07 มิถุนายน 2555

อุดมคติ


อุดมคติ   เขียนโดย พระสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์

คุณเควิน  โทเดสกี้  ได้เขียนหนังสือ 12 บทเรียนในชีวิตจิตส่วนบุคคล ผมได้สรุปไปเรื่อง การร่วมมือ การรู้จักตนเอง วันนี้เรื่องอุดมคติ (ideals) การดำเนินชีวิตให้ประสบผลสำเร็จ เราต้องมีอุดมคติ หรือ  อุดมการณ์ ซึ่งช่วยเราให้ตอบเสียงเรียกภายใน พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ  พ.ศ. 2530  ให้นิยามดังนี้
อุดมการณ์ คือ อุดมคติอันสูงส่งที่จูงใจมนุษย์ให้พยายามบรรลุถึง
อุดมคติ คือ จินตนาการที่ถือเป็นหลักแห่งความดี  ความงาม  และความจริง  ที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิต
อุดมคติ  เป็นอิทธิพลผลักดันเราให้กระทำอย่างตั้งใจ  มีเหตุผล  มิใช่เป็นเป้าหมายที่เราพยายามบรรลุถึงเท่านั้น  แต่เป็นพลังผลักดันนำชีวิตของเรา  แม้บางคนอาจไม่รู้ตัว เหตุผลที่บางคนพบปัญหาวุ่นวายในชีวิต  เพราะเขาไม่เคยตั้งอุดมคติที่รู้ตัว  แต่ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งเราต้องเลือก  ตัดสินใจ  และต้องเริ่มในวิถีเชิงบวก หากเรามีอุดมคติที่รู้ตัว เราจะคิด พูด  และกระทำอย่างมีหลัก เช่น ความรัก สำหรับกิจกรรมต่างๆเราอาจตั้งคำถาม 5 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.  ในที่ทำงาน ผู้ร่วมงานที่น่ารัก เป็นอย่างไร
2.  ในครอบครัว สมาชิกที่น่ารัก เป็นอย่างไร
3.  ในหมู่บ้าน เพื่อนบ้านที่น่ารัก เป็นอย่างไร
4.  ในสังคม บุคคลที่น่ารัก มีคุณค่า น่ายกย่อง เป็นอย่างไร
5.  ในเขตวัด สัตบุรุษที่น่ารัก เป็นอย่างไร
คำถามเหล่านี้ มิใช่อยากให้กำลังใจเท่านั้น แต่ปรารถนาช่วยเราให้ตระหนักถึงพลังของอุดมคติ ทั้งด้านบวกและด้านลบ หากถามว่าทำไมอุดมคติในชีวิตจึงสำคัญต่อชีวิตจิต  น่าจะตอบได้  3  ประการ  คือ
- อุดมคติช่วยนำชีวิตจิตของเรา
- อุดมคติช่วยเราให้รู้จักตนเอง
- อุดมคติช่วยเราให้จัดการกับความยุ่งยาก  และช่วยให้เรามีเสรีภาพในการเลือกได้ดีขึ้น
อุดมคติในชีวิตประจำวัน
จงรู้จักอุดมคติของตน  ไม่ใช่สิ่งที่ท่านอยากให้คนอื่นเป็น  แต่เป็นอุดมคติของคุณเอง  มันจะสัมพันธ์กับผู้อื่น  เพราะผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ  ผู้รับใช้ทุกคน  พระเยซูเจ้าระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้าย  ทรงล้างเท้าให้อัครสาวก  และสั่งว่า “ท่านต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย” (ยอห์น 13:14) หมายถึง  การรับใช้กันด้วยความรัก  และความถ่อมตน
บัดนี้คุณทดลองเขียนอุดมคติส่วนตัว  3  ขั้น  เช่น  อุดมคติด้านจิตวิญญาณ (ความอดทน...ให้อภัย)  ทัศนคติ (ความเมตตา...การเปิดใจ)  และกิจการ (อย่าพูดว่า ฉันทำไม่ได้)
อุดมคติที่รู้ตัว  ช่วยเราให้มีจุดประสงค์ของกิจการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน  หากปราศจากแรงจูงใจ  เราก็ทำไปไร้ทิศทางชัดเจน  หากไม่มีอุดมคติ  เราจะทำไปตามความต้องการ  หรือความกลัว  หรือเพราะเคยชิน  เราจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา
แม้บางคนอาจมีความคิด  แผนการ  หรือเป้าหมายที่แตกต่างกัน  เราก็สามารถแบ่งปันสิ่งที่เหมือนร่วมกันได้  สามารถนำมนุษยชาติมารวมกันได้ มนุษย์มีความคิดแตกต่าง  ทุกคนอาจมีอุดมคติเหมือนกันได้  คือ  รักพระเจ้าสุดดวงใจ  และรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง นี่เป็นคำตอบเพื่อสภาพแวดล้อมของเราทุกวันนี้จะดีขึ้น “จงมีความรู้สึกนึกคิด  เช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด”  (ฟิลิปปี 2:5)

