29 มีนาคม 2555

พระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า สมโภชวันที่ 1 มกราคม


พระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า

สมโภชวันที่ 1 มกราคม


วันที่ 8 หลังจากการฉลองพระคริสตสมภพ ( 25 ธันวาคม ) เราคริสตชนทำการฉลอง “พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า” แต่ว่า วจนพิธีกรรมในวันฉลองวันนี้แทนที่จะเน้นที่ “พระนางมารีอา” กลับไปเน้นที่ “พระบุตรของพระนางและพระนามของพระบุตร”
นักบุญเปาโลได้ย้ำถึงผลงานของการช่วยให้รอดที่ได้สำเร็จลงในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งพระนางมารีอาเองก็ได้มีส่วนอยู่ด้วย เพราะว่าเป็นพระนางเองที่พระบุตรพระเป็นเจ้า สามารถเสด็จลงมาในโลกนี้ในฐานที่ทรงเป็นมนุษย์จริง ๆ คนหนึ่ง ส่วนพระวรสารของวันนี้ได้จบลงด้วยการตั้งพระนาม “เยซู” ให้กับพระผู้เพิ่งได้บังเกิดมา ในขณะที่พระนางมารีย์ทรงมีส่วนร่วมในรหัสธรรมของพระบุตรพระเป็นเจ้าองค์นี่อย่างเงียบๆ
แม้ว่า วจนพิธีกรรมในการฉลองในวันนี้จะมุ่งความสนใจไปหา “องค์พระบุตร” แต่ก็มิได้ทำให้บทบาทของผู้ที่เป็น “พระชนนีพระเจ้า” ด้อยลงไปแต่อย่างใด การที่พระนางมารีย์เป็นพระชนนีพระเจ้าจริง ๆ ก็เพราะความสัมพันธ์ที่พระนางมีต่อพระบุตรอย่างแนบแน่นนั่นเอง ดังนั้น ยิ่งเราคริสตชนจะให้ความคารวะต่อพระนางเพียงใด พระบุตรก็ยิ่งจะได้รับการถวายพระเกียรติมากขึ้นเท่านั้น
การที่เราเรียกพระนางมารีย์ว่าเป็นพระชนนีพระเจ้า เป็นการแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ที่พระนางมีในประวัติศาสตร์แห่งความรอด และจากข้อเท็จจริงประการนี้แหละ ที่เป็นที่มาของความศรัทธาภักดีชนิดต่างๆ ที่บรรดาคริสตชนมีต่อพระนางมารีย์ เพราะว่าพระนางได้รับพระคุณมากมายจากพระเป็นเจ้ามิใช่สำหรับพระนางแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าเพื่อจะนำพระคุณ เหล่านั้นไปให้กับมวลมนุษย์อีกทอดหนึ่ง
พระชนนีพระเจ้าและพระมารดาของมนุษยชาติ
พระนาม “เยซู” อันมีความหมายว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้รอด” ได้ช่วยนำเราให้เข้าสู่ธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม คือ จากการรับเอากายในครรภ์ของพระมารดา โดยเดชะพระจิต จนถึงการบังเกิด การเข้าพิธีสุหนัต และไปสิ้นสุดที่รหัสธรรมปาสกาคือที่การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าจึงเป็นพระพรที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้า เป็นพระพรของการช่วยให้รอด และเป็นสันติภาพสำหรับมนุษย์ทุกคน
พวกเราได้รับการช่วยให้รอดในพระนามของพระองค์ (กจ. 2:21; รม.10:10,13) แต่ว่าการช่วย ให้รอดนี้ได้มาสู่มวลมนุษย์โดยผ่านทางพระนางมารีย์ และพระนางได้แบ่งปันพระคุณนี้ให้กับประชากรของพระเจ้า ดังเช่นที่เมื่อครั้งหนึ่งพระนางได้ให้กับพวกคนเลี้ยงแกะ พระนางมารีอาได้ให้ชีวิตมนุษย์แก่พระบุตรพระเจ้า และได้แบ่งปันชีวิตพระให้กับมนุษย์สืบมา ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงได้รับการคารวะให้เป็นพระมารดาของมนุษย์ทุกคนซึ่งพระนางได้กำเนิดชีวิตพระให้
เช่นเดียวกับบรรดาคริสตศาสนิกชนทั้งหลาย พวกเราให้ความคารวะแด่พระนางมารีย์พรหมจารี ผู้ซึ่งพระสังคายนา ณ เมืองเอเฟซัส ได้ประกาศอย่างสง่าว่า พระนางทรงเป็นพระชนนีของพระเจ้าเพราะพระคริสตเจ้าได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นบุตรพระเจ้าและเป็นมนุษย์ด้วย (UR 15)
พระมารดาแห่งสันติภาพ
ในพระนามของพระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้าและมารดาของปวงมนุษย์ ที่ทั่วโลกทำการฉลอง “วันแห่งสันติภาพ” ในวันนี้เป็นสันติภาพที่พระนางได้ค้นพบในความรักต่อองค์พระเจ้า เป็นสันติภาพที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้กับมนุษย์ทุกคนที่มีความเชื่อในพลังแห่งความรัก
สันติภาพในความหมายของพระคัมภีร์คือ พระคุณสุดวิเศษของพระแมสซียาห์ซึ่งหมายถึงการช่วยให้รอดที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้ และการที่เราได้คืนดีและมีสันติกับพระเจ้า นอกนั้นสันติภาพยังเป็นค่านิยมสูงส่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพยายามช่วยกันสร้างสรรขึ้นมาให้ได้ เป็นต้นในระดับนานาชาติ
ความเชื่อในพระคริสตเจ้า สันติภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และสันติภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เป็นภาระหน้าที่ที่คริสตชนทั้งหลายจะต้องมีบทบาทอย่างเต็มที่เสียก่อน เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะก่อให้เกิดสันติภาพในโลก โดยทั่วๆไป สันติภาพของพระคริสตเจ้ามิได้แตกต่างอะไรไปจากสันติภาพที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาอยากได้ จึงควรที่เราทุกคนจะได้อุทิศชีวิตเพื่อจะได้มาซึ่งสันติภาพดังกล่าวนี้
