30 สิงหาคม 2555
18 สิงหาคม 2555
พระวาจาประจำวัน มธ 19:13-15
ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็ก ๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อ
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของ
ข้อรำพึงประจำวัน ~ วันที่ 18 สิงหาคม 2012 ~ เสาร์สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
ข้อรำพึงประจำวันโดย Fr.Chavalit Kitcharoen
มีบางคนได้ชี้ให้เห็นคุณสมบัติที่ดีของเด็กๆ คือ
1.เด็กพูดความจริงเสมอ เด็กจะไม่รู้จักการพูดเท็จ
2.เด็กมีอุปนิสัยราบเรียบ เด็กจึงไม่รู้จักการเสแสร้ง
3.เด็กไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เด็กจึงไม่ทำอะไรแบบมีเงื่อนงำ
4.เด็กมีความไว้วางใจ เด็กจึงไม่ใช่คนขี้สงสัยหรือระแวง
5.เด็กมีใจรักคนอื่นและเป็นคนน่ารัก เด็กจึงไม่เคยข่มขู่คนอื่น
เด็กจึงต้องการความมั่นใจว่ามีคน รักเขาจริง ต้องการการสัมผัสด้วยความรักจาก ผู้ใหญ่ ต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่น เพราะฉะนั้น “ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และเก็บไว้ในใจ จึงไม่สามารถสื่อไปถึงหัวใจของล ูกๆได้ เปรียบเหมือนกับจดหมายที่เขียนแ ล้ว ต้องถูกส่งไปยังผู้รับ เด็กจึงต้องการคำพูดที่สร้างสรร ค์:พ่อ-แม่รักลูกนะ พ่อ-แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อ-แม่ดีใจที่ลูกอยู่บ้าน เสียงที่อ่อนหวาน ดวงตาที่หวังดีและห่วงใย และคำพูดที่ไพเราะหู จึงจะสามารถสื่อความรักไปยังเด็ กได้” (Jane Lindstor,These Times:October 1976)
พระเยซูเจ้าทรงรักเด็กๆมาก ตอนที่มีผู้นำเด็กเล็กๆมาให้พระ องค์อวยพร แต่บรรดาสุนุศิษย์กลับดุว่าคนเห ล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที ่เหมือนเด็กเหล่านี้” (มธ19:14) ต่อจากนั้นพระองค์ได้ปกพระหัตถ์ อวยพรเด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น...ขอใ ห้ท่านถามตัวเองว่า “ท่านได้แสดงความรักและความอบอุ ่นต่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด เป็นต้นต่อเด็กเล็กๆ?”
วัดราชินีแห่งสันติสุข
รำพึงพระวาจาประจำวัน(บทอ่านที่1) โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร
มีบางคนได้ชี้ให้เห็นคุณสมบัติที่ดีของเด็กๆ คือ
1.เด็กพูดความจริงเสมอ เด็กจะไม่รู้จักการพูดเท็จ
2.เด็กมีอุปนิสัยราบเรียบ เด็กจึงไม่รู้จักการเสแสร้ง
3.เด็กไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เด็กจึงไม่ทำอะไรแบบมีเงื่อนงำ
4.เด็กมีความไว้วางใจ เด็กจึงไม่ใช่คนขี้สงสัยหรือระแวง
5.เด็กมีใจรักคนอื่นและเป็นคนน่ารัก เด็กจึงไม่เคยข่มขู่คนอื่น
เด็กจึงต้องการความมั่นใจว่ามีคน
พระเยซูเจ้าทรงรักเด็กๆมาก ตอนที่มีผู้นำเด็กเล็กๆมาให้พระ
วัดราชินีแห่งสันติสุข
รำพึงพระวาจาประจำวัน(บทอ่านที่1) โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร
17 สิงหาคม 2555
10 เหตุผลที่เชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย
10 เหตุผลที่เชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย
1.พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ต่อหน้า...ฝูงชน
ใน ระหว่างเทศกาลปัสกาของชาวยิว ฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นให้ลุกฮือขึ้น ได้จับกุมพระเยซูไปมอบให้ปิลาตเจ้าเมืองชาวโรม โดยกล่าวหาว่า พระเยซูได้อ้างตนเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ประชาชนได้ขอให้ตรึงพระองค์เสียที่กางเขน พระเยซูทรงถูกโบยตีอย่างทารุณ และนำไปประหารต่อหน้าฝูงชนบนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมนักโทษ 2 คน ท่ามกลางมิตรที่รักและศัตรูที่เยาะเย้ย พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถเนื่องจากวันสะบาโตได้ ใกล้เข้ามา ทหารโรมันจึงต้องเร่งการประหารนักโทษให้เร็วขึ้นโดยการทุบขาให้หัก แต่เมื่อมาถึงพระเยซูก็พบว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจทหารจึงใช้หอกแทงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์จะเพียงแค่หมดสติไป
หมายเหตุ - พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในบ่ายวันศุกร์ - วันสะบาโต(วันหยุดพักผ่อน)ของชาวยิวเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์เรื่อยไปจนถึงเย็นวันเสาร์
2.อุโมงค์ฝังศพถูกประทับตรา...ห้ามเข้า
วัน รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสะบาโต ผู้นำยิวได้มาหาปีลาตกล่าวว่า พระเยซูเคยบอกพวกสาวกว่า “พระองค์จะสิ้นพระชนม์และจะทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม” ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการขโมยพระศพเพื่อนำไปสร้างหลักฐานเท็จ จึงขอให้ปีลาตสั่งเจ้าหน้าที่ประทับตรา “ห้ามเข้าเด็ดขาด”หน้าอุโมงค์ฝังศพ พร้อมส่งทหารยามหมู่หนึ่งไปเฝ้าหน้าอุโมงค์อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถเข้าไปได้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนหรือมีการหลับยามต้องมีโทษถึงตาย