มานาประจำวัน - ไม่คาดคิดและควบคุมไม่ได้


          แทนที่จะพูดเช่นนั้นท่านทั้งหลายควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ 
และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” –ยากอบ 4:15

ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ เราต้องตระหนักว่าชีวิตนี้มีหลายอย่างที่อาจเรียกว่า “ไม่คาดคิดและ
ควบคุมไม่ได้” ยากอบ 4:13-15 ให้ข้อคิดดีๆ ที่ช่วยเราในยามที่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น “นี่แน่ะ ท่าน
ที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร 
แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้…แทนที่จะพูดเช่นนั้นท่านทั้งหลายควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็น
เจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” ชาวเมืองที่ยากอบเขียนจดหมายไปถึง 
กำลังวางแผนชีวิตของตนเองโดยไม่ให้พระเจ้าทรงมีสิทธิ์มีส่วน

การวางแผนเพื่ออนาคตเป็นเรื่องผิดหรือ? ไม่ใช่ แต่ไม่เป็นการฉลาดเลยถ้าเราลืมไปว่าพระเจ้า
อาจอนุญาตให้เกิดเหตุการณ์ที่ “ไม่คาดคิดและควบคุมไม่ได้” ขึ้น ท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็
เพื่อสวัสดิภาพของเราแม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม เราต้องไว้วางใจในพระเจ้าและแผนการที่พระองค์
เตรียมไว้สำหรับอนาคตของเรา – BC

ฉันรู้ดีหัตถ์พระเจ้าทรงค้ำชู วันข้างหน้าฉันไม่รู้ก็มั่นใจ
เพราะตระหนักพระองค์จูงมือฉันไว้ มิหวั่นไหวเดินไปไร้กังวล
ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในชีวิตฉัน พระองค์นั้นทรงจัดวางไว้แต่ต้น
มิใช่เรื่องบังเอิญที่ต้องผจญ ทรงนำฉันผ่านพ้นโดยพระคุณ – A.Smith


เราอาจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

แต่เราไว้วางใจในพระองค์ผู้ทรงกำหนดอนาคตได้

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2012 พระวรสารนักบุญมาระโก มก 12:28-34

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2012 
พระวรสารนักบุญมาระโก
มก 12:28-34



            เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้ ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใด ๆ ทั้งสิ้น”
   
         พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย


ข้อคิด

            ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์คนหนึ่งได้รับ คือ การสูญเสียความทรงจำ เพราะเซลล์สมองถูกทำลาย จนไม่สามารถจำใครหรือเหตุการณ์รอบตัว แต่เราในฐานะเป็นคริสตชน และได้รับพระพรจากพระเป็นเจ้ามากมาย เราจะลืมพระคุณที่พระองค์ได้มอบให้เราไม่ได้ ทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต เรายังจำพระคัมภีร์ตอนใดบ้าง ที่กล่าวถึงพระพรที่พระเป็นเจ้ามอบให้เรา?





zwani.com myspace graphic comments

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2012 สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง2 ทธ 2:8-15


วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี 
ฉบับที่สอง2 ทธ 2:8-15


            พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตรย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้

ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์
ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์
ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา
ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป
เพราะพระองค์จะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้

