23 พฤษภาคม 2555

นักบุญ มารีย์มักดาเลนา เดปัสซี พรหมจารี ระลึกถึงวันที่ 25 พฤษภาคม


นักบุญ มารีย์มักดาเลนา เดปัสซี
พรหมจารี
ระลึกถึงวันที่ 25 พฤษภาคม


จากครอบครัว “เด ปัสซี” ที่สูงศักดิ์ของเมืองฟลอเรนซ์ กาเธรีนา เมื่ออายุ 14 ปี เธอได้เข้าบวชในอารามคาร์แมล “พระนางมารีอาแห่งนิกรเทวดา” ที่เมืองฟลอเรนซ์ และได้ใช้ชื่อว่า  มารีย์ มักดาลา  ชีวิตของเธอเป็นการเอาตัวอย่างหญิงคนบาปในพระวรสาร ที่พระเยซูเจ้าได้ช่วยให้กลับใจ  แม้ว่าเธอจะมีชีวิตภายในที่เข้มข้นมาก แต่เธอก็ไม่ได้ลืมสภาพทางสังคมในสมัยของเธอเลย
เธอได้เขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปา พระคาร์ดินัล และพระสังฆราช แต่ไม่มีใครยอมส่งจดหมายให้เธอ  อย่างไรก็ตามเธอได้มีส่วนช่วยเหลืออย่างมากในการปฏิรูปพระศาสนจักร โดยได้อุทิศตนเองให้กับการสวดภาวนา และการบำเพ็ญตบะที่ไม่มีใครทราบ เธอจึงได้กลายเป็น “แบบอย่างที่มีชีวิต” ของพระทรมานของพระเยซูเจ้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง สำหรับนักบวชทุกๆ คน
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ
1. ขอให้ความรักที่แท้จริงต่อพระคริสตเจ้าจงเป็นพละกำลังของวีรกรรมทุกรูปแบบ
2. ขอให้หญิงสาวทั้งหลายที่ได้ถวายตัวแด่พระเจ้า จงเป็นพยานยืนยันถึงพระคริสตเจ้าผู้ทรงชีวิตในวันนี้ด้วยเถิด
3. ขอให้ชีวิตและกิจการต่างๆ ของบรรดานักบวชสตรี ทำไปเพื่อคุณงามความดีของพระศาสนจักร
4.ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานกระแสเรียกของนักบวชสตรี ให้กับพระศาสนจักรของพระองค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเถิด

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 15.การปลดปล่อยคนให้อิสระ คือผลงานของพระเจ้า

