12 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู 24. สัปดาห์สุดท้ายของพระเยซู





bluesilvanimcross.gif


24
สัปดาห์สุดท้าย
ของพระเยซูเจ้า
       วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 30 พระเยซูเจ้าเสด็จไปเยรูซาเล็มเพื่อสมโภชปัสกา แต่ครั้งนี้พระองค์ประทับบนหลังลา ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสิยาห์ตามที่ประกาศกซากาเรียได้กล่าวทำนายไว้เมื่อปี 520 ก่อนคริสตกาล “กษัตริย์ของเจ้าผู้อ่อนโยนเสด็จมาหาเจ้า ประทับอยู่บนหลังลา”
       มีผู้จาริกแสวงบุญมาที่กรุงเยรูซาเล็มจำนวนมากเพื่อสมโภชปัสกา พวกเขาร่วมเดินมากับพระเยซูเจ้าด้วยความกระตือรือร้น ร้องตะโกนว่า “บุตรแห่งกษัตริย์ดาวิด ทรงเป็นกษัตริย์ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนา”  นั้นคือ “พระองค์ผู้ทรงนำความรอดมาให้เรา”
       ทว่าความร่าเริงยินดีของพระเยซูเจ้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าเมื่อทรงเห็นกรุงเยรูซาเล็มอยู่ข้างหน้า เศร้าที่ชาวเยรูซาเล็มไม่เข้าใจว่าพระเมสิยาห์ทรงนำสันติมาให้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าในบริเวณพระวิหารที่ถูกเปลี่ยนเป็นซ่องโจร
       พระวิหารเยรูซาเล็มเป็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าที่ใด ๆ ในโลก  ที่ซึ่งมีการถวายบูชาแด่องค์พระผู้ทรงฤทธิ์  พระวิหารที่ผู้เขียนพระวรสารกล่าวถึงเป็นของกษัตริย์เฮรอดผู้ยิ่งใหญ่  ส่วนพระวิหารแรก กษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้สร้าง ต่อมาถูกทำลายเมื่อมีการกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนในปี 586 ก่อนคริสตกาล  พระวิหารได้รับการสร้างขึ้นใหม่เมื่อชาวยิวกลับจากบาบิโลน แล้วนั้นกษัตริย์เฮรอดทรงสั่งให้รื้อพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ ทั้งยิ่งใหญ่ทั้งสง่างาม
       พระวิหารมีรูปทรงสี่เหลี่ยม มีระเบียงกว้างขวาง ส่วนหนึ่งของระเบียงใช้เป็นที่พักของทหารหนึ่งกอง มีการแบ่งเนื้อที่ในพระวิหารเป็นสามส่วน  ส่วนนอกสุดสำหรับสตรี ส่วนถัดมาเป็นของบุรุษ และส่วนในสุดเป็นของสงฆ์  ตรงกลางของเนื้อที่เป็นแท่นบูชา  ด้านในของพระวิหารยังแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีแท่นกำยาน ส่วนในสุดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งมีแต่พระสงฆ์ตำแหน่งสูงสามารถเข้าไปได้ปีละครั้งในวันแห่งการชดใช้
       ในพระวิหาร สงฆ์จากตระกูลเลวีเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยมีพระมหาสมณะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งในแง่บ้านเมืองและในแง่ศาสนา  ท่านเป็นประธานสภาสงฆ์และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นวาระหนึ่งปีหรือสองปี
       พระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่าธรรมาจารย์และฟาริสีบางคนไม่ยอมรับพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ของพระเจ้าและตั้งใจจะฆ่าพระองค์
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนและศิษย์โดยทรงย้ำเนื้อหาสำคัญๆ พร้อมทั้งทรงแสดงฤทธิ์อำนาจ เหมือนเป็นการท้าทายฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผย  พร้อมยอมรับการเสียสละที่จะตามมา นั่นคือ ความตาย
       พรเยซูเจ้าทรงใช้คำอุปมาสามเรื่องเพื่อชี้ให้เห็นว่าใครบ้างที่จะไม่ได้เข้าพระอาณาจักรซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม มีการถกเถียงและหาทางจับผิดพระองค์
       พวกแรก พวกเฮโรเดียน ถามพระองค์ว่าจะต้องเสียภาษีให้แก่จักรพรรดิซีซาเรือไม่  พวกที่สอง พวกซัดดูสี คัดค้านคำสอนเกี่ยวกับการกลับคืนชีพของผู้ตาย  และพวกที่สาม พวกฟาริสี ถามว่ากฎโมเสสข้อใดใหญ่กว่าหมด
       คำตอบของพระเยซูเจ้าแต่ละอย่างทำให้ทั้งสามกลุ่มต้องปิดปากเงียบ พร้อมกันนั้น พระองค์ทรงตำหนิพฤติกรรมจอมปลอมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี  พระองค์ทรงใช้คำ“วิบัติ” เจ็ดครั้งเพื่อตำหนิพฤติธรรมของพวกเขา “วิบัติแก่เจ้า ธรรมาจารย์และฟาริสี...”  พร้อมกันนั้น พระองค์ทรงพูดถึงชะตากรรมเลวร้ายของกรุงเยรูซาเล็มที่ได้สังหารประกาศกที่พระเจ้าทรงส่งมา •

       วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระตนก่อนวันฉลอง  เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” 
       บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำสั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์

       เมื่อเสด็จเข้าใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า  ‘จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมาให้เราเถิด  ถ้าผู้ใดถามว่า ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม จงตอบเขาว่า พระอาจารย์ต้องการใช้มัน” 


       ศิษย์ที่พระองค์ทรงสั่ง ได้ไปและพบตามที่พระองค์ทรงบอกเขา  ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาถามว่า
       ‘ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม’
       ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า
       ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน’
       ศิษย์ทั้งสองคนจูงลูกลามาถวายพระเยซูเจ้า ปูเสื้อคลุมของตนบนหลังลา  แล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ทรงลาตัวนั้น  ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนปูเสื้อคลุมของตนบนทาง  เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้ว  บรรดาศิษย์ต่างมีความชื่นชมยินดี โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาเห็นว่า
       ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าสันติจงมีในสวรรค์และพระสิริรุ่งโรจน์จงมีในที่สูงสุด

พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ

       ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า
       ‘พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด’ 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่งเงียบ ก้อนหินทั้งหลายจะส่งเสียงตะโกน’

 

พระเยซูเจ้าทรงพระกันแสง

       ณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรงพระกันแสง  ตรัสว่า ‘ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติ ก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว  วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน  จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า’

 
พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม 

       พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เข้าไปในพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรสิ่งต่าง ๆ โดยรอบแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานี พร้อมกับอัครสาวกสิบสองคน ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว มก11: 11

ต้นมะเดื่อเทศไร้ผล 
       วันรุ่งขึ้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากหมู่บ้านเบธานีพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงรู้สึกหิว  เมื่อทอดพระเนตรแต่ไกล ทรงเห็นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งมีใบ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรว่ามีผลหรือไม่ ทรงพบแต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ  พระองค์จึงตรัสแก่มะเดื่อเทศต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าให้ใครได้กินผลของเจ้าอีกเลย” บรรดาศิษย์ได้ยินพระวาจานี้


พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร
       ระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อเสด็จเข้าสู่พระวิหาร พระองค์ทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหาร ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน และม้านั่งของคนขายนกพิราบ  พระองค์ไม่ทรงยอมให้ใครแบกสัมภาระเดินผ่านพระวิหาร 
       พระองค์ตรัสสอนประชาชนว่า
       “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์มิใช่หรือว่า       บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนาสำหรับนานาชาติ แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร” 
       เมื่อบรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็หาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์ แต่เขากลัวพระองค์ เพราะประชาชนกำลังประทับใจในคำสั่งสอนของพระองค์ 
       ครั้นถึงเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จออกจากเมืองพร้อมกับบรรดาศิษย์ มก11: 15-19

ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา ความเชื่อ และการอธิษฐานภาวนา

       เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่บรรดาศิษย์ผ่านมา ได้เห็นต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก  เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า
       “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูซิ ต้นมะเดื่อเทศที่พระองค์ทรงสาปแช่งนั้นเหี่ยวเฉาไปแล้ว” 
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
       “จงมีความเชื่อในพระเจ้าเถิด  เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดบอกภูเขาลูกนี้ว่า  “จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปในทะเลเถิด” โดยไม่มีใจสงสัย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นจริง มันก็จะเป็นเช่นนั้น   ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่าท่านจะได้รับ และท่านก็จะได้รับ 
       ขณะที่ท่านยืนอธิษฐานภาวนา จงให้อภัย ถ้าท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด เพื่อว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตบนสวรรค์จะทรงอภัยความผิดให้ท่านด้วย” มก11: 20-25


พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากผู้ใด
       ระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่ทรงสั่งสอนประชาชนอยู่นั้น บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนเข้ามาพบพระองค์แล้วทูลถามว่า
       “ท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครมอบอำนาจนี้ให้ท่าน”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำเช่นนี้ด้วยอำนาจใด        
       พิธีล้างของยอห์นมาจากไหน  จากสวรรค์หรือจากมนุษย์” บรรดาสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนจึงปรึกษากันว่า  “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ เราก็เกรงกลัวประชาชน เพราะทุกคนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก” เขาจึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระองค์จึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่า เราทำการเหล่านี้โดยอำนาจใด” มธ 21: 23-27

อุปมาเรื่องบุตรสองคน
        ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด”  บุตรตอบว่า “ลูกไม่อยากไป”  แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน  พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน  บุตรคนที่สองตอบว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไป  สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรม ท่านก็ไม่เชื่อยอห์น  ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น มธ21: 28-32

อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย
       "ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง 
       เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต  แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง  เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน 
       ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ 
       แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ "เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย
       ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” 
       บรรดาผู้ฟังตอบว่า
       “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” 
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า       
       “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า
       หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้นได้กลายเป็นศิลาหัวมุมองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก

       "ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
       เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา 
       จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก มธ 21: 33-46

อุปมาเรื่องงานวิวาหมงคล 
       พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า
       "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส  ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว  ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ  คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย 
       กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ 
       บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส  กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์                   
       จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง 
       กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง 
       เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’” มธ 22: 1-14

การเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์
       รั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า  จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรด มาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร  ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่” 
       พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า
       “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย  พระองค์จึงตรัสถามว่า
       “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” 
       เขาตอบว่า
       “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์”
       พระองค์จึงตรัสว่า
       “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
       เมื่อคนเหล่านั้นได้ยิน ต่างประหลาดใจ แล้วผละจากพระองค์ไป มธ 22: 15-22

การกลับคืนชีพของผู้ตาย

       นวันนั้น ชาวสะดูสีมาเฝ้าพระองค์ คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ว่า
       "พระอาจารย์ โมเสสสั่งไว้ว่าถ้าคนหนึ่งตายโดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงม่ายนั้นเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชายไว้  ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกแต่งงานแล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร ทิ้งภรรยาไว้ให้น้องชาย  และเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับคนที่สอง คนที่สาม จนถึงคนที่เจ็ด  ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนได้นางเป็นภรรยา” 
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านคิดผิดแล้ว เพราะไม่เข้าใจพระคัมภีร์  และไม่รู้จักพระอานุภาพของพระเจ้า  เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 
       ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพ  ท่านไม่ได้อ่านพระวาจา ที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านหรือว่า เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น”
       ประชาชนที่ได้ฟังต่างพิศวงอย่างยิ่งในคำสอนของพระองค์ มธ 22,23-33

บทบัญญัติเอก
       เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน 
       มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า 
       "พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ”
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 
       ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน 
       นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก 
       บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกันคือ
       ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง

       ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” มธ 22: 34-40

พระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งโอรสของกษัตริย์ดาวิด
และทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย
 