จงเตือนพวกเขาเรื่องนี้และจงกำชับพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า อย่าโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำ เพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟัง ท่านจงขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรองท่านแล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใคร เป็นผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง


zwani.com myspace graphic comments

สิ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์


สิ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์

1. วิธีการมีเพศสัมพันธ์ของมนุษย์แตกต่างจากสัตว์

สัตว์มีเพศสัมพันธ์ มนุษย์ก็มีเช่นกัน แต่มนุษย์และสัตว์มีเพศสัมพันธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
23 ชาย​นั้น​จึง​ว่า
"นี่​แหละ กระ​ดูก​จาก​กระ​ดูก​ของ​เรา เนื้อ​จาก​เนื้อ​ของ​เรา
จะ​เรียก​คน​นี้​ว่า​หญิง เพราะ​คน​นี้​ออก​มา​จาก​ชาย" 
24 เพราะ​เหตุ​นั้น​ผู้​ชาย​จะ​ละ​จาก​บิดา​มารดา​ของ​เขา​ไป​ผูก​พัน​อยู่​กับ​ภรรยา และ​เขา​ทั้ง​สอง​จะ​เป็น​เนื้อ​เดียว​กัน 25 ผู้​ชาย​และ​ภรรยา​ของ​เขา​เปลือย​กาย​อยู่​ทั้ง​สอง​คน​และ​ไม่​อาย​กัน (ปฐมกาล 2:24-25 THSV2011)
พระเจ้าสร้างมนุษย์แตกต่างจากสัตว์อย่างสิ้นเชิง พระองค์ประทานกฎเกณฑ์นี้ให้กับมนุษย์เท่านั้น วิธีการมีเพศสัมพันธ์จึงต่างกัน
เพศสัมพันธ์ของมนุษย์เริ่มจากการที่ชายละจากพ่อแม่ ดังนั้นชายต้องเป็น subjective เป็นผู้จีบก่อน คือ ชายยืนหยู่ หญิงเดินมา แล้วเริ่มตกหลุมรัก นี่เป็นสิ่งที่น่ารัก และก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะต้องไปอำลาพ่อแม่
ข้าพเจ้าให้โอวาสงานแต่งงานหลายที่ พ่อแม่เจ้าสาวมักจะแสดงความเศร้าโศกเวลาพาลูกสาวเดินเข้าเรือนหอ แม้พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาเข้าไปทำอะไร แต่ไม่มีใครโกรธ เพราะพวกเขาทำอย่างถูกต้อง เพราะก่อนมีเพศสัมพันธ์มีการลาพ่อลาแม่ แต่ที่มีปัญหาทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีการลาพ่อลาแม่เลย และเพศสัมพันธ์ก็นำมาซึ่งความอับอาย ดังนั้น พวกเราที่เป็นคริสเตียนจะต้องสำแดงให้โลกรู้ว่าคนควรจะเป็นเช่นไร

2. มนุษย์ต้องการความรัก

ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่มีปัญหาครอบครัวนอกจากมนุษย์ ไม่มีสุนัขที่ร่ำไห้เพราะไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ แต่มนุษย์มีปัญหาเหล่านี้มากมาย
และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ฆ่าตัวตายเลย นอกจากมนุษย์ ไม่มีสุนัขโดดให้รถไฟเหยียบ เพราะอกหัก และห้ามไม่ให้ใครยุ่ง พร้อมกล่าวว่า "เรื่องของหมา คนไม่เกี่ยว" แต่หลายครั้งเมื่อมนุษย์สิ้นหวังในชีวิต ต้องการหลุดจากปัญหา ก็เลือกวิธีฆ่าตัวตาย
ดังนั้น ขอที่พี่น้องอย่านิ่งเฉย คนเหล่านี้ต้องการความหวัง รอคอยที่เราจะไปประกาศข่าวประเสริฐ เพราะลึก ๆ คงไม่มีใครอยากตาย แต่พวกเขาไม่มีทางออก พวกเรารู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางออกให้กับพวกเขา ถ้าเราไม่ประกาศ พวกเขาจะมีทางออกได้อย่างไร