bluesilvanimcross.gif
15
การปลดปล่อยคนให้อิสระ  คือผลงานของพระเจ้า


        ในโอกาสฉลองของชาวยิว พระเยซูเจ้าทรงกลับไปในแค้นยูเดีย ซึ่งเป็นพื้นภาคเต็มด้วยภูเขาของปาเลสไตน์ ผู้คนที่อาศัยอยู่คือชนเผ่ายูเดีย อย่างเช่นกษัตริย์ดาวิดและพระเยซูเจ้า ภูมิประเทศแห้งแล้ง ปกคลุมด้วยต้นหนาม จึงมีการเรียกว่า “ที่เปลี่ยวแห่งยูเดีย”
       นอกจากจะมีกษัตริย์ปกครองตนเองแล้ว ชาวเมืองยังต้องขึ้นกับจักรวรรดิโรมัน โดยมีผู้ว่าราชการทำหน้าที่ปกครองแทน ในสมัยของพระเยซูเจ้าผู้ทำหน้าที่ปกครองคือปอนซีโอ ปีลาโต
       สิ่งสำคัญกว่าหมดสำหรับชาวยูเดียคือศาสนา ซึ่งเป็นดังวิญญาณแห่งหมู่คณะชาวยูเดีย ซึ่งตั้งรากฐานอยู่บนกฎหมายของโมเสส ที่ครอบคลุมชีวิตความเป็นอยู่  ชีวิตศีลธรรม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชาวบ้าน
       เมืองหลวงของแคว้นยูเดียคือเยรูซาเล็ม สถานที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์ครั้งใหม่ใกล้ประตูแกะ ที่นั่นมีสระน้ำที่มีน้ำอยู่ตลอดเวลา เป็นน้ำที่ให้การรักษาโรค แต่ไม่ใช่ทุกโรค
        คนที่ป่วยทางใจมีอาการหนักกว่าคนพิการทางกาย เพราะรู้ว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้ รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง ความปรารถนาจะหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ยึดติดกับโชคชะตาดูริบหรี่ กระทั่งเขาได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้า เป็นเสียงที่บันดาลชีวิต เป็นเสียงยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า
       คนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าพระเยซูเจ้าทรงกล่าวผรุสวาท พระองค์ทรงอธิบายว่า สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเป็นกิจการของพระเจ้า พระบิดาของพระองค์
       พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา ดังนั้น พระองค์จึงทรงบันดาลชีวิต ตัดสิน ปลดปล่อย และทำให้คนตายกลับคืนชีพ  หลังจากนั้น พระองค์ทรงอ้างถึงประจักษ์พยานที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นผู้น่าเชื่อถือ อาทิ ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง อัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ พระเจ้าพระบิดา และโมเสส ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ทำให้ประชาชนมีความหวัง
       ไม่มีใครที่หูหนวกเท่าคนที่ไม่อยากได้ยิน  แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า การยอมรับหรือการปฏิเสธพระเยซูเจ้าคือการเลือกที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ •

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่สระเบเธสดา 
       หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็มาถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน 
       ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต 
       ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 
       พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสแก่เขาว่า
       “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” 
       ผู้ป่วยนั้นตอบว่า
       “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” 
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า
       “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด” 
       ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอน และเริ่มเดินไป
       วันนั้นเป็นวันสับบาโต  ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า
       “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” 
       เขาจึงตอบว่า
       “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า “จงยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด”’
       เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอน และเดินไป” 
       แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว 
       ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสแก่เขาว่า
       “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน” 
       ชายผู้นั้นจากไป แล้วบอกกับชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย  ชาวยิวเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต 
       แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน”         เพราะคำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำตนเสมอพระเจ้ายน 5: 1-18

       พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าพระบุตรไม่ทำสิ่งใดตามใจของตนแต่ทำเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำเท่านั้นเพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ พระบุตรก็ย่อมกระทำเช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำและจะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกเพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ
       "พระบิดาทรงทำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใดพระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น เพราะพระบิดาไม่ทรงพิพากษา ผู้ใดแต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตร เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตรดังที่เขาถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ที่ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตรก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา
       "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าผู้ที่ฟังวาจาของเราและมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาก็ย่อมมีชีวิตนิรันดรและไม่ต้องถูกพิพากษาแต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว
       "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเวลานั้นกำลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้วเมื่อผู้ตาย จะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้าและผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใดพระองค์ก็ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษาเพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์
       "ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลยเพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรและจะออกมา29ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดรส่วนผู้ที่ทำความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์
       "เราทำอะไรตามใจของเราไม่ได้เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้นและคำพิพากษาของเราก็ถูกต้องเพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำตามใจของเราแต่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเองคำยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่ง ที่เป็นพยานยืนยันให้เราและเรารู้ว่า คำยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง
       "ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์นและยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ต้องการคำยืนยันจากมนุษย์แต่เรากล่าวเช่นนั้นเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
       "แต่เรามีคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์นคืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เรากระทำจนสำเร็จงานที่เรากำลังกระทำอยู่นี้เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา
       "พระบิดาผู้ทรงส่งเรามายังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วยท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์38และพระวาจาของพระองค์ไม่เคยอยู่ในท่านเพราะท่านไม่มีความเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา
       "ท่านทั้งหลายค้นคว้า พระคัมภีร์เพราะคิดว่า ท่านจะพบชีวิตนิรันดร ได้ในพระคัมภีร์นั้นพระคัมภีร์นี้เองเป็นพยานถึงเรา แต่ท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะมีชีวิต เราไม่ต้องการเกียรติจากมนุษย์ แต่เรารู้จักท่านทั้งหลายเรารู้ดีว่าท่านไม่รักพระเจ้าเลย เรามาในพระนามของพระบิดา แต่ท่านทั้งหลายมิได้ต้อนรับเรา ถ้าผู้อื่นมาในนามของตน ท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเขา แล้วท่านจะมีความเชื่อได้อย่างไร เมื่อท่านแสวงหาเกียรติจากกันและกัน แต่ไม่แสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้าพระองค์เดียว
       "ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า เราจะกล่าวหาท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา ผู้ที่กล่าวหาท่านมีอยู่แล้ว คือโมเสส ซึ่งท่านไว้วางใจ ถ้าท่านเชื่อโมเสสจริง ๆ แล้ว ท่านก็คงจะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา แต่ถ้าท่านไม่เชื่อข้อเขียนของโมเสสแล้ว ท่านจะเชื่อวาจาของเราได้อย่างไร”ยน 5 : 19-47