3.อุโมงค์...ว่างเปล่า
ใน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันสะบาโต(วันอาทิตย์)ได้มีสาวกบางคนรุดไปที่อุโมงค์ เพื่อจะชโลมพระศพ เมื่อไปถึงพวกเขาต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหินก้อนใหญ่ซึ่งใช้ปิดทางเข้าอุโมงค์ ได้ถูกเปิดออก อุโมงค์กลับว่างเปล่า พระศพของพระเยซูได้หายไป พบเพียงแต่ผ้าพันพระศพวางพับอยู่เท่านั้น ส่วนทหารยามได้วิ่งเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อแจ้งให้ผู้นำยิวทราบว่า “มีทูตสวรรค์มาปรากฎและได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ออกและพวกเขาได้สลบ ไป เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าอุโมงค์ได้ว่างเปล่าและพระศพของพระเยซูได้หายไปเสีย แล้ว” ผู้นำยิวจึงได้จ่ายเงินค่าปิดปากเป็นจำนวนมากเพื่อให้โกหกว่า พวกสาวกได้มาขโมยพระศพไปในขณะที่พวกทหารหลับอยู่ ผู้นำยิวยังได้ยืนยันว่าถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้รู้ถึงหูปีลาตเจ้าเมือง พวกเขาจะช่วยพูดปกป้องให้
หมายเหตุ - พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สามคือวันอาทิตย์
4.พยานบุคคลจำนวนมาก...ยืนยัน
ประมาณ คศ. 55 อัครทูตเปาโลได้บันทึกว่าพระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ โดยได้ปรากฎตัวให้อัครทูต และสาวกกว่า 500 คนเห็นตลอดระหว่าง 40 วัน ต่างวาระและต่างสถานที่กัน ขณะที่ท่านได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ หลายคนที่ท่านได้กล่าวอ้างถึงนั้นยังมีชีวิตอยู่ (1 โครินธ์ 15:5-8) และที่สำคัญโดยการกล่าวอ้างอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้นำยิวที่คอยจ้องจับผิดสามารถตรวจสอบและโต้แย้งข้อ เท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ หากการฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องโกหก สาวกของพระเยซูก็คงไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้
5.ชีวิตของสาวก...เปลี่ยนไป
ใน คืนที่พระเยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้กล่าวอย่างแข็งขันว่าพร้อมจะตายกับพระเยซู ก็ยังกลัวจนตัวสั่นและปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักพระองค์ถึงสามครั้ง แต่ภายหลังจากประสบการณ์ที่ได้เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของตนเองว่า พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ชีวิตของเหล่าสาวกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากคนที่เคยขลาดกลัวกลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญ ไม่หวั่นต่อคำขู่หรือความตาย จิตใจแกร่งเหมือนเหล็กและกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละ ทุกสิ่งเพื่อผู้ที่พวกเขาเรียกว่าองค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกจำคุก โดยเฆี่ยนตี และห้ามไม่ให้กล่าวอ้างถึงพระนามของพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบกลับผู้นำยิวอย่างไม่กลัวเกรงว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)
ประวัติ ศาสตร์เต็มไปด้วยชายหญิงนับไม่ถ้วนที่ได้ยอมตายเพื่อความเชื่อของตน ซึ่งรวมถึงเหล่าสาวกที่ได้เห็นพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายด้วย คงไม่มีใครยอมตายเพื่อคำหลอกลวงหรือเรื่องเท็จที่ตนเองได้ปั้นแต่งขึ้น พวกเขายินดีที่จะถูกฆ่าตายเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ไม่เพียงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของพวกเขา แต่ว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตายเพื่อแสดงว่าผู้เชื่อทุกคนจะมี ชีวิตนิรันดร์ด้วยกันกับพระองค์
หมายเหตุ - ชีวิตนิรันดร์คือการที่ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ในสวรรค์
7.คริสเตียนชาวยิวเปลี่ยน..วันนมัสการ
วัน สะบาโตถือเป็นวันสำคัญมากในวิถีชีวิตของชาวยิว เพราะเป็นวันที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มีการพักผ่อนหยุดพักจากการงานและนมัสการ ยิวคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามวันสะบาโตจะมีความผิดต่อบัญญัติของโมเสสส แต่ชาวยิวผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ได้เริ่มนมัสการพระเจ้าในวันอื่นแทน คือวันอาทิตย์ วันซึ่งพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแทนวันสะบาโต(วัน เสาร์) สำหรับชาวยิวแล้ว นั่นเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นการประกาศว่า พวกเขาเชื่อว่าความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้เปิดทางสู่ความ สัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า วิถีทางใหม่นี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนธรรมบัญญัติ แต่ตั้งอยู่บนการยกโทษบาปและการประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์