3. มนุษย์สามารถฆ่าคนได้ด้วยคำพูด

สุนัขเวลาทำร้ายเพื่อน ไม่สามารถทำร้ายด้วยคำพูด ทำเสียงขู่ แล้วทำให้อีกตัวฆ่าตัวตายได้ แต่มนุษย์ทำได้ คำพูดบางคำทำลายคนได้ชีวิต แต่คำพูดบางอย่างเสริมสร้างคนได้ทั้งชีวิตเช่นกัน
พระเยซูจึงตรัสว่า มนุษย์ต้องรับผิดชอบคำพูดทุกวัน
35 คน​ดี​ก็​เอา​ของ​ดี​มา​จาก​คลัง​แห่ง​ความ​ดี​ใน​ตัว​ของ​เขา คน​ชั่ว​ก็​เอา​ของ​ชั่ว​มา​จาก​คลัง​แห่ง​ความ​ชั่ว​ใน​ตัว​ของ​เขา 
36 ส่วน​เรา​บอก​พวก​ท่าน​ว่า คำ​ที่​ไม่​เป็น​สาระ​ทุก​คำ​ซึ่ง​มนุษย์​พูด​นั้น มนุษย์​จะ​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ถ้อย​คำ​เหล่า​นั้น​ใน​วัน​พิพาก​ษา 
37 เพราะ​ว่า​พวก​ท่าน​จะ​พ้น​ผิด​หรือ​ถูก​ตัดสิน​ลงโทษ ก็​เพราะ​คำ​พูด​ของ​ท่าน (มัทธิว 12:35-37 THSV2011)

4. มนุษย์มีจิตวิญญาณ

สัตว์มีสัญชาตญาณ มนุษย์ก็มีเช่นกัน
สัญชาตญาณคืออะไร? คือการตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิตทันที โดยไม่มีการปิดบัง
ดังเช่นเมื่อข้าพเจ้าจะเอาปากกาวาดหนวดคนคนหนึ่ง เขาก็จะหลบทันที ดังนั้นคนคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ แต่มนุษย์เรามีบางอย่างที่เหนือกว่าสัญชาตญาณ
ถ้าเราถือไม้ท่อนหนึ่งเข้าหาสุนัข สุนัขก็จะมี 3 สัญชาตญาณ
  1. บางพันธุ์ จะวิ่งหนีทันที โดยเฉพาะสุนัขไทย
  2. บางพันธ์ ไม่หนี ถอยหลัง และแยกเขี้ยวใส่ ต่อสู้ พบได้ในพันธุ์ฝรั่ง
  3. บางพันธุ์ กระดิกหางเข้าหา พบได้บ่อยในพันธุ์พุดเดิ้ล
นี่คือสุนัข มันทำตามสัญชาตญาณของมัน แต่คนไม่ใช่
ถ้าคนคนหนึ่ง ถือไม้เข้าหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเหมือนสุนัข บางทีก็วิ่ง บางทีก็สู้ บางทีก็ยอม แล้วแต่ว่าเป็นใคร ถ้าหากเป็นภรรยาก็ต้องยอม
แต่ข้าพเจ้าจะทำอย่างหนึ่ง ซึ่งสุนัขทำไม่ได้ คือข้าพเจ้าสามารถท้าเขาให้ตีได้
มนุษย์มีบางอย่างที่เหนือสัญชาตญาณ เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณจากพระเจ้า
นักปรัชญากรีกจึงบอกว่า มนุษย์มีวิญญาณ และวิญญาณมาจากพระเจ้า
อ. นิกร สิทธิจริยาภร

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 19.จงกลับใจ...ไม่เช่นนั้นจะแย่

