17 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 11 ในนามของเบเอลเซบูล

bluesilvanimcross.gif



11
ในนามของเบเอลเซบูล
        ประวัติของพระเยซูเจ้าสานทอขึ้นมาด้วยอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า
        แต่ผู้เป็นอริของพระเยซูเจ้าไม่คิดเช่นนั้น พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ทรงถูกผีสิงและทำอัศจรรย์ทุกอย่างได้ด้วยนามของเบเอลเซบูลผู้เป็นหัวหน้าปีศาจ
        เบเอลเซบูลเป็นพระเท็จเทียมของชาวฟิลิสติน ชาวยิวดูถูกพระเยซูเจ้าด้วยการพูดว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกับปีศาจ
        แต่ปีศาจมีจริงหรือไม่?
        พระเยซูเจ้าทรงกระชากหน้ากากปีศาจ พวกมันต่อต้านพระองค์ด้วยพลังอำนาจ บ่อยครั้ง พวกมันเผยเป้าหมายของการมาของพระองค์ในท่ามกลางมนุษย์และกิจการแห่งไถ่กู้มนุษย์ให้เป็นอิสระจากปีศาจซึ่งเป็นหัวหน้าแห่งจิตชั่วและมีชื่อว่า “ซาตาน” กล่าวคือ “ผู้กล่าวหา” “ฝ่ายต่อต้าน” ศัตรูที่โเหี้ยมหดและไม่ยอมพ่ายแพ้ของพระเจ้าและของมนุษย์ ของสิ่งสร้างทุกอย่าง ซึ่งปีศาจอยากจะได้มาเป็นของตน แย่งชิงจากพระเจ้า  ปีศาจจึงมีความหมายว่า “ผู้ที่แบ่งแยก”
        เมื่อทำการค้นคว้าให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความชั่ว เกี่ยวกับสถานการณ์ที่ปลดปล่อยปีศาจออกมา เราจะพบว่าในจักรวารมีอำนาจมืดอยู่ทั่วไป  ซึ่งสามารถชักนำมนุษย์ให้ทำสิ่งเลวร้ายและบ่อนทำลาย ที่เหตุผลมนุษย์คิดไม่ถึงและอธิบายไม่ได้

        มนุษย์ที่เป็นเหยื่อของปีศาจสามารถกลายเป็นสัตว์ร้าย มีแต่พระเจ้าผู้เดียวสามารถช่วยปลดปล่อยได้ “โปรดปลดปล่อยเราจากความชั่วร้าย” นี่คือคำภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราสวด พระองค์พิสูจน์ว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าด้วยการขับไล่ซาตาน
        คนสมัยของพระเยซูเจ้า เมื่อได้ยินคำยืนยันของพระองค์เกี่ยวกับที่มาของพระองค์และพระบุคลิกของพระองค์ ต่างก็รบเร้าให้พระองค์แสดงเครื่องหมายหรือทำอัศจรรย์เพื่อเป็นการพิสูจน์  เหมือนกับบอกว่า “จงพิสูจน์ตนเอง”
        พระเยซูเจ้าไม่ลังเลที่จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นด้วยการทำอัศจรรย์มากมาย เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรับรองในตัวพระเยซูเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงเทศน์สอน
        อัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำนั้นมีมากมาย ซึ่งมีการเล่าขานต่อมาด้วยความสัตย์ซื่อโดยผู้นิพนธ์พระวรสารและประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์   กระทั่งใครที่รับรู้อัศจรรย์เหล่านี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือพระหัตถ์ของพระเจ้า”

พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล

          22ครั้งหนึ่ง มีผู้นำคนตาบอดเป็นใบ้และถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น  23ประชาชนทุกคนต่างประหลาดใจพูดว่า "คนนี้ เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดใช่ไหม"
          24เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดว่า "คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง"
       25พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า "อาณาจักรใดแตกแยกกันเองย่อมพินาศ เมืองใดหรือครอบครัวใดแตกแยกกันเองย่อมจะตั้งอยู่ไม่ได้26ถ้าซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกันเอง แล้วอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ได้อย่างไร  27ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่าน ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของใครเล่า เพราะฉะนั้น พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินท่าน  28แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว"
       29"ผู้ใดจะเข้าไปในบ้านของผู้เข้มแข็งและปล้นทรัพย์สินของเขาได้ ถ้าไม่มัดผู้เข้มแข็งไว้ก่อน เมื่อทำเช่นนี้แล้วเท่านั้น เขาจึงจะปล้นบ้านนั้นได้
       30"ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ผู้ใดไม่รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ไว้กับเรา ย่อมทำสิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป
    31ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าด้วย แต่คำดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย  32ใครที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่กล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า"(มธ 12: 22-32)
คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ 