       ณะที่ชาวฟาริสีมาชุมนุมกัน พระเยซูเจ้าทรงถามว่า 
       "ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงเป็นโอรสของใคร”
       ชาวฟาริสีทูลตอบว่า
       “เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด”
       พระองค์จึงตรัสว่า
       “ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใด เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า จึงเรียกพระคริสต์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า และตรัสว่า
       องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่าเชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา
       จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของพระองค์อยู่ใต้พระบาทของพระองค์

       "ถ้ากษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร” 
       ไม่มีใครตอบพระองค์ได้ และจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย มธ 22: 41-46

ความหน้าซื่อใจคดและความชอบโอ้อวด
ของธรรมาจารย์และชาวฟาริสี

       ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า  "พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว 
       เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น  เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม  ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’
"ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน  ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า  ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า 
       ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น  ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น มธ 23: 1-12


พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี 
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อทำให้คนเพียงคนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้นำทางที่ตาบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงทองคำในพระวิหาร ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน’         คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 
      ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน’  คนตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ทำให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์  เพราะฉะนั้น ผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย  และผู้ที่สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึงพระวิหาร รวมทั้งพระผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย  ผู้ที่สาบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระที่นั่งของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่สำคัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่น ๆ
       "ผู้นำทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกน้ำ แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขู่แย่งชิง และราคะตัณหา  ฟาริสีตาบอดเอ๋ย จงล้างด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย
       "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเป็นเหมือนหลุมศพทาสีขาว ภายนอกดูงดงามแต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกทุกอย่าง  ท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม  แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคด และความอธรรม
       “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านสร้างหลุมศพให้บรรดาประกาศก ประดับอนุสาวรีย์ของผู้ชอบธรรม  ท่านกล่าวว่า ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษ เราคงจะไม่ร่วมมือในการหลั่งเลือดบรรดาประกาศกเหล่านี้ ดังนี้ ท่านก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า เป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าบรรดาประกาศก  ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำงานที่บรรพบุรุษของท่านได้เริ่มไว้ให้สำเร็จไปเถิด”

ความผิดและโทษที่กำลังมาถึง


        "บรรดางูพิษ สัญชาติงูร้ายเอ๋ย ท่านจะหลีกเลี่ยงโทษนรกได้อย่างไรเล่า  เราส่งประกาศก และผู้ปรีชากับธรรมาจารย์มาพบท่าน ท่านจะฆ่าบางคน จะนำบางคนไปตรึงกางเขน จะเฆี่ยนบางคนในศาลาธรรมของท่าน จะเบียดเบียนเขาตามเมืองต่าง ๆ  เมื่อเป็นดังนี้ โลหิตของผู้ชอบธรรมทุกคนที่หลั่งลงบนแผ่นดินจะตกลงเหนือท่าน นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ บุตรของบาราคิยาห์ ซึ่งท่านได้ประหารระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา  เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแก่คนรุ่นนี้” มธ 23: 13-36

คำเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม 
       “ยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาพบเจ้า กี่ครั้งกี่หน แล้วที่เราอยากรวบรวมบุตรของท่านเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่ท่านไม่ต้องการ บัดนี้ บ้านของท่านทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้าง “เราบอกท่านว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีก จนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่าขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” มธ 23: 37-39