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

bluesilvanimcross.gif


19
จงกลับใจ...ไม่เช่นนั้นจะแย

        ประชาชน และแม้กระทั่งกษัตริย์เฮรอด ถือว่าพระเยซูเจ้าเป็นยอห์นผู้ประกอบพิธีล้างที่กลับคืนชีพเพราะพระองค์ทรงมีรูปแบบการเทศน์เหมือนกัน
        พระองค์เริ่มเทศน์ เหมือนที่ยอห์นผู้ปรกอบพิธีล้างเทศน์
        “จงกลับใจ ไม่เช่นนั้นจะแย่”
        คำว่า “กลับใจ” มีการพูดซ้ำไปมา 24 ครั้งในพระวรสาร ซึ่งมีความหมายว่า “เปลี่ยนความคิดเห็น” เปลี่ยนทัศนคติ
        หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง หมายถึง “การผ่านจากบาปไปสู่พระเจ้าแห่งพระหรรษทาน"
       ารกลับใจบ่งบอกพฤติกรรมสองอย่าง  อย่างแรก คือการยอมรับว่าได้ทำผิดและก่อให้เกิดการแปลกแยก อย่างที่สองคือ การกลับมาหาพระเจ้า พระบิดา ด้วยชีวิตทั้งครบ
       ในแต่ละภารกิจของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเรียกและทรงเชิญคนบาปให้กลับใจ เพื่อจุดประสงค์นี้ พระองค์ทรงทำตัวเป็นเพื่อนกับคนบาปและทำอัศจรรย์เพื่อพวกเขา
       การกลับใจจึงเป็นหัวใจของศีลธรรมคริสตชน ซึ่งเรียกร้องให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ดวงใจและน้ำใจ
       พระคริสตเจ้าทรงเชื้อเชิญผู้ฟังให้มีความเด็ดขาดและหนักแน่นในการผ่าน
      • จากความจองหองพองขน ไปสู่การทำตัวต่ำต้อย
      • จากความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ ไปสู่การให้เปล่าๆ
      • จากการล่อลวงของปีศาจ ไปสู่การฟังพระวาจาของพระเจ้า
      • จากความหมกมุ่นยึดติดกับความมั่งคั่ง ไปสู่ความรอดนิรันดรของจิตวิญญาณอมตะ
      • จากความโง่เขลาเบาปัญญาไปสู่ความปรีชาและคุณค่าแท้จริงอันเป็นที่มาของความมั่นคงและความยินดี
        จึงเป็นเรื่องของการดัดแปลงพฤติกรรมชีวิตให้ตรงและดำรงตนอยู่บนเส้นทางแห่งความยุติธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษนิรันดรและไม่มีโอกาสอุทธรณ์ 
        กระนั้นก็ดี การกลับใจทำให้เกิดความลำบากและต้องออกแรงออกกำลัง ดังเช่นการพิชิตได้มาในสิ่งทรงคุณค่า บางครั้ง อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและการทะเลาะในครอบครัว แต่ก็คุ้มค่า
        “วิบัติหากพวกท่านไม่กลับใจ เพื่อหลีกเลี่ยงวิบัติ จงกลับใจตราบใดที่ยังมีเวลา พวกท่านจะได้แน่ใจว่าจะลงเอยดี” •
พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์ 
       เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ 
       ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย 
       คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ  ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิด แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่สมุนไพรและผักทุกชนิด แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่น ๆ 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม  และชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้’
       นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า
        ‘พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบประมาทพวกเราด้วย’ 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิดแก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำลัง แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้วแตะต้องสัมภาระนั้น ‘วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า  จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษ  บรรพบุรุษของท่านฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็สร้าง หลุมฝังศพให้
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย’
       ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกจากที่นั่น บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มแสดงตนเป็นศัตรู ซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่าง ๆ  วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา
การประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ 

       ขณะที่ประชาชนนับพัน ๆ คนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบกัน  พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์ ก่อนว่า ‘จงระวังเชื้อแป้งของบรรดาชาวฟาริสีคือความหน้าซื่อใจคดของเขา ลูกา11: 37-48 52-54 12, 1

การสะสมทรัพย์สมบัติ
       ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า
       ‘พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด’ 
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
       ‘มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน 
       แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า
       ‘จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม’ ลูกา 12: 13-15
 
       พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ‘เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก  เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน”  เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้
แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า “ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด” 
       แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า 
       คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้” ลูกา12: 16-21