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2012 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 22:30,23:6-11




 zwani.com myspace graphic comments 

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2012
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 22:30,23:6-11


ผู้บัญชาการกองพันต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล วันรุ่งขึ้นเขาจึงสั่งให้แก้โซ่ที่ล่ามเปาโล เรียกบรรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาซันเฮดรินทุกคนมาประชุม แล้วนำเปาโลไปยืนต่อหน้าเขา

เปาโลรู้ว่า สมาชิกส่วนหนึ่งของที่ประชุมเป็นชาวสะดูสีและอีกส่วนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี จึงตะโกนขึ้นในสภาว่า พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นชาวฟาริสี เป็นบุตรของชาวฟาริสี ข้าพเจ้าถูกสอบสวนก็เพราะเรื่องความหวังในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเมื่อเปาโลกล่าวเช่นนั้น ก็เกิดการถกเถียงกันระหว่างชาวฟาริสีกับชาวสะดูสี ที่ประชุมจึงแตกแยก เพราะชาว สะดูสียืนยันว่าไม่มีการกลับคืนชีพและไม่มีทั้งทูตสวรรค์และจิต แต่ชาวฟาริสีเชื่อว่ามี

เกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงในที่ประชุม ธรรมาจารย์บางคนที่เป็นชาวฟาริสีลุกขึ้นโต้แย้งว่า เราไม่พบว่าชายผู้นี้มีความผิดอันใด เป็นไปได้มิใช่หรือ ที่จิตหรือทูตสวรรค์ได้พูดกับเขความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพันกลัวเปาโลจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จึงสั่งทหารให้ลงไปนำเปาโลออกจากที่ประชุมเข้าไปในค่ายทหาร

คืนต่อมา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาทรงยืนใกล้เปาโล ตรัสว่า ทำใจดี ๆ ไว้ เจ้าได้เป็นพยานยืนยันถึงเราที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานที่กรุงโรมอย่างนั้นด้วย

4thirsty_thursday.gif

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2012 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 17:20-26




  4thursday18.gif  


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2012
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา
พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 17:20-26

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า“ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำหรับคน
เหล่านี้เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของเขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้า
อธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้กับเขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขาเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าแต่พระบิดา ผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นกัน"


ข้อคิด
คำภาวนาของพระเยซูเจ้าตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์นตอนนี้เป็นหลักการสำคัญของการดำรงอยู่ของพระศาสนจักรและงานแพร่ธรรม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดาศิษย์ในระหว่างหมู่คณะ นิกายหรือที่วัด ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งสิ้น การแตกแยกเป็นพรรคเป็นพวก การปฏิเสธไม่ยอมรับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้พระศาสนจักรอ่อนแอ และการเป็นพยานถึงศาสนาแห่งความรักก็หมดพลัง ขอให้เรามีส่วนในการสร้างความเข้าใจและร่วมมือกัน

4thursday12.gif

ผู้กลับใจ