พระศาสนจักรไม่เคยหยุดที่จะให้ความสนใจถึงความจำเป็น ที่เราทุกคนจะต้องมีส่วนช่วยกันสร้างสันติภาพที่แท้จริง สันติภาพที่แท้จริงนี้ต้องตั้งอยู่บนความจริง ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ ซึ่ง เปรียบเสมือนเสาหลัก 4 ต้นของบ้านแห่งสันติภาพ ที่เปิดกว้างต้อนรับทุกๆคน (พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23, 11-4-1963)
ต้องยุติสงครามและการสร้างอาวุธ
พระสันตะปาปาปอล ที่ 6 ได้กล่าวไว้ในโอกาสเสด็จไปที่องค์การ สหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์ค ว่า “...จะต้องหยุดการต่อสู้หักล้างกันเสียที...พฤติกรรมเช่นนี้จะต้องไม่มีอีกต่อไป...” และด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวสหประชาชาติจึงได้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาสำหรับยุติสงครามและสร้างสันติภาพขึ้นแทน พวกเรายังคงจำคำพูดของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยอห์น เอฟ เคนาดี้ ได้ ที่กล่าวว่า “มนุษยชาติจะต้องยุติสงครามให้ได้ หรือจะให้สงครามยุติพวกเรา” ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมายสำหรับประกาศเป้าหมายอันสูงส่งของสถาบันแห่งนี้ (=สหประชาชาติ) ให้เราเพียงแต่คิดถึงหยาดเลือดของมนุษย์จำนวนนับล้านๆ และความทุกข์ทรมานอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่มักจะเงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆ รวมทั้งซากปรักหักพังต่างๆ ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้พยายามที่จะช่วยสร้างสรรสันติภาพ และกำลังหาหนทางที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอนาคตของโลกให้จงได้ คือ จงยุติสงครามเสียเถิด
“สันติภาพจะต้องคอยนำโชคชะตาของปวงชนและมนุษยชาติทั้งหมด ถ้าพวกท่านต้องการเป็นพี่น้องกันก็จงปลดอาวุธเสีย เราไม่สามารถรักกันได้โดยที่ยังมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ” (สุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ 4 ตุลาคม 1995)
บทอ่านที่ 1 บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี 
กดว 6:22-27
พระเป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงบอกอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาว่า ท่านทั้งหลายจงอวยพรแก่บุตรหลานอิสราเอลว่าดังนี้
“ขอพระเจ้าอวยพรแก่ท่าน และปกปักรักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ส่องสว่างแก่ท่าน และทรงพระกรุณาต่อท่าน ขอพระองค์ทอดพระเนตรเหนือท่าน และประทานสันติสุขแก่ท่าน”
เขาจะเรียกขานนามของเราลงเหนือบุตรหลานอิสราเอลดังนี้แหละ และเราจะอวยพรแก่พวกเขา
บทอ่านที่ 2 
กท 4:4-7
พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าจะทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง เกิ ดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าพวกท่านเป็นบุตรก็คือ พระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “อับบาพ่อจ๋า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า
บทอ่านจาก พระวรสารนักบุญลูกา 
ลก 2:16-21
ขณะนั้น พวกเลี้ยงแกะพากันรีบไปยังเมืองเบธเลเฮม พบพระนางมารีย์ โยเซฟ และกุมารซึ่งนอนอ ยู่ในรางหญ้า เมื่อผู้เลี้ยงแกะได้เห็น ก็ได้เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับกุมารนี้ ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่อง ที่คนเลี้ยงแกะได้เล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ได้เก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ได้ และคิดคำนึงอยู่ในใจ คนเลี้ยงแกะได้กลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้า ในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้
เมื่อครบกำหนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องเข้าสุหนัต เขาตั้งชื่อพระองค์ว่า “เยซู” อันเป็นนาม ที่ทูตสวรรค์ได้ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา
ข้อคิด ข้อรำพึง
การเปิดดวงใจของพระแม่มารีอา ในการน้อมรับแผนการณ์แห่งความรอดของพระเป็นเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ทำให้เราทุกคนมีบุญได้รับความรักจากพระเป็นเจ้า ทางพระบุตรของพระองค์ที่ทรงมาบังเกิด มารับเอากายร่วมธรรมชาติมนุษย์กับเรา โดยทางพระเยซูเจ้าเราได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจ้า เราจึงสามารถเรียกพระเป็นเจ้าเป็นพ่อของเรา และพระบิดาทรงเรียกชื่อเราแต่ละคนและอวยพรเรา