     33"ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ผลย่อมไม่ดีด้วย ท่านจะรู้จักต้นไม้จากผลของมัน  34เจ้าสัญชาติงูร้ายเอ๋ย เจ้าจะพูดดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเป็นคนเลว ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ
       35คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อม
นำสิ่งเลวออกจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน
       36เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำ ที่เขาเคยพูด  37เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน" (มธ 12: 33-37)

เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์ 
       38เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า "พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่ง จากท่าน  39พระองค์ทรงตอบว่า "คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ ต้องการเห็นเครื่องหมายนี้รึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น  40โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
       41ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจ เมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก
       42ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก (มธ12: 38-42)

ปีศาจกลับมาอีก

        43"เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ         44มันจึงพูดว่า "ข้าจะกลับไปยังบ้านของข้าที่ข้าจากมา" เมื่อกลับมาถึงมันพบว่าบ้านนั้นว่าง ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย  45มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่ามัน เข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม คนชั่วร้ายของยุคนี้จะเป็นเช่นนี้" (มธ12: 43-45)

พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ 
 
      35เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า "เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด"  36บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่น ๆ ติดตามไปด้วย
       37ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว  38พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ  บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า "พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้วหรือ"
       39พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า "เงียบซิ  จงสงบลงเถิด" ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง  40แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า  "ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ"
       41เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า  "ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้" (มก4: 35-41)


ชาวเกราซาที่ถูกปีศาจสิง 

       5
1พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา  2ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้ามาเฝ้าพระองค์ทันที  3ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพ ไม่มีใครล่ามเขาไว้ได้ แม้จะใช้โซ่ล่ามก็ตาม  4มีผู้ใช้โซ่ตรวนล่ามเขาหลายครั้ง เขาก็หักโซ่ตรวน ไม่มีใครทำให้เขาสยบได้ 5เขาอยู่ตามหลุมศพและตามภูเขาตลอดวันตลอดคืน ส่งเสียงร้องเอ็ดอึงและใช้หินทุบตีตนเอง
6เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์   7ร้องเสียงดังว่า "ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามของพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย"  8
        ทั้งนี้เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า "เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผู้นี้"
        9แล้วพระองค์ทรงถามว่า "เจ้าชื่ออะไร" มันตอบว่า "ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำนวนมาก"
        10และมันพร่ำวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้น  11หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น  12พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า "ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด"
       13พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมน้ำตายทั้งหมด
       14คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  15เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคนที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว
       16ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟัง
       17ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา
       18เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วย  19แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า "จงกลับบ้าน ไปหาญาติพี่น้องของท่าน เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำและแสดงพระเมตตาต่อท่าน"
       20ชายนั้นจากไป เริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำต่อตน ทุกคนที่ได้ฟังต่างประหลาดใจ (มก5: 1-20)
    21"ท่านได้ยินคำกล่าว แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล   
       22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า  "ไอ้โง่" ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า "ไอ้โง่บัดซบ" ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก  23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว
       24"จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น
       25จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย27 "ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี  28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว  29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก
       30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก
       31"มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยาก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง
       32 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย
       33"ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบานแต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า  (มธ5: 21-34)

       35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ "อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์
       36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้
       37ท่านจงกล่าวเพียงว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ
       38"ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า"ตาต่อตาฟันต่อฟัน"  39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
       40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย 41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด
       42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน
       43ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู  (มธ 5: 35-43)






นักบุญยอห์น ที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี ระลึกถึงวันที่ 18 พฤษภาคม