       ‘ฝูงแกะน้อย ๆ เอ๋ย อย่ากลัวเลย’ เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่ท่าน

การให้ทาน

       ‘จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันชำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมดสิ้นในสวรรค์ ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและแมลงขมวนไม่ทำลาย  เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ลูกา12: 32-34


การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา
 

       ‘ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอว และจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้  จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ  ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย   ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข  พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน 
       ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย’ ลูกา12: 35-40



       เปโตรทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน’ 
       องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครเล่าเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบ ซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่น ๆ เพื่อปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำหนด  ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังทำดังนี้  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน  แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า “นายจะมาช้า” และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย  นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์
       ‘ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก  แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย 
ลูกา12: 41-48

พระเยซูเจ้าตรัสถึงการรับทรมาน 

       ‘เรามาเพื่อจุดไฟ ในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ  เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ ลูกา12: 49-50

การอ่านเครื่องหมายของกาลเวลา 

       พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า ‘เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก   ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น  เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น  คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า
       ‘ทำไมท่านจึงไม่ตัดสินด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกต้องเล่า 
       ขณะที่ท่านกำลังไปศาลกับคู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันเสียระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก  เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนถึงเศษสตางค์ สุดท้าย’

เหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ

       ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาว
กาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า 
       ‘ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้  มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน  แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ  มิได้  เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน’ ลูกา13: 1-5

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศไร้ผล

       พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า ‘ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ  จึงพูดแก่คนสวนว่า
       “ดูซิ  สามปีแล้ว ที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสียเถิด เสียที่เปล่า ๆ” 
       แต่คนสวนตอบว่า
        “นายครับ ปล่อยมันไว้ปีนี้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น  ใส่ปุ๋ย  ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้”’ ลูกา13: 6-9

พระเยซูเจ้าทรงรักษาสตรีพิการในวันสับบาโต
       ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต  สตรีคนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย  เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า ‘หญิงเอ๋ย เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว’  พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
       แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า
       ‘วันที่ทำงานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย’ 
        องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า
       ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ 
        หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’
        เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว ผู้ต่อต้านทุกคนของพระองค์รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนต่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำ ลูกา13: 10-17

ประตูแคบ ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า  คนต่างศาสนา ได้รับเรียก

       พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม  คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า 
       ‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบ  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ ‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า “พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด”  แล้วท่านก็จะพูดว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา”  แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า” ‘เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อแลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก  จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า ‘ดังนั้น พวกที่เป็นกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก และพวกที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย’ ลูกา13: 22-30

กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
       เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า
       ‘ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี่เถิด เพราะกษัตริย์เฮโรด ต้องการจะฆ่าท่าน’ 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       ‘จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นว่า
เราขับไล่ปีศาจและรักษาโรค วันที่สาม เราจะบรรลุถึงเป้าหมาย  แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะประกาศกจะตายนอกกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้ ลูกา13: 31-33

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคบวมในวันสับบาโต

       วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์  พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า ‘อนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่ 
       แต่คนเหล่านั้นนิ่งเงียบ   พระองค์จึงทรงสัมผัสผู้ป่วย ทรงรักษาเขา แล้วให้กลับไป  พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นอีกว่า ‘ถ้าผู้ใดมีบุตร หรือมีโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ’
       แต่คนเหล่านั้นตอบคำถามนี้ไม่ได้ ลูกา14: 1-6

การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง

       พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับเขาว่า           ‘เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนสำคัญกว่าท่านได้รับเชิญมาด้วย  9เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า “จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด” แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย  10แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า “เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด” แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย  เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’

การเลือกเชิญแขก


       พระองค์ตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า ‘เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขาจะเชิญท่านและท่านจะได้รับการตอบแทน 
       แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย  คนตาบอด  แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมกลับคืนชีวิต ลูกา14: 7-14