28 มีนาคม 2555

พระมารดานิจจานุเคราะห์


พระมารดานิจจานุเคราะห์

รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์

วาดไว้บนไม้กระดานยาวประมาณ 21 นิ้ว กว้างประมาณ 17 นิ้ว รูปเดิมของพระมารดานิจจานุเคราะห์เป็นรูปจำลองรูปหนึ่งในบรรดารูป โฮเดเยตรีอา (DODEGETRIA) ของนักบุญลูกา
ที่กล่าวถึงนี้ เป็นรูปของแม่พระซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า นักบุญลูกาเป็นผู้วาดอยู่ในเมืองคอนสตันติโนเปิล เป็นที่เคารพนับถือของคริสตังค์เป็นเวลานาน ว่าเป็นรูปอัศจรรย์ ถูกพวกเตอร์กีทำลายในปี ค.ศ.1453 แต่เป็น "รูปเดียว" ที่แม่พระเองเป็นผู้เลือกไว้เพื่อประทานพรพิเศษให้แก่เรามนุษย์ ถ้าท่านไปกรุงโรมจะเห็นรูปนี้แขวนไว้เหนือพระแท่นใหญ่ในวัดของคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม ชื่อวัดนักบุญอัลฟอนโซ
ตอนปลายศตวรรษที่ 15 พ่อค้าคนหนึ่งขโมยรูปแม่พระวัดแห่งหนึ่งในเกาะครี๊ต (CRETE) เดินทางผ่านพายุมาอย่างอัศจรรย์ และในที่สุดก็มาถึงกรุงโรม ก่อนที่พ่อค้าคนนี้จะสิ้นใจ เขาได้มอบรูปแม่พระนี้ให้แก่เพื่อนชาวโรมันคนหนึ่ง และขอร้องให้เพื่อนชาวโรมันคนนี้ เอารูปแม่พระไปตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม แต่เพื่อนไม่ทำตาม
แม่พระได้มาเร่งให้ชาวโรมันผู้นี้ ทำตามคำขอร้องของพ่อค้าที่สิ้นใจตายไป และถึงกับขู่ว่า ถ้าไม่ทำจะประสบความตายเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่สนใจในการประจักษ์ของแม่พระ แต่กลับทำตามคำแนะนำของภรรยา ต่อจากนั้นไม่นาน พ่อค้าคนนั้นก็ถึงแก่กรรม
ต่อมา แม่พระประจักษ์มาแก่ลูกสาวของชาวโรมันผู้นั้นสั่งหนูน้อยว่า จงไปบอกแม่และยายของหนูว่า "สันตะมารีอา นิจจานุเคราะห์ เตือนให้เอารูปของพระนางออกไปจากบ้าน มิฉะนั้นทุกคนจะต้องตาย" หนูน้อยก็นำเรื่องไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของเด็กตกใจกลัวจนตัวสั่น สัญญาว่าจะทำตาม
หลังจากนั้น แม่พระก็บอกแก่หนูน้อยว่า พระนางต้องการให้เอารูปพระนางไปไว้ในวัดที่ตั้งอยู่ "ระหว่างวิหารซางตา มารีอา มายอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเทรัน" ในวันที่ 27 มีนาคม 1499 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ ก็ถูกอัญเชิญเข้าขบวนแห่อย่างสง่าไปที่วัดนั้น คือวัดนักบุญมาธิวอัครสาวก ในวันเดียวกันก็มีอัศจรรย์เกิดขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งแขนหักจนรักษาไม่ได้แล้ว กลับหายเป็นปกติ เพราะความช่วยเหลือจากพระมารดานิจจานุเคราะห์
รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ แขวนที่วัดนักบุญมาธิวนี้เป็นเวลา 300 ปี เป็นที่รู้จักและรักของคนทั่วไป มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการทำอัศจรรย์
แต่แล้วเดือนมิถุนายน 1798 ก็มาถึง นโปเลียน นำทัพเข้าย่ำกรุงโรม วัดนักบุญมาธิว เป็นวัดหนึ่งที่ถูกทำลายเสียจนหมดสิ้น และรูปแม่พระก็สูญหายไป
ซ่อนไว้เป็นเวลา 64 ปี ใคร ๆ ก็เกือบลืมหมดแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่ในอารามนักบวชคณะมหาไถ่ที่กรุงโรม ในระหว่างที่บรรดานักบวชกำลังหย่อนใจอยู่ คุณพ่อองค์หนึ่งกล่าวว่า ท่านได้อ่านพบว่า ที่ที่วัดนักบุญอัลฟอนโซตั้งอยู่นี้ เมื่อก่อนนี้เป็นวัดนักบุญมาธิวที่สลักหักพังไปแล้ว และที่ในวัดเคยมีรูป "พระมารดานิจจานุเคราะห์" ชื่อนั้นทำให้คุณพ่อมีคาแอล มาร์ซี (MICHAEL MARCHI) ตื่นเต้น ท่านจำได้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กนั้นท่านได้เคยช่วยมิสซา ที่ในวัดเล็กของคณะนักบวชเอากุสตีเนียน ชาวไอริช ชื่อวัด ซางตามารีอา อินโปสเตรูลา ท่านได้เห็นรูปแม่พระที่นั่น ภราดาแก่ ๆ องค์หนึ่งได้ชี้ให้ท่านดูบ่อย ๆ
ต่อมาอีกไม่กี่เดือน คุณพ่อฟรัสซิส โบลซี แห่งคณะเยซูอิต ได้เทศน์ที่ในวัด "เยซู" ถึงรูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ที่หายไป ท่านกล่าวว่า เป็นความปรารถนาของแม่พระที่จะให้รูปนี้ตั้งอยู่ที่วัด ระหว่างพระวิหาร ซางตามารีอา มายอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเตรัน ข่าวนี้ก็ถึงหูพวกนักบวชคณะมหาไถ่ และพากันเอาข้อความนี้ไปเสนอคุณพ่ออธิการของคณะ แต่ท่านรอต่อไปอีก 3 ปี ท่านต้องการให้แน่ใจเสียก่อน
ที่สุดในวันที่ 11 ธันวาคม 1865 ท่านก็นำเรื่องนี้ไปทูลพระสันตะปาปา ปีโอที่ 9 ในวันที่ 19 มกราคม 1866 รูปอัศจรรย์ของพระมารดานิจจานุเคราะห์ ก็ถูกนำมายังที่ที่เคยได้รับสิริมงคลมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง คือวัดนักบุญอัลฟอนโซ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระวิหารทั้งสอง อีก 3 เดือนต่อมารูปนี้ก็ตั้งไว้อย่างสง่า ในวันที่ 23 มิถุนายน 1867 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ก็ได้รับมงกุฏ เพราะเป็นรูปอัศจรรย์

พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส


พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส


ที่เมืองซีรากูส พระแม่เจ้ามิได้ประจักษ์มาเหมือนในสถานที่อื่นๆ ที่เมืองนี้พระนางมิได้พูด ได้แต่ร้องไห้โดยผ่านทางรูปปั้นธรรมดาๆรูปหนึ่ง ในบ้านอันต่ำต้อยของคนงานเกษตรกรรมคนหนึ่ง
เมืองซีรากูซา หรือ ซีรากุส (Syracuse) เป็นเมืองอยู่ในเกาะซิซิลี (Sicily) ทางใต้ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1953/พ.ศ. 2496 กรรมกรคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง อายุ 27 ปี ชื่อ อันเจโล ยานุสโซ (Janusso) แต่งงานกับ น.ส. อันโตนีนา จุสโต (Giusto) อายุ 20 ปี ในบรรดาของขวัญที่สองสามีภรรยาได้รับในวันแต่งงาน มีรูปแม่พระชี้ให้ดูดวงหทัยนิรมล เป็นรูปกลมรีทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ผู้ที่ให้ของขวัญชิ้นนี้คือ อันโตนีโอ น้องชายของ อันเจโล
อันโตนีนา มิใช่คนศรัทธาในเรื่องศาสนานัก ส่วนอันเจโลก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ในประเทศอิตาลีนั้น ใครๆก็ชอบมีรูปแม่พระไว้ในบ้าน ดังนั้นสองสามีภรรยที่แต่งงานใหม่ จึงแขวนรูปแม่พระที่อันโตนีโอให้ไว้ใกล้ๆเตียง
ต่อมาเดือนสิงหาคม อันโตนีนาตั้งครรภ์ แต่การคลอดจะเป็นไปตามปกติหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากอันโตนีนาป่วยเป็นโรคลมชักบ่อยๆ ทำให้หมดสติ มองไม่เห็นและพูดไม่ได้ชั่วขณะ บางครั้งสภาพป่วยของภรรยาทำให้อันเจโลเดือดดาล แล้วเขาก็หันไปโทษรูปแม่พระซึ่งแขวนอยู่ที่กำแพง อยากจะทุบให้แตกๆเสีย คืนวันที่ 29 สิงหาคม อาการของอันโตนีนากำเริบขึ้นอย่างน่ากลัว วันต่อมา อันเจโลต้องไปทำงาน จึงฝากภรรยาไว้กับน้องสะใภ้ชื่อกราเซีย (Grazia) เป็นภรรยาของน้องชายชื่อยูเซ็ปเป้
ราว 8.30 น. อันโตนีนาเริ่มทุเลาจากอาการชัก ซึ่งเป็นมาอย่างรุนแรงได้ 6 ช.ม.แล้ว เธอเริ่มมองเห็นชัด พลางกวาดสายตาไปทางรูปแม่พระก็บอกว่าเห็นน้ำตาไหลออกจากรูปปูนปลาสเตอร์นั้น กราเซีย น้องสะใภ้กับนางกอนแซ็ตตาแม่ของกราเซียคิดว่าเธอเพ้อ แต่เมื่อดูรูปแม่พระก็ตกใจ เห็นว่าน้ำตาคลออยู่ที่นัยน์ตาของรูปปั้นนั้น และไหลออกมาอย่างเนืองนอง
หญิงทั้งสองคุกเข่าลง แล้วร้องเรียกหญิงเพื่อนบ้าน มิช้าห้องน้อยๆของอันโตนีนา ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ละคนสามารถมอง พิจารณาอัศจรรย์ที่เกิดได้ น้ำตาของแม่พระไหลจนเปียกหมอนและผ้าปูที่นอน ต่อมาผู้ชายหลายคนก็มาถึงแสดงอาการไม่เชื่อ แต่ครู่เดียวก็ตกตะลึง เมื่อเห็นมหัศจรรย์ จึงคุกเข่าลงพลางสวดภาวนาด้วย
ต่อมาไม่นาน ถนนที่สองสามีภรรยาตระกูลยานุสโซอาศัยอยู่ ก็มีฝูงชนหลั่งไหลมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ละคนอยากมองให้เห็นกับตา จนเมื่อยูเซ็ปเป ยานุสโซกลับมาถึงบ้านต้องนึกถามในใจว่าเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นกับพวกพ้องของตน แต่เมื่อได้เห็นอัศจรรย์ เขาก็สวดด้วยแล้วไปบอกอันเจโล
ฝ่ายอันเจโลเมื่อได้ยินพูดถึงน้ำตาแม่พระ ก็เกรงว่า น้ำตาคงหมายถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับภรรยาป่วยของเขา แต่เมื่อกลับถึงบ้านเขาต้องตกตะลึง เห็นภรรยายืนอยู่สุขภาพสมบูรณ์ เขาคุกเข่าลงพนมมือ: “เหตุไรจึงร้องไห้ ข้าแต่พระแม่เจ้า เหตุไรจึงร้องไห้?”
จนถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงชนอยากเพ่งมองชมดูรูปปั้นที่ร้องไห้อย่างผิดปกติธรรมดา รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ฝูงชนก็ยังหลั่งไหลมาดูเหตุการณ์มหัศจรรย์ในความควบคุมของตำรวจ คนสอดรู้สอดเห็น คนเคลือบแคลงสงสัย ตลอดจนคนไม่เชื่อ ปะปนมากับคนที่มีความเชื่อ แต่แล้วทุกคนต้องยอมรับความจริงที่เห็นต่อหน้า: พระแม่เจ้าทรงกันแสงจริง!
แล้วทุกคนก็เริ่มร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจด้วย แม้ใจที่แข็งกระด้างที่สุดก็อ่อนลง และนักอเทวนิยมก็เริ่มภาวนา บางคนก็ใช้สำลีเก็บน้ำตาของพระแม่เจ้า ซึ่งบางครั้งบางคราว ก็หยุดร้องไห้แล้วก็เริ่มอีก

