจงหมดสิ้นไปจากปากของมนุษย์
4. ขอให้บรรดาสื่อมวลชนจงทำหน้าที่ที่จะแถลงความจริง และทำหน้าที่ในการประกาศพระวาจาของพระคริสตเจ้าอย่างถูกต้อง 

19 พฤษภาคม 2555 พระวรสาร ยน 16:23-28 พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า



  zwani.com myspace graphic comments




19 พฤษภาคม 2555
พระวรสาร ยน 16:23-28 พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า 

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า " 23 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา
          พระองค์จะประทานให้แก่ท่านในนามของเรา 24จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขออะไรในนามของเราเลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อว่าความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ 25เราได้ใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่าน จะถึงเวลาที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะกล่าวถึงพระบิดาของเราให้ท่านทราบอย่างแจ่มแจ้ง 26ในวันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่กล่าวแก่ท่านว่า เราจะขอพระบิดาเพื่อท่าน 27พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านได้รักเรา และได้เชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า 28เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก'



zwani.com myspace graphic comments

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 13 ทรงเรียกสาวกสิบสองคน และส่งพวกเขาไป


bluesilvanimcross.gif


13
ทรงเรียกสาวกสิบสองคน
และส่งพวกเขาไป

       นบรรดาศิษย์จำนวนมาก พระเยซูเจ้าทรงเลือกศิษย์สิบสองคนและประทานนามว่า “สาวก”เพื่อให้พวกเขาสานต่อพันธกิจที่พระองค์ทรงทำ ในภาษากรีก คำว่า “apostolos” มีความหมายว่า“ผู้ถูกส่ง”
       ในสมัยพระเยซูเจ้า มีสาวกอยู่แล้ว ทั้งในสถาบันบ้านเมืองทั้งในสถาบันศาสนา พวกเขาคือ “ผู้ถูกส่ง”  ผู้นำข่าว คำสั่ง หรือมติ  บรรดาประกาศกก็เป็น “ผู้ถูกส่ง” ของพระเจ้า
       ทว่า “สาวก” ในลัทธิยูดาและผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งนั้นมีความแตกต่างกัน สาวกในลัทธิยูดาคือ “พนักงาน” ที่มีหน้าที่ทำงานตามหน้าที่และส่งข่าวโดยไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ยกเว้นบรรดาประกาศก ในขณะที่สาวกที่พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งคือกลุ่มที่มีบทบาทจำเพาะ มีพระพรพิเศษและอำนาจเพื่อความดีของมนุษยชาติ
       สาวกต้องนำพระวรสารที่นำความรอดไปให้แก่ประชาชนด้วยความกล้าหาญ ไม่กลัวเกรง อีกทั้งรักษา ปลดปล่อย สอน เห็นชอบ ส่งเสริมด้านมนุษย์และด้านศาสนา นำความมั่นใจ มิตรภาพ ความยินดี สันติและชีวิต
       หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง  พวกเขามีหน้าที่นำ “พระอาณาจักรแห่งพระเจ้า” ที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มที่คาลิลี ไปให้ประชาชน พวกเขาต้องเป็น “คนงาน” ในทุ่งนาของพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรเพื่อทรงพบเขาว่า “พวกท่านจะเป็นชาวประมงจับมนุษย์” คำที่พระเยซูเจ้าทรงใช้ในโอกาสนั้นมีความหมายว่า “เป็นชาวประมงเพื่อช่วยมนุษย์ให้มีชีวิต” 
       เลขสิบสองสำคัญและมีความหมายอย่างไร?
       ในประวัติศาสตร์ของชาวยิว ลูกของยากอบสิบสองคนเป็นหัวหน้าของชนสิบสองเผ่าของอิสราเอล สิบสองเผ่าที่เป็นตัวแทนมนุษยชาติที่พระเจ้าทรงรัก
       อันที่จริง พวกสาวกยังไม่ได้รับเจิม พวกเขาจะได้รับเจิมในวันที่พระจิตเสด็จลงมา ขณะนี้พวกเขาได้รับการอบรมจากพระเยซูเจ้าโดยตรงและทรงส่งพวกเขาไปฝึกงานท่ามกลางประชาชนเพื่อประเมินความสามารถ ทดสอบแรงบันดาลใจแห่งกระแสเรียก ฝึกรับใช้ และเปรียบเทียบตนเองกับพระอาจารย์ ผู้ทรงเป็นตัวอย่างทรงชีวิตของสาวก
       พระเยซูเจ้า ในฐานะผู้นำ ไม่พอพระทัยแค่บอกกฎเกณฑ์ แล้วส่งพวกเขาไป แต่พระองค์ทรงไปกับพวกเขา ทรงสอนและทรงทำเพื่อเป็นแบบอย่าง
       ผู้ประกาศพระวรสารแรกสามคนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์นี้ ซึ่งสรุปด้วยคำสอนเกี่ยวกับงานอภิบาล พร้อมกับการจบชีวิตของนักบุญยอห์น ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเตรียมทางให้พระมหาไถ่ •

