08 มิถุนายน 2555

มานาประจำวัน ~ ไปสวรรค์

จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า 
และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย 
– กิจการ 16:31


ความเข้าใจเรื่องความรอดของคุณมีพื้นฐานอยู่บนความจริงในพระคัมภีร์หรือไม่? 
สิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อคุณนั้นมีคุณค่ายิ่งนัก


 สิ่งที่เราจะได้รับจากการเชื่อในพระคริสต์
มีค่ามากกว่าของขวัญฟรีจากการตอบคำถาม – JDB

เรื่องของความเชื่อ
พระเยซูทรงจ่ายค่าไถ่ความบาปของคุณโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
เพียงคุณยอมรับว่าคุณเป็นคนบาปและเชื่อวางใจว่าพระองค์
จะทรงอภัยบาปให้เท่านั้น คุณก็จะได้คืนดีกับพระเจ้า

การเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เป็นเรื่องประวัติศาสตร์
แต่การเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อคุณเป็นเรื่องความรอด

น.เอเฟรม สังฆานุกรและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร 9 มิถุนายน

นักบุญ เอเฟรม

นักบุญ เอเฟรม  เป็นฤาษี เกิดที่เมืองนิสิบี ( เมืองนูไซบินในประเทศซีเรียตะวันออกปัจจุบัน )

นักบุญ เอเฟรม เป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งทางด้านคำสอนและชีวิตนักบวช เป็นผู้ให้การอบรมประชาชนและบรรดาฤาษี ท่านได้เป็นผู้ป้องกันความเชื่อในพระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจากพวกเฮเรติ๊กในสมัยของท่าน ได้เป็นนักอธิบายพระคัมภีร์และเป็นนักเทศน์ ทั้งยังได้ทำงานในด้านแพร่ธรรมในหมู่พวกคนต่างศาสนอีกด้วย เขาให้สมญาท่านว่าเป็น “พิณแห่งพระจิตเจ้า”

เพราะโดยสายเลือดท่านเป็นนักประพันธ์อยู่ในตัว ท่านได้ขับร้องข้อความเชื่อทั้งหมดของคริสตศาสนาเป็นเพลงสรรเสริญ ทั้งได้แต่งบทร้อยกรองสรรเสริญพระนางพรหมจารีมารีอาพระมารดา ได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งอีกด้วย ท่านเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระศาสนจักร ซีเรียทุกวันนี้ก็ยังขับร้องบทเพลงต่างๆ  ที่ท่านได้แต่งไว้ในพิธีกรรมและเนื่องจากเทววิทยาของท่านได้สัตย์ซื่อต่อธรรมประเพณีของอัครธรรมทูต พระศาสนจักรจึงได้ยกย่องเคารพท่านให้เป็น “นักปราชญ์ของพระศาสนจักร”
 



   9 มิถุนายน
   อนุสงฆ์และนักปราชญ์





คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. ให้เราได้เรียนรู้จักถวายตัวเราเอง แด่พระบิดาเจ้าพร้อมๆ กับพระคริสตเจ้า
2. ให้เราได้รู้จักเคารพและรักบรรดาพระสงฆ์ซึ่งได้ให้พระคริสตเจ้าแก่เรา
3. ขอให้ความศรัทธาภักดีของเราที่มีต่อพระนางพรหมจารีมารีย์จงเป็นไปประสาลูกๆ ที่มีต่อแม่
4. ขอให้การมาร่วมประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของเราจงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอด้วยการขับร้องเพลงสรรเสริญ


bluesilvanimcross.gif

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 20.ทรงมาเพื่อตามหาผู้ที่เสียไป