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม เขานำรูปแม่พระไปวางไว้ที่ถนน เพื่อให้ทุกๆคนเห็น
พระอัครสังฆราชบารันซินี (Baranzini) ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ตัดสินใจในทันทีให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน วันที่ 1 กันยายน นายแพทย์หลายคน พระสงฆ์องค์หนึ่ง นักเคมีคนหนึ่ง กับทหารหลายคน พิจารณารูปปั้นปูนปลาสเตอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ปูนปลาสเตอร์ของรูปปั้น เมื่อถูกน้ำไม่ละลายเลย จะใช้อุบายอะไรหลอกลวงก็ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้หลอดที่ฆ่าเชื้อแล้วเก็บน้ำตาที่ยังไหลอยู่ เมื่อเก็บน้ำตาดังนี้ได้ 19 หยดแล้ว พระแม่เจ้าก็หยุดร้องไห้ไปเลย ส่วนน้ำตาที่เก็บได้นั้นมีประมาณ 1 ลบ.ซม. เขาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ปรากฏว่าเป็นสารที่เหมือนกับน้ำตามนุษย์อย่างแท้จริง!
เมื่อได้รับความมั่นใจ พระอัครสังฆราชพร้อมด้วยนายกเทศมนตรีเมืองซีรากูซา ก็พากันมาถวายสักการะพระรูปแม่พระ โดยเฉพาะเมื่อการหายจากโรคและการกลับใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้น
วันที่ 19 กันยายน พระคุณเจ้าบารันซินีเอง นำพระรูปมาไว้บนแท่นหินอ่อนที่ตั้งขึ้นบนสนามเออรีปิด เพื่อให้ใครๆเคารพ


ตู้เก็บสำลีที่ซับน้ำตา



พระวิหารแม่พระกันแสง เมืองซีรากูส เกาะซิซิลี


ปอล เซเวียร์ ถอดความ
จากหนังสือแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 89 ปีที่ 15 กันยายน-ตุลาคม 1996/2539