นักบุญยอห์น ที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี
ระลึกถึงวันที่ 18 พฤษภาคม
พระสันตะปาปาองค์แรกในจำนวน 23 องค์ ที่ได้ทรงใช้ชื่อ “ยอห์น” นั้น เป็นองค์ที่ให้รูปแบบที่เด่นมากองค์หนึ่ง พระองค์มีเชื้อสายเป็นชาวทอสกานา เป็นพระสังฆราชตัวอย่างของกรุงโรมซึ่งพระองค์ได้ทรงรับเลือกใน ปี 523
พระองค์ได้ทรงอุทิศชีวิตเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสันติภาพในพระศาสนจักรและในบ้านเมือง แต่เนื่องจากว่าพระองค์ไม่มีกำลังสนับสนุนของทางฝ่ายบ้านเมืองอยู่เลย ดังนั้นเมื่องานของพระองค์ในฐานะที่เป็นคนกลางระหว่างจักรพรรดิยุสตินของทางฝ่ายตะวันออก และกษัตริย์เทโอโดริโก ซึ่งเป็นผู้ฝักใฝ่ในลัทธิของอาริอุส พระภารกิจของพระองค์จึงต้องล้มหรืออับปางลงอย่างน่าสงสาร กษัตริย์เทโอโดริโก ได้หันเข้าเล่นงานพระองค์ หลังจากที่พระองค์ต้องทนความขมขื่นและความไม่เข้าใจจากหลายๆ ฝ่ายพระองค์จึงต้องจบชีวิตของพระองค์ลงอย่างน่าสงสาร ในคุกแห่งหนึ่งของเมืองราแวนนา เพราะอดอยากไม่มีอะไรรับประทาน
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. ขอให้บูชามิสซาและศีลมหาสนิทจงเป็นพลังที่จะทำให้คืนดีกันในโลก
2. ในวันนี้เอง ขอให้เราได้คืนดีกับคนที่ไม่ถูกกับเรา
3. ขอให้เราได้เรียนรู้ที่จะสร้างสันติภาพในระหว่างกลุ่มคนที่แตกแยกกันหรือที่กำลังต่อสู้กัน
4. ขอให้ผู้ที่ทำงานเพื่อสันติภาพอย่าได้ถูกทำร้ายหรืออาฆาตจองเวรจากฝ่ายที่กำลังต่อสู้กัน 

17 พฤษภาคม 2555 พระวรสาร ยน 16:16-20 พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า


 zwani.com myspace graphic comments 


17 พฤษภาคม 2555
พระวรสาร ยน 16:16-20 พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า 
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า 16อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก 17ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า 'ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า "อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก" หมายความว่าอะไร?' และที่พระองค์ตรัสว่า "เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา" หมายความว่าอะไร?' 18เขาพูดกันอีกว่า ที่พระองค์ตรัสว่า "อีกไม่นาน" นั้นหมายความว่าอะไร?' เราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไร'
19พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า 'ท่านกำลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เรากล่าว  ว่า "อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก" 20'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี


ข้อคิด
        เปาโลซึ่งเป็นฟาริสีที่เคร่งและมีความรอบรู้ในพระคัมภีร์เป็นอย่างดี เมื่อได้พบกับพระเยซูเจ้าในแสงสว่างเจิดจ้าขณะที่กำลังจะเดินทางเข้าเมืองดามัสกัสแล้ว ทำให้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งว่าคนที่ชื่อเยซูนั้นแท้จริงแล้วเป็นใคร ท่านจึงมั่นใจอย่างที่สุดในองค์พระคริสตเจ้า ท่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวยิวและชาวกรีกเข้าใจตามที่ท่านเข้าใจ แต่พวกเขายังยึดมั่นในความคิดเดิม บางครั้งการยึดมั่นในความรู้ ความเชื่อ ทฤษฎีเดิมซึ่งไม่ถูกต้องก็ทำให้เสียโอกาสที่จะพบความจริง



4thirsty_thursday.gif

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2012 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 18:1-8






  4thursday18.gif  

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 18:1-8

หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ เขาพบชาวยิวคนหนึ่ง ชื่ออาควิลา ชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระจักรพรรดิคลาวดิอัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจากกรุงโรม เปาโลไปพบเขาทั้งสองคนพักอยู่และทำงานร่วมกัน เพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างทำกระโจม ทุกวันสับบาโตเปาโลถกเถียงในศาลาธรรม พยายามชักชวนชาวยิวและชาวกรีกให้มีความเชื่อ

เมื่อสิลาสและทิโมธีกลับมาจากแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เปาโลอุทิศตนเต็มที่ในการประกาศพระวาจา เป็นพยานยืนยันแก่ชาวยิวว่า พระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า แต่เมื่อชาวยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้าเป็นการตอบโต้ พูดกับเขาว่า “ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่านข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบแล้วตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา”

