07 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 19.จงกลับใจ...ไม่เช่นนั้นจะแย่

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

bluesilvanimcross.gif


19
จงกลับใจ...ไม่เช่นนั้นจะแย

        ประชาชน และแม้กระทั่งกษัตริย์เฮรอด ถือว่าพระเยซูเจ้าเป็นยอห์นผู้ประกอบพิธีล้างที่กลับคืนชีพเพราะพระองค์ทรงมีรูปแบบการเทศน์เหมือนกัน
        พระองค์เริ่มเทศน์ เหมือนที่ยอห์นผู้ปรกอบพิธีล้างเทศน์
        “จงกลับใจ ไม่เช่นนั้นจะแย่”
        คำว่า “กลับใจ” มีการพูดซ้ำไปมา 24 ครั้งในพระวรสาร ซึ่งมีความหมายว่า “เปลี่ยนความคิดเห็น” เปลี่ยนทัศนคติ
        หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง หมายถึง “การผ่านจากบาปไปสู่พระเจ้าแห่งพระหรรษทาน"
       ารกลับใจบ่งบอกพฤติกรรมสองอย่าง  อย่างแรก คือการยอมรับว่าได้ทำผิดและก่อให้เกิดการแปลกแยก อย่างที่สองคือ การกลับมาหาพระเจ้า พระบิดา ด้วยชีวิตทั้งครบ
       ในแต่ละภารกิจของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเรียกและทรงเชิญคนบาปให้กลับใจ เพื่อจุดประสงค์นี้ พระองค์ทรงทำตัวเป็นเพื่อนกับคนบาปและทำอัศจรรย์เพื่อพวกเขา
       การกลับใจจึงเป็นหัวใจของศีลธรรมคริสตชน ซึ่งเรียกร้องให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ดวงใจและน้ำใจ
       พระคริสตเจ้าทรงเชื้อเชิญผู้ฟังให้มีความเด็ดขาดและหนักแน่นในการผ่าน
      • จากความจองหองพองขน ไปสู่การทำตัวต่ำต้อย
      • จากความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ ไปสู่การให้เปล่าๆ
      • จากการล่อลวงของปีศาจ ไปสู่การฟังพระวาจาของพระเจ้า
      • จากความหมกมุ่นยึดติดกับความมั่งคั่ง ไปสู่ความรอดนิรันดรของจิตวิญญาณอมตะ
      • จากความโง่เขลาเบาปัญญาไปสู่ความปรีชาและคุณค่าแท้จริงอันเป็นที่มาของความมั่นคงและความยินดี
        จึงเป็นเรื่องของการดัดแปลงพฤติกรรมชีวิตให้ตรงและดำรงตนอยู่บนเส้นทางแห่งความยุติธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษนิรันดรและไม่มีโอกาสอุทธรณ์ 
        กระนั้นก็ดี การกลับใจทำให้เกิดความลำบากและต้องออกแรงออกกำลัง ดังเช่นการพิชิตได้มาในสิ่งทรงคุณค่า บางครั้ง อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและการทะเลาะในครอบครัว แต่ก็คุ้มค่า
        “วิบัติหากพวกท่านไม่กลับใจ เพื่อหลีกเลี่ยงวิบัติ จงกลับใจตราบใดที่ยังมีเวลา พวกท่านจะได้แน่ใจว่าจะลงเอยดี” •
พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์ 
       เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ 
       ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย 
       คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ  ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิด แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่สมุนไพรและผักทุกชนิด แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่น ๆ 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม  และชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ 
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้’
       นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า
        ‘พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบประมาทพวกเราด้วย’ 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
        ‘ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิดแก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำลัง แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้วแตะต้องสัมภาระนั้น ‘วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า  จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษ  บรรพบุรุษของท่านฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็สร้าง หลุมฝังศพให้
       วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย’
       ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกจากที่นั่น บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มแสดงตนเป็นศัตรู ซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่าง ๆ  วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา
การประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ 

       ขณะที่ประชาชนนับพัน ๆ คนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบกัน  พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์ ก่อนว่า ‘จงระวังเชื้อแป้งของบรรดาชาวฟาริสีคือความหน้าซื่อใจคดของเขา ลูกา11: 37-48 52-54 12, 1

การสะสมทรัพย์สมบัติ
       ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า
       ‘พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด’ 
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
       ‘มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน 
       แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า
       ‘จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม’ ลูกา 12: 13-15
 
       พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ‘เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก  เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน”  เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้
แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า “ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด” 
       แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า 
       คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้” ลูกา12: 16-21

       ‘ฝูงแกะน้อย ๆ เอ๋ย อย่ากลัวเลย’ เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่ท่าน

การให้ทาน

       ‘จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันชำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมดสิ้นในสวรรค์ ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและแมลงขมวนไม่ทำลาย  เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ลูกา12: 32-34


การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา
 

       ‘ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอว และจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้  จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ  ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย   ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข  พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน 
       ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย’ ลูกา12: 35-40



       เปโตรทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน’ 
       องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครเล่าเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบ ซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่น ๆ เพื่อปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำหนด  ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังทำดังนี้  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน  แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า “นายจะมาช้า” และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย  นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์
       ‘ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก  แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย 
ลูกา12: 41-48

พระเยซูเจ้าตรัสถึงการรับทรมาน 

       ‘เรามาเพื่อจุดไฟ ในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ  เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ ลูกา12: 49-50

การอ่านเครื่องหมายของกาลเวลา 

       พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า ‘เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก   ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น  เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น  คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า
       ‘ทำไมท่านจึงไม่ตัดสินด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกต้องเล่า 
       ขณะที่ท่านกำลังไปศาลกับคู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันเสียระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก  เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนถึงเศษสตางค์ สุดท้าย’

เหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ

       ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาว
กาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า 
       ‘ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้  มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน  แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ  มิได้  เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน’ ลูกา13: 1-5

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศไร้ผล

       พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า ‘ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ  จึงพูดแก่คนสวนว่า
       “ดูซิ  สามปีแล้ว ที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสียเถิด เสียที่เปล่า ๆ” 
       แต่คนสวนตอบว่า
        “นายครับ ปล่อยมันไว้ปีนี้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น  ใส่ปุ๋ย  ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้”’ ลูกา13: 6-9

พระเยซูเจ้าทรงรักษาสตรีพิการในวันสับบาโต
       ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต  สตรีคนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย  เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า ‘หญิงเอ๋ย เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว’  พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
       แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า
       ‘วันที่ทำงานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย’ 
        องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า
       ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ 
        หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’
        เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว ผู้ต่อต้านทุกคนของพระองค์รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนต่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำ ลูกา13: 10-17

ประตูแคบ ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า  คนต่างศาสนา ได้รับเรียก

       พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม  คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า 
       ‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบ  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ ‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า “พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด”  แล้วท่านก็จะพูดว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา”  แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า” ‘เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อแลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก  จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า ‘ดังนั้น พวกที่เป็นกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก และพวกที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย’ ลูกา13: 22-30

กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
       เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า
       ‘ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี่เถิด เพราะกษัตริย์เฮโรด ต้องการจะฆ่าท่าน’ 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       ‘จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นว่า
เราขับไล่ปีศาจและรักษาโรค วันที่สาม เราจะบรรลุถึงเป้าหมาย  แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะประกาศกจะตายนอกกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้ ลูกา13: 31-33

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคบวมในวันสับบาโต

       วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์  พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า ‘อนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่ 
       แต่คนเหล่านั้นนิ่งเงียบ   พระองค์จึงทรงสัมผัสผู้ป่วย ทรงรักษาเขา แล้วให้กลับไป  พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นอีกว่า ‘ถ้าผู้ใดมีบุตร หรือมีโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ’
       แต่คนเหล่านั้นตอบคำถามนี้ไม่ได้ ลูกา14: 1-6

การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง

       พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับเขาว่า           ‘เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนสำคัญกว่าท่านได้รับเชิญมาด้วย  9เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า “จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด” แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย  10แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า “เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด” แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย  เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’

การเลือกเชิญแขก


       พระองค์ตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า ‘เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขาจะเชิญท่านและท่านจะได้รับการตอบแทน 
       แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย  คนตาบอด  แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมกลับคืนชีวิต ลูกา14: 7-14

ข้ออ้างของแขกรับเชิญ

       ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระองค์ว่า ‘ผู้ที่กินอาหารในพระอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข’ 
       พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญคนเป็นจำนวนมาก  เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า “เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว”  แต่ทุกคนต่างขอตัว คนแรกพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำเป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”  19อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ กำลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”  20อีกคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้”
       ‘ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผู้รับใช้ว่า “จงรีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ  คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด” 
       ผู้รับใช้กลับมาบอกนายว่า “นายขอรับ  ข้าพเจ้ากระทำตามคำสั่งของท่านแล้ว  แต่ยังมีที่ว่างอีก” 
       นายจึงบอกผู้รับใช้ว่า “จงออกไปตามทางเดินและตามรั้ว ต้นไม้  เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อทำให้คนเต็มบ้านของเรา  24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา” ลูกา14: 15-24

การสละทุกสิ่งซึ่งเป็นที่รัก

       ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า  26‘ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่า บิดามารดา  ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้  ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน

การสละทรัพย์สมบัติ


       ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่  มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า  “คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้” 

       หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่  ถ้าไม่ได้  ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ 
       ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้

เกลือจืด


       ‘เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาสิ่งใดมาทำให้เค็มได้เล่า  เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ทั้งสำหรับดินและสำหรับเป็นปุ๋ย มีแต่จะถูกโยนทิ้งเท่านั้น ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด’ ลูกา14: 25-35



ผู้กลับใจ