แม่พระอะคิต้า (Our Lady of Akita) ประเทศญี่ปุ่น

แม่พระอะคิต้า (Our Lady of Akita) ประเทศญี่ปุ่น


ในปี 1973 พระนางพรหมจารีมารีอาได้ประทานสาร 3 ฉบับแก่ซิสเตอร์อักแนส แคตซูโก้ ซาซากาว้า (Sister Agnes Katsuko Sasagawa) ในเมืองอะคิต้า (Akita) โดยอาศัยรูปพระแม่มารีย์แกะสลักจากไม้ รูปสลักได้ฉายแสงสว่างเจิดจ้า กลายเป็นสิ่งมีชีวิต และพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะเพราะพริ้ง ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เทวดารักษาตัวได้ปรากฏกายสอนนักบวชหญิงสวดภาวนา รูปสลักไม้ซึ่งพูดภาษาคนได้ร้องไห้ 101 ครั้ง ในระยะเวลาหลายปี แล้วก็ยังมีเหงื่อไหลส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั้งห้อง โลหิตไหลจากบาดแผลเป็นรูปกางเขนบนมือขวา ประชาชนจำนวนแสนๆคนได้เป็นพยานเห็นเหตุการณ์เหล่านี้
ศาสดาจารย์ซากิซาก้า (Professor Sagisaka) ของคณะแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอะคิต้า(University of Akita) เป็นผู้วิเคราะห์โลหิต และน้ำตาจากรูปสลักไม้โดยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ และยืนยันว่าโลหิต น้ำตา และเหงื่อเป็นของมนุษย์จริงๆมาจากกลุ่มเลือด 3 ชนิด โอ (O) บี (B) และ เอบี (AB) ซิสเตอร์อักแนสก็มีบาดแผลเป็นรูปกางเขนบนฝ่ามือขวาของเธอ
ในปี 1981 ขณะหญิงชาวเกาหลีผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมะเร็งในสมอง คุกเข่าวอนขอต่อหน้ารูปแม่พระ ได้รับการรักษาให้หายจากโรคทันที นายแพทย์ตองวูคิม ประจำโรงพยาบาลเซนต์เปาโล (St. Paul Hospital) ในกรุงโซล (Seoul) และคุณพ่อ ธิเซน (Fr. Theisen) ประธานศาสนศาลแห่งสังฆมณฑลโซลได้ยืนยันมหัศจรรย์นี้ มหัศจรรย์อันที่สอง คือซิสเตอร์อักแนสได้หายจากโรคหูหนวก
ในเดือนเมษายน 1984 หลังจากพระสังฆราช ยอห์น โชจิโร อิโต แห่งนิอิกาต้าประเทศญี่ปุ่น (Bishop John Shojiro Ito of Niigata, Japan) ทำการสอบสวนอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายปี ท่านประกาศว่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในเมืองอะคิต้าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ และออกคำสั่งให้ทั้งสังฆมณฑลของท่าน แสดงความเคารพบูชาต่อพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองอะคิต้า (Holy Mother of Akita) ท่านกล่าวว่า "สารของอะคิต้าเป็นสารของฟาติมา"
ในเดือนมิถุนายน 1988 นครวาติกัน พระคาร์ดินัลยอเซฟ แรทซิงเยอร์ (Joseph Cardinal Ratzinger) ประธานสมณกระทรวงว่าด้วยข้อความเชื่อ ได้พิจารณาลงความเห็นว่าเหตุการณ์และสารแห่งเมืองอะคิต้าเชื่อถือได้
สารฉบับแรกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1973
"ลูกรักและนวกนารีของแม่ ลูกได้นบนอบเชื่อฟังแม่ในการละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อทำตามคำขอร้องของแม่ หูของลูกยังเจ็บอยู่ใช่ไหม? แน่นอน โรคหูหนวกของลูกจะหายขาด จงมีความอดทน นี่เป็นการพลีกรรมสุดท้าย ลูกต้องเจ็บปวดทรมานด้วยบาดแผลบนฝ่ามือของลูกใช่ไหม?" จงสวดภาวนาชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งมวล ทุกคนในคณะนี้เป็นลูกที่รักยิ่งของแม่ ลูกตั้งใจสวดบทผู้รับใช้แห่งศีลมหาสนิท (Handmaids of the Eucharist) ใช่ไหม? ให้เราสวดบทนี้พร้อมกัน
พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้า
ผู้ทรงประทับอยู่ในศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
ข้าพเจ้าขอถวายร่างกายและวิญญาณของข้าพเจ้าทั้งครบ
เป็นหนึ่งเดียวกับพระหฤทัยของพระองค์
เพื่อเป็นเครื่องบูชาทุกเวลาบนพระแท่นทั่วโลก
และเพื่อสรรเสริญพระบิดาและวิงวอนให้พระราชัยของพระองค์จงมาถึง
โปรดรับการถวายตัวอันสุภาพถ่อมตนของข้าพเจ้า
โปรดใช้ข้าพเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์
เพื่อพระสิริโรจนาของพระบิดาและการกอบกู้วิญญาณ
มารดาพระเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าพลัดพรากจากพระบุตร
โปรดปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าเป็นลูกรักอย่างหวงแหนของพระแม่ อาแมน"
"จงสวดมากๆเพื่อ พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์"
สารฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 1973
"ลูกรักและนวกนารีของแม่ ลูกรักพระเยซูเจ้าใช่ไหม? ถ้าลูกรักพระองค์ จงตั้งใจฟังสิ่งที่แม่กำลังพูดกับลูก สำคัญมากๆ ลูกจะต้องบอกแม่อธิการด้วย
ในโลกนี้มนุษย์มากมายทำร้ายพระเยซูเจ้า แม่ต้องการให้คนบรรเทาพระทัยพระองค์เพื่อลดพระพิโรธของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระบุตรและแม่ปรารถนาให้คนยอมรับความทุกข์ยาก และความยากจนเพื่อชดเชยบาปและความอกตัญญูของมนุษย์
เพื่อให้ทั้งโลกรู้พระพิโรธของพระองค์ พระบิดาเจ้าสวรรค์กำลังเตรียมลงโทษมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง พร้อมด้วยพระบุตรแม่ได้เข้าแทรกแซงหลายๆครั้ง เพื่อระงับพระพิโรธของพระบิดา แม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติที่กำลังมาโดยถวายแด่พระองค์พระมหาทรมานของพระบุตรบนไม้กางเขน พระโลหิตอันประเสริฐของพระองค์ และลูกรักของแม่ที่บรรเทาพระทัยพระองค์ และจัดตั้งกลุ่มทำพลีกรรมถวายแด่พระองค์ คำภาวนา การใช้โทษบาป และการพลีกรรมสามารถลดพระพิโรธของพระบิดา แม่ต้องการสิ่งนี้จากคณะของลูก ขอให้รักความยากจน ความศักดิ์สิทธิ์ และการสวดภาวนาเพื่อชดเชยบาปของคนอกตัญญูและคนทุราจารศีลศักดิ์สิทธิ์ จงสวดบทผู้รับใช้แห่งศีลมหาสนิทโดยเข้าใจความหมายของบทภาวนานี้ แล้วนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถวายทุกสิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานแก่เราเพื่อชดเชยบาป ให้ทุกคนทำตามความสามารถ และเพียรถวายตัวทั้งครบแด่พระเยซูเจ้า

แม้แต่ในสถาบันฆราวาส การสวดภาวนาก็เป็นสิ่งจำเป็น คนที่ปรารถนาอยากสวดภาวนากำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่ม รูปแบบไม่สำคัญ ขอให้เราสัตย์ซื่อและเร่าร้อนในการภาวนาเพื่อบรรเทาพระทัยพระอาจารย์ของเรา"