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

bluesilvanimcross.gif


20
ทรงมาเพื่อตามหาผู้ที่เสียไป

       มีแต่นักบุญลูกาที่บันทึกอุปมา 7 เรื่องที่เราจะเห็นในบทนี้  ในจำนวนนี้ อุปมา 5 เรื่องพูดถึงท่าทีของพระเจ้าต่อคนบาป เป็นท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรที่อ้อนวอน “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงเมตตาลูกด้วยพระทัยดีของพระองค์ (สดด 50)
       “พระเมตตา” เป็นความรู้สึกสงสารอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ที่ไร้ความสุข  พระเยซูเจ้าทรงเผยว่า พระเจ้าที่พระองค์กล่าวถึงไม่ใช่พระเจ้าในมุมมองของฟาริสีและตามแง่กฎหมาย  แต่เป็นพระเจ้าแห่งดวงใจ ทรงสงสารและเป็นห่วงลูกแต่ละคน ของพระองค์ เพราะเหตุนี้ พระเจ้าทรงตามหามนุษย์ ไม่ใช่เพื่อพิพากษา ตำหนิ หรือลงโทษเขา แต่เพื่อร่วมยินดี ให้อภัยและทำให้มนุษย์แต่ละคนมีชีวิต
       เรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกแกะที่หลงทางและเหรียญที่หายไป ซึ่งเป็นเหรียญกรีกและมีค่าเท่ากับค่าจ้างหนึ่งวัน บ่งบอกถึงความประสงค์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่จะตามหามนุษย์ที่ขบถและหลงทาง เพื่อจะให้โอกาสและให้เขามั่นใจ อีกทั้งร่วมยินดีกับเขาและเพื่อนๆของเขา เพราะ “ในสวรรค์มีความชื่นชมยินดีเพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าเพราะผู้ชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน” 
       คำอุปมาที่สามคือลูกล้างผลาญ นอกจากจะเผยให้เห็นดวงใจของพ่อผู้ใจดีแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าไม่ทรงเห็นด้วยกับคำตัดสินและทัศนคติของธรรมจารย์และฟาริสี ที่พากันวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีอันเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อคนบาป  ในเวลาเดียวกันก็มีความหมายมากกว่านั้น กล่าวคือ บุตรคนโตที่ตำหนิความเมตตาของบิดา สะท้อนถึงท่าทีของลูกของพระเจ้าที่อิจฉาเพราะคนอื่นได้รับพระเมตตาของพระบิดาและชอบทำตัวเป็นคนตัดสินน้องๆที่กลับมาหาพระบิดา
       พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาโดยคำนึงถึงแง่ของวรรณกรรม แต่เนื้อหาน่าประทับใจ สมควรจะอ่านและรำพึงบ่อยๆ ทำไมบิดาจึงรับลูกล้างผลาญกลับเข้าบ้าน? เพราะ “เขาเป็นลูกของพ่อ...เป็นน้องของเธอ”
       นอกนั้น ยังมีอุปมาเรื่องเศรษฐีที่เห็นแก่ตัวที่ไม่มีความเมตตาสงสารลาซารัส และเมื่อเศรษฐีร้องขอความเมตตาจากนรกว่า “ท่านบิดา เมตตาลูกด้วย”  ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเวลาแห่งความเมตตาสำหรับเขาจบสิ้นแล้วและเริ่มต้นเวลาแห่งความยุติธรรม เป็นการบอกให้เราสำนึกว่าเราต้องรายงานการบริหารชีวิตเราเช่นกัน
       พระบิดาเจ้าทรงเมตตาต่อเราในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อตายไปแล้ว เราไม่สามารถได้รับการอภัยและอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์เดียวกันกับชายและหญิงในวันที่น้ำท่วมโลกและที่เกิดกับพลเมืองของเมืองโสโดม เราจะพินาศทุกคน
       เราจึงต้องทำตัวเป็นผู้จัดการ “ฉลาดแกมโกง” ในอุปมาเรื่องที่สี่และคิดถึงอนาคตของเราเมื่อความตายมาถึง ทำเหมือนคนโรคเรื้อนสิบคนที่วอนขอความเมตตา หรือทำเหมือนคนเก็บภาษาในอุปมาเรื่องสุดท้ายที่ก้มหน้ายอมรับความผิดและสวดว่า “ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงเมตตาลูกที่เป็นคนบาป” เราต้องสวดเสมอโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
       เราจะรู้สึกในความรักเมตตาของพระเจ้า พระองค์จะทรงสวมกอดเรา และเริ่มต้นใหม่กับเรา •


เรื่องอุปมาสามเรื่องแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า
 


        บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า  ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า "คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา"
        พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง

เรื่องแกะที่พลัดหลง


       ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ  เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี  กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า "จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว"
       "เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่" ลูกา15: 1-7

เรื่องเงินเหรียญที่หายไป 

       "หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำหายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาดบ้าน ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ  เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพูดว่า "จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว"  
       "เราบอกท่านทั้งหลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกัน  เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ" ลูกา15: 8-10 

เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว 

        พระองค์ยังตรัสอีกว่า "ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน  บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า  'พ่อครับโปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด' บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน  
       ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
       "เมื่อเขาหมดตัว  ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น   และเขาเริ่มขัดสน  จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง  คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้
       เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว  ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า 'พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ  ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด'
       เขาก็กลับไปหาบิดา ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา  บุตรจึงพูดกับบิดาว่า 'พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก'
        แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า 'เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้  จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด  เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก' แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
       ส่วนบุตรคนโต อยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ  จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น  ผู้รับใช้บอกเขาว่า 'น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย'
       บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป  
       แต่เขาตอบบิดาว่า 'ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ  แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย'
       บิดาพูดว่า 'ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก  แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก' ลูกา15: 11-32

ความฉลาดของผู้จัดการ 

        พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า "เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย  เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป"  
       ผู้จัดการจึงคิดว่า "ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา  
ฉันรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา"
       เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า
       "ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร" 
       ลูกหนี้ตอบว่า
       "เป็นหนี้น้ำมันมะกอกหนึ่งร้อยถัง"
       ผู้จัดการจึงบอกว่า
       "นำใบสัญญาของท่านมา นั่งลงเร็ว ๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง"  
       แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า
       "แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร"
       เขาตอบว่า
       "เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ"
       ผู้จัดการจึงบอกว่า
       "เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ"
       นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้น ว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง

การใช้เงินทองอย่างถูกต้อง


       'ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้ เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้นหมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พำนักนิรันดร ' ลูกา16: 1-9

     ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย
       เพราะฉะนั้นถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน
       "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้  เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง  เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง  ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้"

พระเยซูเจ้าทรงตำหนิชาวฟาริสีที่รักเงินทอง
 


       ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยคำทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์  
       พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่องเป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า" ลูกา16: 10-15

ความพยายามเข้าสู่พระอาณาจักร 

       ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกมีผลบังคับจนถึงสมัยของยอห์น หลังจากนั้นมีการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า และทุกคนกำลังพยายามเข้าสู่พระอาณาจักรนี้

ธรรมบัญญัติคงอยู่ตลอดไป


       ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไปได้ แต่ธรรมบัญญัติที่เขียนไว้จะไม่ขาดหายไป แม้เพียงจุดเดียว
ลก 16, 16-17
อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส 

        "เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน  คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว  อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี  มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา
        "วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้" เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก
        จึงร้องตะโกนว่า
        "ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้" 
แต่อับราฮัมตอบว่า 'ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ  บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย'
       เศรษฐีจึงพูดว่า
       "ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก  เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย"  
       อับราฮัมตอบว่า
       "พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด"
       แต่เศรษฐีพูดว่า
       "มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ"  
       อับราฮัมตอบว่า  
       "ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ" ลูกา 16, 19-31


พลังของความเชื่อ

       บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
       "โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด"
       องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า
       "ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด" และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า        "จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด"
       ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน ลูกา 17, 5-6


 การถ่อมตนรับใช้ 

       "ท่านผู้ใดที่มีคนรับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับคนรับใช้หรือว่า "เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด"  แต่จะพูดมิใช่หรือว่า "จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม"  นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ  ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า "ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น" ลูกา  17, 7-10
คนโรคเรื้อนสิบคน
       ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี  เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างพระองค์  ร้องตะโกนว่า
       "พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด"
       พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า
       "จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด"
       ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค
       คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า  
       ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย  พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า "ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใดเล่า ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ" 
       แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้น ไปเถิด  ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว" 
ลูกา
  17, 11-19

พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง 

      เมื่อชาวฟาริสีทูลถามว่า
       "พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ ไม่มีใครจะพูดว่า 'พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น' เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว"

วันของบุตรแห่งมนุษย์


       พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
       "เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์ แม้เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น  จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า 'บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น' หรือ 'บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่' ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป  เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้าหนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น  บุตรแห่งมนุษย์จำเป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์
       "เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ ฉันนั้น  ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น  ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน  ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน  แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น
       ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย31?ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก  
       ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด  33ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้
       เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้  หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้" 
       บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า
       "เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า"
       พระองค์ทรงตอบว่า "ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน" ลูกา 17: 20-37
ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี

       พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า  มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี
       ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้  ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า"
       ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก  พูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด"
       เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ  เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น ลูกา 18 : 9-14



ผู้กลับใจ