ความทุกข์ของประชาชน 
    
                                                    


       พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
       เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง  แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า "ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด"
(มธ 9: 35-38)
 
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน 
       พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
       อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับ อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟิลิปและบาร์โธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัส และธัดเดอัส  ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศพระองค์         พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย"
       อย่าหาเหรียญทอง  เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้  เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว  อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
“เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป  เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น  ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน" “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสียด้วย  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา  เมืองโสดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น"
       "จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ" (มธ 10: 1-16 )


ธรรมทูตจะถูกเบียดเบียน
        "จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตก กังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน
       พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย  คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น  เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล  บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จกลับมาแล้ว"
       "ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย  ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า 'เบเอลเซบูล' เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด"

ธรรมทูตต้องไม่เกรงกลัวที่จะพูด

       "อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้  สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน" "อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก  นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ  ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว  31เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก"

       "ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์  33และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย"

พระเยซูเจ้าทรงเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง

       "อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำสันติภาพ แต่มาเพื่อนำดาบมาให้  35เรามาเพื่อแยกบุตรชายจากบิดาแยกบุตรหญิงจากมารดาแยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี36ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง?

การสละตนเองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า

       "ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา"
"ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก?

สรุปคำสั่งสอน

       "ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา"
       "ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเราเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม"
       "ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดา ๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน" (มธ 10: 17-42)

ธรรมล้ำลึกแห่งอาณาจักรสวรรค์  
      เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่าง ๆ ในแคว้นกาลิลี (มธ11: 1)



กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า 
       กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เพราะพระนามของพระเยซูเจ้าเลื่องลือไป บางคนพูดว่า "ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้"  บางคนพูดว่า "เขาคือเอลียาห์" บางคนก็พูดว่า "เขาเป็นประกาศกคนหนึ่งเหมือนกับประกาศกคนอื่น"
       แต่เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเช่นนี้ ก็ตรัสว่า "ยอห์นคนที่เราให้ตัดศีรษะ ได้กลับคืนชีพมาอีก" (มก 6: 14-16)




ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศีรษะ
       กษัตริย์เฮโรดองค์นี้ทรงสั่งให้จับกุมยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี  ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า "ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี" นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้  เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำพูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรงยินดีที่จะฟัง
       นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำคัญในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์  บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์เฮโรด และเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญ
        กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า "ท่านอยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้"
และยังทรงสาบานอีกว่า "ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเราก็ตาม"
       หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า "ลูกจะขออะไรดี"
       มารดาตอบว่า "จงขอศีรษะของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง"
       หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า "หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้"
       กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว  จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที  เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำมาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา   เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำไปฝังไว้ในคูหา (มก6: 17-29)









เล่าเรื่องพระเยซู ~ 12 ทำไมทรงสอนด้วยคำอุปมา?