เปาโลออกจากศาลาธรรมไปยังบ้านของทิธีอัส ยุสตัส ผู้เลื่อมใสในพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับศาลาธรรม คริสปัสหัวหน้าศาลาธรรมและทุกคนในครอบครัวมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชาวโครินธ์หลายคนที่ฟังเปาโล ก็มีความเชื่อและรับศีลล้างบาป ด้วย

4thursday12.gif

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 10. ความเชื่อได้ช่วยท่านแล้ว

3453.gif

10
ความเชื่อได้ช่วยท่านแล้ว


        บ่อยครั้ง พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า ความรอดของมนุษย์มาจากความเชื่อ พระองค์ตรัสกับคนที่ได้รับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บว่า “ความเชื่อช่วยท่านแล้ว”
       ทว่า ความเชื่อนี้คืออะไร?
       ความเชื่อแง่ศาสนาเป็นกิจกรรมของสติปัญญาที่น้อมรับความจริง ซึ่งได้รับการเผยจากประจักษ์พยานเที่ยงแท้ โดยมีการขับเคลื่อนของน้ำใจ มุ่งสู่ความรักและความช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระเจ้า
       การเชื่อประจักษ์พยานของผู้อื่นเป็นกระบวนการนำสู่ความรู้ด้านมนุษย์  บ่อยครั้งก็ไม่ถูกต้องเพระขาดการยืนยันและความชัดแจ้ง  ได้แต่ไว้ใจในคำยืนยันของประจักษ์พยาน
       ในขณะที่ความเชื่อที่ช่วยให้รอดเป็นความรู้แห่งพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าและของมนุษย์  โดยมีพระเยซูเจ้าทรงเป็นประจักษ์พยานและได้รับการยืนยันจากพระคัมภีร์
       หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง การเชื่อคือการยินยอมของสติปัญญาของเราในการรับความจริงที่พระเจ้าทรงเผยให้เรารู้โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า  จึงเป็นการน้อมรับพระเจ้าผู้ตรัสในสติปัญญาและในดวงใจของเรา
       เมื่ออ่านพระวรสาร เราหวนกลับไปสู่ความเชื่อคริสตชนในภาวะบริสุทธิ์ เราจะเห็นว่าผู้มีความเชื่อพบปะกับพระเจ้าผู้ทรงเผยแสดงในพระเยซูเจ้า
       ผู้มีความเชื่อได้รับความดึงดูดใจจากเสน่ห์แห่งพระบุคลิกของพระองค์ มีความมั่นใจและถูกเปลี่ยนโดยพระวาจาของพระองค์  เพราะไม่มีใครเคยพูดด้วยความแน่นอนและด้วยอำนาจแบบพระองค์ พวกเขาเห็นกิจการอันน่าพิศวงที่พระเจ้าผู้เดียวสามารถทำได้ อาทิ คนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเปลี้ยเดินเหินได้ คนโรคเรื้อนหายสนิท คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้รับข่าวดี พวกเขาต่างยึดมั่นในพระองค์ ถือพระองค์เป็นพระอาจารย์และพระผู้ไถ่บาป คำสอนของพระองค์มีความจริงแท้ซึ่งพระเจ้าเองทรงเผยให้  พวกเขาเชื่อพระวาจา เชื่อในพันธกิจแห่งการไถ่บาปของพระองค์ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เชื่อในพระวรสารของพระองค์
       แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พระเยซูเจ้าทรงพบปะได้กลับเป็นผู้เชื่อในพระองค์  หลายคนยังดื้อรั้นที่จะเชื่อแม้จะเห็นอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ เพราะอะไร? เราจะพบคำตอบในเรื่องราวของชีวิตพระองค์ •

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย

       7
  1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม  2ผู้รับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้จะตาย นายรักเขามาก  3เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงส่งผู้อาวุโสบางคนของชาวยิว มาอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปช่วยชีวิตของผู้รับใช้
            4คนเหล่านั้นมาเฝ้าพระเยซูเจ้า อ้อนวอนรบเร้าพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ  5เพราะเขารักชนชาติของเรา และได้สร้างศาลาธรรมให้เรา”
            6พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับคนเหล่านั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้าน นายร้อยใช้เพื่อนบางคนไปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า  7เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์  แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค  8ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนหนึ่งว่า “ไป”  เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า “มา” เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า “ทำสิ่งนี้” เขาก็ทำ’
       9เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทรงประหลาดพระทัย  ทรงหันพระพักตร์ไปยังประชาชนที่ติดตามพระองค์ตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”  10เมื่อเพื่อนที่ถูกใช้มากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าผู้รับใช้ผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว (ลก7: 1-10)