สารฉบับที่ 3 และสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1973
". . . ถ้ามนุษย์ไม่ยอมเป็นทุกข์ถึงบาปและกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ พระบิดาจะลงโทษมนุษย์ทั้งโลกอย่างน่าหวาดกลัวสยองขวัญ โทษครั้งนี้จะหนักยิ่งกว่าครั้งน้ำมหาวินาศท่วมโลก ชนิดที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ไฟจะหล่นจากฟ้า มนุษย์ส่วนใหญ่ทั้งคนดีและคนชั่วจะตายทันที ไม่ยกเว้นพระสงฆ์หรือผู้ชอบธรรม คนที่รอดตายจะโศกเศร้าเสียใจและอิจฉาคนตาย อาวุธเดียวที่เหลืออยู่สำหรับลูก คือ สายประคำและเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนของพระบุตร ทุกๆวันจงสวดสายประคำ และอุทิศให้พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ ปิศาจจะบ่อนทำลายพระศาสนจักร พระคาร์ดินัลจะขัดแย้งกันเอง พระสังฆราชจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน พระสงฆ์ที่เคารพนับถือแม่จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และต่อต้านจากเพื่อนพระสงฆ์ด้วยกัน โจรผู้ร้ายจะเข้าไปในวัดวาอารามทำลาย และทุราจารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรจะเต็มไปด้วยผู้ที่ยอมรับการประนีประนอม ปิศาจจะกดดันพระสงฆ์และนักบวชหลายๆองค์ให้ลาออกจากการรับใช้พระเยซูเจ้า
จิตชั่วร้ายจะเล่นงานคนที่ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างหนักหน่วง เมื่อคิดถึงวิญญาณมากมายที่จะต้องพินาศไป แม่รู้สึกทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งนัก ถ้าบาปเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและความมหันต์ ก็จะไม่มีการให้อภัย
. . . จงสวดสายประคำบ่อยๆ แม่ผู้เดียวเท่านั้นสามารถช่วยลูกให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆซึ่งกำลังจะมา คนที่ฝากความวางใจไว้กับแม่จะรอด"
ซิสเตอร์อักแนสกับเทวดา
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 1981 ซิสเตอร์อักแนสได้รับสารจากอารักขาเทวดา อธิบายว่า ทำไมรูปสลักไม้ได้ร้องไห้ 101 ครั้ง? คำอธิบายนี้ตรงกับข้อความในปฐมกาล 3:15 (Genesis)
"เราจะให้เจ้าและสตรีเป็นอริกัน ลูกของเจ้าและของสตรีเป็นอริกัน ลูกของสตรีจะขยี้หัวเจ้า เจ้าจะฉกเท้าของเขา"
"ตัวเลข 101 หมายความว่า โดยสตรีคนหนึ่งบาปได้เข้ามาในโลก และโดยสตรีอีกคนหนึ่งการกอบกู้วิญญาณได้เข้ามาในโลก เลข 0 ที่อยู่ระหว่างเลข 1 สองตัว หมายถึงพระเป็นเจ้าผู้สถิตชั่วนิรันดร ตลอดกาลไม่มีวันจบสิ้น เลขหนึ่งตัวแรกแทนเอวาและเลขหนึ่งตัวหลังแทนพระนางพรหมจารี มารีอา"
การประจักษ์และเหตุการณ์ในเมืองอะคิต้าประเทศญี่ปุ่นเกิดขึ้นรอบๆรูปแม่พระแกะสลักจากไม้ สูงประมาณ 3 ฟุต มีพระพักตร์เหมือนสตรีญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในโบสถ์ ผู้รับใช้ศีลมหาสนิทแห่งพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับซิสเตอร์อักแนส ซาซากาว้า หนึ่งในนักบวชหญิงที่อยู่ในคอนแวนต์ แม่พระได้ประทานสารแก่เธอ ขณะนั้นเธอป่วยหนัก หมอต้องผ่าตัดเธอประมาณ 20 ครั้ง เมื่อการประจักษ์เริ่มขึ้น หูเธออยู่ในอาการขั้นวิกฤติเกือบไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น วันที่ 12 มิถุนายน 1973 เมื่อเธอเปิดตู้ศีลเพื่อเฝ้าศีลมหาสนิท ลำแสงสว่างจ้าได้ฉายออกมาจากตู้ศีล ทั้งโบสถ์สว่างไสว เหตุการณ์นี้ได้เกิดเป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน เมื่อซิสเตอร์ถามเพื่อนนักบวชด้วยกันว่าพวกเขาได้มองเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ทุกคนตอบว่าไม่ได้เห็นอะไรเลย
ในวันฉลองพระคริสตกายา (Corpus Christi) แสงเจิดจ้านี้ก็ได้พวยพุ่งออกมาจากตู้ศีล เมื่อซิสเตอร์บอกพระสังฆราชแห่งอะคิต้าผู้มาเยือนอาราม ณ โอกาสนั้น ท่านได้แนะนำเธอให้เก็บเรื่องทั้งหมดไว้ในใจ ในปีเดียวกันก่อนวันฉลองพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Heart) อารักขาเทวดาได้ปรากฏกายให้ซิสเตอร์ซาซากาว้าเห็น และสอนเธอสวดบทภาวนาฟาติมาหลังลูกประคำแต่ละทศ ในปี 1973 บทนี้ไม่มีใครรู้จักสวดในประเทศญี่ปุ่น ซิสเตอร์รู้สึกลำบากใจ แต่เธอก็เริ่มสวด
ในสมัยปัจจุบันบทภาวนานี้ได้แพร่หลายทั่วประเทศญี่ปุ่น
" ข้าแต่พระเยซูเจ้า
โปรดอภัยบาปข้าพเจ้า
โปรดช่วยข้าพเจ้าพ้นจากไฟนรก
โปรดนำวิญญาณทั้งมวลสู่สวรรค์
โดยเฉพาะวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด พระเจ้าข้า"