bluesilvanimcross.gif



12
ทำไมทรงสอนด้วยคำอุปมา?
       นี่คือคำถามที่บรรดาศิษย์ทูนถามพระเยซูเจ้าหลังจากที่พระองค์ทรงสอนพวกเขาด้วยคำอุปมาเรื่องผู้หว่าน พระเยซูเจ้าทรงให้คำตอบที่ไม่คาดคิดว่า “เพื่อพวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ”
       ทุกคนเลยหรือ? ไม่ใช่ เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดหากพูดแล้วไม่มีใครเข้าใจ
       พระองค์จึงทรงพูดเป็นนัยว่า “เพื่อคนที่ไม่รักเราจะได้ไม่เข้าใจ” อันที่จริง คนที่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเมสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้ามักจะพูดวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ แถมยังหาทางกล่าวหาพระองค์ หาเหตุผลลงโทษพระองค์กล่าวหาว่าพระองค์ทรงสอนคำสอน “ใหม่และเชิงปฏิวัติ”เมื่อเทียบกับคำสอน “เก่าและล้าสมัย”
       พระเยซูเจ้าทรงมีวิธีพูดหลากหลายมาก แบบซื่อๆและตรงไปตรงมา บางครั้งก็ดีลึกลับและเชิงสัญลักษณ์ บางครั้งก็เป็นรูปธรรม ไม่เหมือนใครและเปี่ยมด้วยพลังของพระเจ้า
       ทุกครั้งที่เทศน์สอน พระเยซูเจ้าทรงสอนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยคำเปรียบเทียบ นำสิ่งที่ประชาชนรู้จักดีมาพูด (เช่นผู้หว่านเมล็ด)  หรือบางครั้งก็ใช้ “คำอุปมา” แต่งเรื่องใหม่ๆ ไม่ซ้ำแบบใครและเข้าถึงประเด็น (งานเลี้ยงใหญ่)  ทรงทำให้คำพูดของพระองค์กลายเป็นตัวตนในตัวอย่าง ในเรื่องจริง ซึ่งทำให้ดูน่าเชื่อถือและเป็นแบบอย่างของความจริงในเชิงสัญลักษณ์ (คนงานสวนองุ่นฆ่าลูกเจ้าของสวน)
       กระนั้นก็ดี ในพระวรสาร “พูดเป็นคำอุปมา” หมายถึงการอธิบายความจริงศาสนา ศีลธรรม ปรัชญาศาสตร์ โดยใช้ตัวอย่าง การเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนเปรียบเทียบหรือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
       “คำอุปมา” เป็นคำภาษากรีก มีความหมายว่า “เปรียบเทียบ”
       คำอุปมาพระวรสารเป็นการบรรยายเพื่อทำให้ผู้ฟังเห็นภาพน่าพิศวงและร่วมในอารมณ์กับสิ่งที่บรรยาย
       พระเยซูเจ้าทรงใช้คำอุปมาอย่างต่อเนื่องกระทั่งถึงปลายชีวิตของพระองค์ และแม้แต่เมื่อทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว (นายชุมพาบาลและลูกแกะ)
       พระองค์ไม่มุ่งจะสร้างความตระหนักแก่ผู้ฟัง แต่ใช้เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงและส่งเสริมศักยภาพแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ ทำให้ผู้ฟังเป็นมนุษย์มากขึ้น
       เราจะรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในตัวเราด้วยหากเราฟังพระองค์ด้วยใจซื่อๆและด้วยความปรารถนาจะเป็นเพื่อนกับพระองค์
       คำอุปมาเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์ที่เราอ่านต่อไปนี้จะช่วยเราให้เข้าใจว่าเรามีโอกาสอย่างเป็นรูปธรรมและหนึ่งเดียวที่จะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ อยู่กับเราเสมอ •

       วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา 

อุปมาเรื่องผู้หว่าน

       พระองค์ตรัสว่า "จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก  แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง  ใครมีหู ก็จงฟังเถิด" (มธ 13: 1-9)


เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา
       บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า "ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า"   พระองค์ทรงตอบว่า "พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น  เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย  เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ  สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่าท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจจะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้างเขาทำหูทวนลม และปิดตาเสียเพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหูจะได้ไม่เข้าใจจะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา
       "ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง
       เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรม จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง
 (มธ13: 10-17)

คำอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน        "เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด  เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่าน ลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง
       เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที  แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที
       เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล
       ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง" (มธ 13: 18-23)

อุปมาเรื่องข้าวละมาน 
       พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป  เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย  บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า "นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า"
       นายตอบว่า "ศัตรูมาหว่านไว้" ผู้รับใช้จึงถามว่า "นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม"
       นายตอบว่า "อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน" (มธ13: 24-30)


อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

 
     พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่น ๆ  และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้"(มธ 13: 31-33)
อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง
       พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น"

เหตุผลที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นอุปมา
       พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา  ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า        เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมาเราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก (มธ 13: 34-35)


คำอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน
      หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า "โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด"
พระองค์ตรัสว่า "ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์38ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย  ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์
"ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น  บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร  แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง  43ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด" (มธ 13: 36-43)

อุปมาเรื่องขุมทรัพย์  และเรื่องไข่มุก

       อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น
       อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม  เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น (มธ 13: 44-46)


อุปมาเรื่องอวน

       "อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด
       เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป  เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง" (มธ 13: 47-50)

สรุป
       "ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่" บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า "เข้าใจแล้ว"
       พระองค์จึงตรัสว่า "ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน" (มธ 13: 51-52)

พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองนาซาเร็ธ

      พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย   ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังมากมายต่างประหลาดใจ และพูดว่า "เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขา  คนนี้เป็นช่างไม้  ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ" คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรัพระองค์
พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า "ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด  ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน"
       พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ ( มก6: 1-6)





ผู้กลับใจ