ข้ออ้างของแขกรับเชิญ

       ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระองค์ว่า ‘ผู้ที่กินอาหารในพระอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข’ 
       พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญคนเป็นจำนวนมาก  เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า “เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว”  แต่ทุกคนต่างขอตัว คนแรกพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำเป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”  19อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ กำลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”  20อีกคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้”
       ‘ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผู้รับใช้ว่า “จงรีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ  คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด” 
       ผู้รับใช้กลับมาบอกนายว่า “นายขอรับ  ข้าพเจ้ากระทำตามคำสั่งของท่านแล้ว  แต่ยังมีที่ว่างอีก” 
       นายจึงบอกผู้รับใช้ว่า “จงออกไปตามทางเดินและตามรั้ว ต้นไม้  เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อทำให้คนเต็มบ้านของเรา  24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา” ลูกา14: 15-24

การสละทุกสิ่งซึ่งเป็นที่รัก

       ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า  26‘ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่า บิดามารดา  ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้  ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน

การสละทรัพย์สมบัติ


       ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่  มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า  “คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้” 

       หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่  ถ้าไม่ได้  ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ 
       ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้

เกลือจืด


       ‘เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาสิ่งใดมาทำให้เค็มได้เล่า  เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ทั้งสำหรับดินและสำหรับเป็นปุ๋ย มีแต่จะถูกโยนทิ้งเท่านั้น ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด’ ลูกา14: 25-35



จงรู้จักตัวเอง


จงรู้จักตัวเอง  เขียนโดย พระสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์