พระเยซูเจ้าทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ

            11
หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป  12เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย
            13เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย”  
            14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”  
            15คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา
            16ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์”  
            17และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น (ลก7: 11-17)


คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง พระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอห์น 

           18
บรรดาศิษย์ของยอห์นแจ้งข่าวเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาทราบ ยอห์นจึงเรียกศิษย์มาสองคน  19แล้วส่งไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทูลถามว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา  หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก”  20เมื่อคนทั้งสองมาพบพระองค์แล้วจึงกล่าวว่า ‘ยอห์นผู้ทำพิธีล้างส่งเรามาถามท่านว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก’”  21ขณะนั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค จากความทุกข์ทรมานและจากปีศาจร้าย ทั้งทรงทำให้คนตาบอดหลายคนกลับมองเห็นได้  22พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี  23ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเรา  ย่อมเป็นสุข” (ลก7: 18-23)



 
            24
เมื่อผู้ที่ยอห์นส่งมาจากไปแล้ว พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า 
            25"ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปตามลมหรือ ไม่ใช่ แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามและกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือยนั้นมีอยู่เฉพาะในพระราชวัง  26ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ   ถูกแล้ว เราบอกท่าน ไปดูยิ่งกว่าประกาศกอีก  27ผู้นี้แหละพระคัมภีร์กล่าวถึงว่าเราส่งทูตของเรานำหน้าท่านเพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
            28"เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากสตรี ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีกแล้ว กระนั้นก็ดี ผู้ต่ำต้อยที่สุดในพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น” (ลก 7: 24-28)

            29ประชาชนทั้งหลายที่ได้ฟังและบรรดาคนเก็บภาษีได้รับพิธีล้างจากยอห์นและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรม  30แต่บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายไม่ยอมรับพิธีล้างจากยอห์น จึงต่อต้านแผนการของพระเจ้าสำหรับตน

พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย


             31
"เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใดดี เขาเหมือนกับสิ่งใด  32เขาเป็นเสมือนเด็ก ๆ ที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องบอกเพื่อน ๆ ว่า
      เราเป่าขลุ่ยเจ้าก็ไม่เต้นรำเราร้องเพลงโศกเศร้าเจ้าก็ไม่ร้องไห้
            33ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า “คนนี้มีปีศาจสิง”  34บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า  “ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป”
            35พระปรีชาญาณของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยผู้ปฏิบัติตามพระปรีชาญาณนั้น” (ลก 7: 29-35)

หญิงคนบาป 

 

           36
ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีนั้นและประทับที่โต๊ะ  37ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสีผู้นั้น จึงถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมเข้ามาด้วย  38นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ ๆ พระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาทจูบพระบาทและใช้น้ำมันหอมชโลมพระบาทนั้น
            39ชาวฟาริสีที่ทูลเชิญพระองค์มาเห็นดังนี้ก็คิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นประกาศก   เขาคงจะรู้ว่าหญิงที่กำลังแตะต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป”
40พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
        “ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
        เขาตอบว่า
        “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์”
              41พระองค์จึงตรัสว่า
       “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ  42ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน”
            43ซีโมนตอบว่า
        “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า”
        พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
        “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว”
            44พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลั่งน้ำตารดเท้าของเราและใช้ผมเช็ดให้  45ท่านไม่ได้จูบคำนับเรา แต่นางจูบเท้าของเราตลอดเวลาตั้งแต่เราเข้ามา  46ท่านไม่ได้ใช้น้ำมันเจิมศีรษะให้เรา แต่นางใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา  47เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมาก ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย”  
            48แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
            49บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำได้แม้แต่การอภัยบาป”
            50พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด” (ลก 7: 36-50)

บรรดาสตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้า 

       8
 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์  2รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย และหายจากโรคภัย เช่น มารีย์ ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปีศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง  3โยอันนา  ภรรยาของคูซาข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคน  หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก (ลก 8: 1-3)











ผู้กลับใจ