8.เหตุการณ์เหล่านี้...ทำนายล่วงหน้าไว้แล้ว
นาน นับพันปีที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับชนชาติยิวว่าจะส่งพระเมสสิยาห์(พระผู้ช่วย ให้รอด) มาช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ยาก การถูกกดขึ่ข่มเหง พวกเขาเข้าใจว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาทรงตั้งอาณาจักรอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าพระเมสสิยาห์ที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงมากมายหลาย ครั้งจะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของความบาปซึ่งเป็นเรื่อง ของความรอดฝ่ายจิตวิญญาณ (อิสยาห์ 53:10) นอกจากนี้พระเยซูยังได้ทรงตรัสหลายครั้งกับสาวกเป็นการล่วงหน้าว่า จำเป็นที่พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มและจะถูกจับตรึงกางเขนสิ้นพระ ชนม์ และในวันที่สามพระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย
9.แพ้แต่..ชนะ
ดู เหมือนเป็นการพ่ายแพ้ และเป็นการปิดฉากชีวิตของชายที่ชื่อว่า เยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้ได้เริ่มต้นการอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อตลอดสามปี โดยเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น ผู้รักษาคนเจ็บป่วย เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้ รักษาคนง่อย ขับผี ห้ามลมพายุให้สงบ ผู้เดินบนน้ำทะเล และเรียกคนตายให้ฟื้น พระองค์ทรงตั้งคำถามที่คนฉลาดที่สุดก็ยังตอบไม่ได้ พระองค์ทรงสอนความจริงที่ลึกซึ้งด้วยการเปรียบเทียบที่ง่ายๆ พระองค์เผชิญหน้าคนหน้าซื่อใจคดด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาและเปิดเผยใจที่คดงอ ของเขา ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริง เราคงจะแปลกใจว่าพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะทรงถูกจับและตรึงไว้บนกางเขน และถูกฝูงชนเยาะเย้ยส่อเสียดว่า “ช่วยคนอื่นได้แต่จะช่วยตนเองได้หรือ?” การอัศจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ? นี่ดูเหมือนเป็นการพ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง การพ่ายแพ้นี้กลับเป็นชัยชนะที่ศัตรูของพระองค์ คือมารซาตานคาดไม่ถึง เพราะด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน มนุษย์สิ้นทั้งโลกที่ต้องตายเพราะความบาปผิดของตน จึงได้รับการไถ่โทษ และการฟื้นขึ้นจากความตายก็ยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์จึงไม่ต้องพินาศเพราะบาปอีกต่อไป แต่จะมีชีวิตใหม่เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย
10.ประสบการณ์ของ...ผู้เชื่อ
หาก ความเชื่อของคริสเตียนเป็นเพียงการเรียนรู้จากการรับฟังเรื่องราวของผู้อื่น หรือจากตำราหนังสือเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวคงยากที่จะกลายเป็นความเชื่อที่มั่นคงและหยั่งรากลึกใน ชีวิตคริสเตียนได้ ผู้เชื่อรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้เกิดมาและได้ตายจากไป แต่ความเชื่อของคริสเตียนแต่ละรุ่นยังมั่นคงสืบทอดกันมานับร้อยนับพันปี เพราะองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่เราเชื่อนั้นยังทรงพระชนม์อยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ ดังนั้นผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัยจึงสามารถมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูได้ในชีวิต ส่วนตัวของเขา และทุกคนต่างยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้ว ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และยังทรงพระชนม์อยู่ทุกวันนี้
ไม่ใช่คุณคนเดียว
หาก คุณพิจารณาเห็นว่า การฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ขอให้ใคร่ครวญพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อใช้หนี้บาปของเรา และผู้ที่เชื่อในใจและได้รับด้วยปากของเขาว่าพระเจ้าได้ทรงทำให้พระองค์ฟื้น ขึ้นจากความตายผู้นั้นก็จะรอด” (โรม 10:9-10)
ความ รอดจากบาปซึ่งพระเยซูคริสต์มอบให้นั้นไม่ใช่เป็นรางวัลของความพยายามทำความ ดี แต่เป็นของขวัญที่ให้แก่ผู้ที่ได้วางใจในพระองค์เนื่องจากหลักฐานเหล่านี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)