สิ่งท้าทายสำคัญประการหนึ่งในชีวิต  หากเราต้องการเป็นคนดีจริง  จำเป็นต้องรู้จักตัวเอง  เพราะบ่อยครั้ง  เราสนใจแค่รูปร่าง  บุคลิก  และประสบการณ์ฝ่ายโลกมากกว่าสนใจตัวตนด้านจิตใจ  การเอาใจใส่ชีวิตจริงๆ  เราต้องให้เวลากับตัวเอง  อยู่คนเดียวบ้างเพื่อดูแลชีวิตจิต  ต้องรู้ตัวว่าเรามีชีวิตจิตด้วย
ลักษณะตรีเอกภาพของมนุษยชาติ
เอ็ดการ์ด เคสซ์ เชื่อว่าวัตถุมีลักษณะตรีเอกภาพ กล่าวคือ จิตวิญญาณคือชีวิต  ความคิด  (mind) เป็นผู้สร้าง และร่างกายเป็นผลจิตวิญญาณทำให้เกิด แรงกระตุ้นและพลังสร้างสรรค์ในชีวิตความคิด  ช่วยรวมพลังให้แสดงออกทางสร้างสรรค์ก็ได้  หรือ  ทำลายก็ได้ อำนาจของเจตนาอิสระ แสดงผลออกมาในชีวิตของเรา
จิตพลังสร้างสรรค์  และพระเป็นเจ้า มีความสามารถเสริมศักยภาพแก่ชีวิตแต่อำนาจของความคิดอิสระ เป็นผู้กำหนดพลังจิตในชีวิต และปรากฏผลทางร่างกาย มีผลกระทบต่อเราเอง  และกระทบความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย  วิธีที่เรามุ่งเน้น  ความรู้สึกนึกคิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะทำให้เรามีมิตรภาพยิ่งใหญ่ก็ได้  หรือเป็นปฏิปักษ์ก็ได้  นักบุญเปาโลจึงกล่าวว่า  “จงมีความรู้สึกนึกคิด  เช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด”  (ฟิลิปปี 2:5)  เราเป็นเงาแห่งพลังสร้างสรรค์  เรามีส่วนเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์โลกกับพระเจ้า
ฐานะผู้ร่วมสร้างสรรค์
เราต้องตระหนักว่า  เรามิได้ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ แต่เราเป็นวิญญาณมากกว่า เราเป็นบุตรของพระผู้สร้าง ผู้ทรงกำลังเผยแสดงโลกฝ่ายวัตถุ ในมิติหนึ่ง ร่างกายเป็นเหมือนบ้านของจิตวิญญาณที่กำลังท่องในวัตถุ ร่างกายอนุญาตให้จิตสัมผัสมิติที่จำกัด  และมีพลังน้ำใจอิสระ  ในการเลือก  ในการตัดสิน  และเป็นเหตุและผล
ในฐานะผู้ร่วมสร้างสรรค์ เราต้องจริงจังกับบทบาทในการร่วมสร้างชุมชนรอบตัวเรา  แต่ละคนต้องรับผิดชอบ  มิฉะนั้นเราจะเป็นผู้สร้างปัญหาสังคม  และความยากลำบากให้ตนเอง
เราต้องการสังคมแบบใด  วันนี้เราสามารถเริ่มตอบรับบทบาทชีวิต  ในฐานะผู้ร่วมสร้างสรรค์สังคม  เพราะเรามีส่วนรับผิดชอบต่ออนาคต  และสังคมของเรา
การรู้จักตัวเองโดยอาศัยผู้อื่น
การรู้จักรักเมื่อเห็นใบหน้าของเด็ก  การอยู่กับเพื่อนด้วยความอดทน  การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  ช่วยให้เราตระหนักรู้ข้อบกพร่อง  ความผิดพลาด  ความสามารถ  และพรสวรรค์ของเรา  อาศัยการพบปะกับผู้อื่นช่วยให้รู้ว่าเราจำเป็นต้องทำอะไร  กับใคร  อาศัยผู้อื่นเราจึงเติบโตในสัมพันธภาพกับพระเจ้า  และรู้จักเราเอง
แต่ละคนรอบตัวเรา  เปรียบเสมือนกระจกเงา  บางคนอาจกำลังทำให้เราเครียด  เพราะเรากำลังมองเขา  ดูถูก(ดูผิด) ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวด้วย  ตรงกันข้าม  บางคนที่เราชื่นชอบ  ก็ช่วยเราให้เข้าใจคุณลักษณะที่มีประโยชน์ภายในตนเอง
จงระลึกว่า  “แม้ศัตรูที่แย่สุดของฉัน  ก็มีเพื่อนที่ดีสุดคนหนึ่ง  และแม้เพื่อนที่ดีสุดของฉัน ก็มีบางคนที่ไม่ชอบเขา”  ทำไมหรือ  คำตอบคือ  ความสนใจการรับรู้ของตนเอง
เราต่างยึดเหตุผล บางครั้งเราใส่อารมณ์กับคนอื่น  แต่หากเราต้องการพัฒนาชีวิตจิต  เราต้องมองผู้คนรอบตัวที่ทำให้เราเวียนหัวบ้าง  สนใจคนที่เราชื่นชอบจริงๆบ้าง  หากทำเช่นนี้ได้  เราจึงเริ่มเห็นจุดเด่นและจุดด้อยของตนผ่านทางผู้อื่น  การตระหนักรู้พลังนี้  ช่วยเราให้มีทัศนคติกับทุกคน  แตกต่างไปจากเดิม
กฎข้อแรกคือ  ท่านหว่านอะไร  ก็ได้ผลเช่นนั้น  ดังนั้น  ท่านต้องรักและจริงใจมากยิ่งขึ้นกับคนอื่น  ท่านจะมีมิตรภาพกับคนอื่น  เมื่อได้พบหนทางแล้ว  ท่านจงปฏิบัติต่อพี่น้องของท่าน
“บทบัญญัติที่ข้าพเจ้าสั่งท่านในวันนี้  ไม่ยากเกินไป  หรืออยู่สุดเอื้อมของท่าน  ไม่ได้อยู่สูงบนฟ้าจนต้องถามว่า  “ใครจะขึ้นไปเอาลงมาให้เราฟัง  และปฏิบัติตามได้เล่า”  บทบัญญัติเหล่านี้ไม่ได้อยู่โพ้นทะเล  จนต้องถามว่า  “ใครจะข้ามทะเลไปเอามาให้เราฟัง  และปฏิบัติตามได้เล่า”  พระวาจานี้อยู่ใกล้กับท่านมาก  คืออยู่ในปาก  และในใจของท่าน  เพื่อท่านจะนำไปปฏิบัติได้” (เฉลยธรรมบัญญัติ  30:11-14)

ผู้กลับใจ