เล่าเรื่องพระเยซู 23. ให้เขาตายแทนคนทั้งชาติ





bluesilvanimcross.gif


23
ให้เขาตายแทนคนทั้งชาติ
  
       พระเยซูเจ้าเสด็จกลับแคว้นกาลิลี แม้ทรงทรงรู้ดีว่ามีหลายคนสงสัย เกลียดและหากล่าวหาพระองค์
       กระนั้นก็ดี ยังมีคนรายล้อมพระองค์ ที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งคนชื่นชม และเหนืออื่นใด พระองค์ทรงสำนึกดีถึงการประทับอยู่ของพระจิตภายในพระองค์และมีพระประสงค์ของพระเจ้าที่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของพระองค์
       พระองค์ตรัสอย่างทรงอำนาจเมื่อทรงยืนอยู่หน้าหลุมศพลาซารัส ไม่ไกลจากกรุงเยรูซาเล็ม ว่า “เราคือการกลับคืนชีพและชีวิต” และทรงเรียกลาซารัสออกจากหลุมศพ
หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์เชื่อในพระองค์ แต่ก็มีอีกหลายคนที่แฝงตัวมาคละปนกับประชาชนวิ่งกลับไปหาบรรดาฟาริสีเพื่อรายงานว่าพระองค์เสด็จมาที่แคว้นยูเดียและสิ่งที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี
       อีกครั้งหนึ่งที่การกระทำของพระเยซูเจ้าทำให้หลายคนเคารพยกย่องและไว้วางใจในพระองค์ แต่ก็ทำให้หลายคนพร้อมจะทรยศและเกลียดชังพระองค์
       ทำไมจึงมีคนสองกลุ่มที่มีความคิดเห็นและท่าทีต่างกันต่อหน้าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ?
       หลายคนเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ของพระเจ้าที่บรรดาประกาศกได้กล่าวทำนายไว้ แต่อีกหลายคนไม่เห็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงมาจากแค้นคาลิลี ไม่ใช่แคว้นยูเดีย
       จึงเกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ทั้งนี้เพราะหลายคนต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเป็นชาวยิวแท้ สัตย์ซื่อต่อกฎหมายและธรรมประเพณี  หลายคนไม่พอใจที่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่าจะทรงปฏิรูปกฎหมายต่างๆและเปิดประตูให้แก่ทุกคน แม้คนที่ไม่ชาวยิว ให้มีโอกาสเป็นบุตรพระเจ้า เพียงขอให้พวกเขามีความเชื่อในพระองค์
       บรรดาหัวหน้าสมณะและฟาริสีกลัวว่าประชาชนจะลุกฮือเป็นกบฏภายใต้การนำของพระเยซูเจ้า ซึ่งจะส่งผลให้ชาวโรมันกดขี่ประชาชนหนักขึ้น ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
       เพราะเหตุนี้ คำพูดของไกฟาส หัวหน้าสมณะยุคนั้น จึงเป็นเหมือนคำทำนาย “ให้คนคนเดียวตาย ดีกว่าจะต้องพินาศกันทั้งชาติ”
       พวกเขาจึงถือเป็นเหตุผลจับกุมพระเยซูเจ้า
       พระวรสารพูดถึงรูปร่างลักษณะภายนอกของพระเยซูเจ้าน้อยมาก แต่เน้นให้เห็นบุคลิกของพระองค์ได้อย่างแจ่มชัด พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรับเอากายเป็นมนุษย์
       ทุกอย่างรวมตัวอยู่ในพระองค์อย่างน่าพิศวง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพด้านมนุษย์ ความล้ำลึกที่แสดงออกในความเรียบง่ายและโปร่งใส ความสำนึกในพันธกิจและความมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกอย่างสอดคล้องไปในแนวแห่งพันธกิจ ความเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อแต่ละคน ความสงสารถึงขนาดร่ำไห้ ความปีติยินดีที่เอ่อล้นออกมา มิตรภาพและความรักอันยิ่งใหญ่ ความสมดุลและความกลมกลืนของกายและจิตใจ
       พระองค์ทรงน้อมรับความทุกข์ทรมาน ความหิว ความกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยและความผิดหวัง  ความสงสัยและความวิตกกังวล ความโกรธและความไม่พอใจ  ผู้เขียนพระวรสารต่างเสนอภาพลักษณ์ของพระเยซูเจ้าให้เห็นเป็นประจักษ์ พระองค์ทรงยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่โอนอ่อนให้แก่ความชั่ว ในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงมีความสนิทสนมหนึ่งเดียวกับพระบิดา สะท้อนความรอบรู้และความปรีชาฉลาดออกมาในทุกสิ่งที่ตรัสและที่ทรงกระทำ พร้อมกับแสดงออกซึ่งอำนาจที่ทรงมีเหนือกฎหมายที่โมเสสเขียนขึ้น ทรงรักคนบาปและใกล้ชิดคนยากจน  พระองค์ “ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก” •


