19 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 12 ทำไมทรงสอนด้วยคำอุปมา?

bluesilvanimcross.gif



12
ทำไมทรงสอนด้วยคำอุปมา?
       นี่คือคำถามที่บรรดาศิษย์ทูนถามพระเยซูเจ้าหลังจากที่พระองค์ทรงสอนพวกเขาด้วยคำอุปมาเรื่องผู้หว่าน พระเยซูเจ้าทรงให้คำตอบที่ไม่คาดคิดว่า “เพื่อพวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ”
       ทุกคนเลยหรือ? ไม่ใช่ เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดหากพูดแล้วไม่มีใครเข้าใจ
       พระองค์จึงทรงพูดเป็นนัยว่า “เพื่อคนที่ไม่รักเราจะได้ไม่เข้าใจ” อันที่จริง คนที่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเมสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้ามักจะพูดวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ แถมยังหาทางกล่าวหาพระองค์ หาเหตุผลลงโทษพระองค์กล่าวหาว่าพระองค์ทรงสอนคำสอน “ใหม่และเชิงปฏิวัติ”เมื่อเทียบกับคำสอน “เก่าและล้าสมัย”
       พระเยซูเจ้าทรงมีวิธีพูดหลากหลายมาก แบบซื่อๆและตรงไปตรงมา บางครั้งก็ดีลึกลับและเชิงสัญลักษณ์ บางครั้งก็เป็นรูปธรรม ไม่เหมือนใครและเปี่ยมด้วยพลังของพระเจ้า
       ทุกครั้งที่เทศน์สอน พระเยซูเจ้าทรงสอนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยคำเปรียบเทียบ นำสิ่งที่ประชาชนรู้จักดีมาพูด (เช่นผู้หว่านเมล็ด)  หรือบางครั้งก็ใช้ “คำอุปมา” แต่งเรื่องใหม่ๆ ไม่ซ้ำแบบใครและเข้าถึงประเด็น (งานเลี้ยงใหญ่)  ทรงทำให้คำพูดของพระองค์กลายเป็นตัวตนในตัวอย่าง ในเรื่องจริง ซึ่งทำให้ดูน่าเชื่อถือและเป็นแบบอย่างของความจริงในเชิงสัญลักษณ์ (คนงานสวนองุ่นฆ่าลูกเจ้าของสวน)
       กระนั้นก็ดี ในพระวรสาร “พูดเป็นคำอุปมา” หมายถึงการอธิบายความจริงศาสนา ศีลธรรม ปรัชญาศาสตร์ โดยใช้ตัวอย่าง การเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนเปรียบเทียบหรือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
       “คำอุปมา” เป็นคำภาษากรีก มีความหมายว่า “เปรียบเทียบ”
       คำอุปมาพระวรสารเป็นการบรรยายเพื่อทำให้ผู้ฟังเห็นภาพน่าพิศวงและร่วมในอารมณ์กับสิ่งที่บรรยาย
       พระเยซูเจ้าทรงใช้คำอุปมาอย่างต่อเนื่องกระทั่งถึงปลายชีวิตของพระองค์ และแม้แต่เมื่อทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว (นายชุมพาบาลและลูกแกะ)
       พระองค์ไม่มุ่งจะสร้างความตระหนักแก่ผู้ฟัง แต่ใช้เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงและส่งเสริมศักยภาพแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ ทำให้ผู้ฟังเป็นมนุษย์มากขึ้น
       เราจะรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในตัวเราด้วยหากเราฟังพระองค์ด้วยใจซื่อๆและด้วยความปรารถนาจะเป็นเพื่อนกับพระองค์
       คำอุปมาเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์ที่เราอ่านต่อไปนี้จะช่วยเราให้เข้าใจว่าเรามีโอกาสอย่างเป็นรูปธรรมและหนึ่งเดียวที่จะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ อยู่กับเราเสมอ •

       วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา 

อุปมาเรื่องผู้หว่าน

       พระองค์ตรัสว่า "จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก  แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง  ใครมีหู ก็จงฟังเถิด" (มธ 13: 1-9)


เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา
       บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า "ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า"   พระองค์ทรงตอบว่า "พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น  เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย  เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ  สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่าท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจจะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้างเขาทำหูทวนลม และปิดตาเสียเพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหูจะได้ไม่เข้าใจจะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา
       "ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง
       เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรม จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง
 (มธ13: 10-17)

คำอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน        "เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด  เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่าน ลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง
       เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที  แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที
       เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล
       ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง" (มธ 13: 18-23)

อุปมาเรื่องข้าวละมาน 
       พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป  เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย  บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า "นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า"
       นายตอบว่า "ศัตรูมาหว่านไว้" ผู้รับใช้จึงถามว่า "นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม"
       นายตอบว่า "อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน" (มธ13: 24-30)


อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

 
     พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่น ๆ  และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้"(มธ 13: 31-33)
อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง
       พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น"

เหตุผลที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นอุปมา
       พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา  ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า        เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมาเราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก (มธ 13: 34-35)


คำอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน
      หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า "โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด"
พระองค์ตรัสว่า "ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์38ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย  ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์
"ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น  บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร  แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง  43ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด" (มธ 13: 36-43)

อุปมาเรื่องขุมทรัพย์  และเรื่องไข่มุก

       อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น
       อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม  เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น (มธ 13: 44-46)


อุปมาเรื่องอวน

       "อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด
       เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป  เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง" (มธ 13: 47-50)

สรุป
       "ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่" บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า "เข้าใจแล้ว"
       พระองค์จึงตรัสว่า "ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน" (มธ 13: 51-52)

พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองนาซาเร็ธ

      พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย   ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังมากมายต่างประหลาดใจ และพูดว่า "เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขา  คนนี้เป็นช่างไม้  ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ" คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรัพระองค์
พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า "ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด  ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน"
       พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ ( มก6: 1-6)





ผู้กลับใจ