 การกลับคืนชีพของลาซารัส

       ชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วย เขาเป็นชาวเบธานี หมู่บ้านของมารีย์ และมารธาพี่สาว  มารีย์คือหญิงที่ใช้น้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า ใช้ผมเช็ดพระบาท ลาซารัสที่กำลังป่วยนี้ เป็นพี่ชายของมารีย์  พี่น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย”
       เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า “โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์”
       พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาว และลาซารัส  หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำลังป่วย พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน  ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรากลับไปแคว้นยูเดียกันเถิด” 
        บรรดาศิษย์ทูลว่า
       “พระอาจารย์ ชาวยิวเพิ่งพยายามเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ” 
       พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า
       ”วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือถ้าใครเดินเวลากลางวันก็ไม่สะดุดเพราะเห็นแสงสว่างของโลกนี้ แต่ถ้าใครเดินเวลากลางคืน ก็สะดุดเพราะเขาไม่มีแสงสว่างเพื่อนำทาง” หเมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเสริมว่า “ลาซารัสเพื่อนของเรากำลังหลับอยู่ แต่เรากำลังจะไปปลุกให้ตื่น” 
       บรรดาศิษย์จึงทูลว่า
       “พระเจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะหายจากโรค” 
       พระเยซูเจ้าตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่บรรดาศิษย์คิดว่า พระองค์ตรัสถึง “การนอนหลับ”  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสอย่างชัดเจนว่า
       “ลาซารัสตายแล้ว เรายินดีสำหรับท่านทั้งหลายที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด” 
       โทมัส ที่เรียกกันว่าฝาแฝด กล่าวกับศิษย์คนอื่น ๆ ว่า “พวกเราจงไปตายพร้อมกับพระองค์เถิด”
ยน 11: 1-16


       เมื่อเสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสี่วันแล้ว  หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันราวสามกิโลเมตร  ชาวยิวจำนวนมากมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบใจนางในการตายของพี่ชาย 
       เมื่อมารธารู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน 
มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า
       “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย  แต่บัดนี้ ดิฉันรู้ดีว่า สิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” 
       พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า
       “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” 
       มารธาทูลว่า
       “ดิฉันรู้ว่า เขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” 
       พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า
       “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิตใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตและทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลยท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
       มารธาทูลตอบว่า
       “เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้”
       เมื่อมารธาทูลดังนี้แล้ว นางก็ไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบบอกว่า “พระอาจารย์อยู่ที่นี่ และทรงเรียกน้องด้วย” 
       เมื่อมารีย์ได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์  พระเยซูเจ้ายังไม่ได้เสด็จเข้าในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ในที่ที่มารธามาเฝ้า 
       ชาวยิวซึ่งอยู่ที่บ้านกับมารีย์เพื่อปลอบใจนาง เมื่อเห็นนางรีบลุกขึ้นออกไป ก็ตามไปด้วย คิดว่านางคงจะไปร้องไห้ที่คูหาฝังศพ 
       เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ และเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาท ทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” 
       พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนางกำลังร้องไห้ และชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า
       “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน”
       เขาทูลว่า
       “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” 
       พระเยซูเจ้าทรงกันแสง  ชาวยิวจึงพูดว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” 
       แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ”  ยน 11: 17-37
       พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิดอยู่  พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       "จงยกแผ่นหินออก"
       มารธา น้องสาวของผู้ตายทูลว่า
      "พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน"  
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       "เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า"
คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอแต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพื่อประชาชนที่อยู่รอบข้าพเจ้าเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา
ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า "ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด"
       ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า "จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด" ยน 11: 38-44

 
ผู้นำชาวยิวตกลงที่จะประหารพระเยซูเจ้า
 
      ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์  แต่บางคนไปพบชาวฟาริสีเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ฟัง  บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ปรึกษากันว่า
       "พวกเราจะทำอย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง  ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหาร และชนชาติของเรา" 
       คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า
       "ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย  ท่านไม่คิดหรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่า ที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป"
       เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ  และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าทรงกระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน
       ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกัน ที่จะประหารพระองค์  ยอห์น11: 45-53
        ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำนักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์ ยอห์น11: 54



ผู้กลับใจ