คำภาวนาสำหรับพระสันตะปาปา
ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงดูแลสอดส่องความทุกข์สุขของเรา
โปรดคุ้มครองอารักขาพระสันตะปาปา บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ผู้ได้รับการแต่งตั้งสืบต่อจากนักบุญเปโตร
ท่านเป็นหินที่พระองค์ได้ตั้งพระศาสนจักร
โปรดให้พระสันตะปาปาเป็นจุดรวมและพื้นฐานแห่งการเป็นหนึ่งเดียว
ในความเชื่อและความรัก
โปรดประทานตามคำวิงวอนของเรา
ทั้งนี้ อาศัยพระบารมีพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์
ผู้ซึ่งสถิตกับพระองค์และพระจิตตลอดนิรันดร อาแมน
คำภาวนาสำหรับพระสงฆ์
ข้าแต่พระเป็นเจ้า พระทัยของพระองค์ทรงเมตตาอย่างไม่มีขอบเขต
โปรดอวยพระพรพระสงฆ์ทุกองค์ ผู้แทนพระองค์บนแผ่นดินนี้
ให้เขาทั้งหลายระลึกเสมอถึงพระหรรษทาน ซึ่งหลั่งลงมาเมื่อเขาทั้งหลายประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ให้เขาทั้งหลายรักพระองค์เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ถวายบูชามิสซาบนพระแท่น
โปรดประทานความเข้มแข็งแก่พระสงฆ์ทุกองค์ ผู้เป็นชุมพาบาลเอาใจใส่เลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์
โปรดประทานพระหรรษทานแก่เขาทั้งหลายเมื่อความเชื่อคลอนแคลน
เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้เป็นแบบฉบับในการยืนยันความจริง และนำเราตรงไปหาพระองค์
ทั้งนี้ อาศัยพระบารมี พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระสงฆ์ชั่วนิรันดร
และสถิตกับพระองค์และพระจิตตลอดนิรันดร อาแมน
โปรดระลึกเถิด
โอ้ พรหมจารีมารีอา ผู้โอบอ้อมอารี
แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยได้ยินเลยว่า
ผู้ที่มาพึ่งท่าน มาขอความช่วยเหลือคุ้มครองจากท่าน ถูกท่านทอดทิ้ง
ข้าพเจ้าวางใจดังนี้ จึงวิ่งมาหาพระมารดา พรหมจารีแห่งพรหมจารีทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคนบาปคร่ำครวญเฉพาะพระพักตร์ของท่าน 

พระมารดาแห่งพระวจะนาถ
โปรดอย่าเมินต่อวาจาของข้าพเจ้า แต่จงสดับฟังและโปรดด้วยเถิด อาแมน

ตำนานแม่พระฉวีดำ Black Madonna




ภาพเขียนแม่พระฉวีดำอุ้มพระกุมาร
ถ่ายจากภาพจริง

เป็นภาพวาดพระนางมารีย์อุ้มพระกุมารเยซูในอ้อมพระหัตถ์ซ้าย ขนาดกว้าง 82 ซม. ยาว 122 ซม. พระรูปนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ถึงความศักดิ์สิทธิ์ และมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 
คนเชื้อชาติโปแลนด์ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพอยู่นอกประเทศ หรือชาวโปแลนด์ในประเทศก็ตาม ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักชื่อ ตำบล "จัสนา โกรา" [Jasna Gora] ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของแม่พระฉวีดำนั่นเอง ไม่เคยมีรูปแม่พระใด ๆ ที่มีสีผิวคล้ำเหมือนกับรูปแม่พระฉวีดำ ชาวยุโรปซึ่งเป็นคนผิวขาวจึงได้ขนานนามพระรูปนี้ว่า "Black Madonna" และเพราะความศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนอัศจรรย์ที่แสดงปกป้องประเทศโปแลนด์จากการรุกรานกันเอง ทั้งในและนอกอาณาจักร พระเจ้าจอห์น คาซิมีร์ [King John Casimir] จึงได้ทรงประกาศให้ "แม่พระฉวีดำเป็นราชินีแห่งราชวงศ์" ให้เป็นที่เคารพสักการะของชาวโปแลนด์ในศตวรรษที่ 17 วัดในสำนักสงฆ์คณะ Paulite แห่งจัสนา โกรา ในเมืองเชสโตโชวา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้ จึงกลายเป็นสถานที่ให้ผู้แสวงบุญจากทุกมุมโลก ได้มาสักการะขอพระพรจากแม่พระฉวีดำ

สาเหตุที่พระฉวีเป็นสีดำ เพราะเขม่าจากควันเทียนที่ผู้ศรัทธาจุดขณะสวดต่อหน้าพระรูป
พระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้มีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นภาพที่นักบุญลูกาได้วาดไว้บนแผ่นไม้ที่ต่อกัน 3 แผ่น และไม้ทั้งสามแผ่นนี้ได้มาจากโต๊ะที่ใช้อยู่ในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ (เยซู มารีอา ยอแซฟ) ที่เมืองนาซาเร็ธ ตามตำนานเชื่อกันว่า เป็นโต๊ะที่พระเยซูเจ้า และนักบุญยอแซฟใช้ทำงานช่างไม้ และใช้เป็นโต๊ะอาหารของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ด้วย พระรูปนี้มาปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด เป็นแต่มีบันทึกว่า ในปี ค.ศ. 326 นักบุญเฮเลนได้พบภาพดังกล่าว ขณะที่พระนางเดินทางมาแสวงบุญที่กรุงเยรูซาเลม ต่อมาท่านได้มอบภาพพระแม่ฉวีดำให้กับบุตรชาย (จักรพรรดิ์คอนสแตนติน) ซึ่งได้สร้างสักการะสถานที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล เพื่อประดิษฐานพระรูปต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ถูกมอบให้เจ้าชายลีโอแห่งรูเธเนีย โดยประดิษฐานอยู่ในพระราชวัง จนกระทั่งศตวรรษที่ 11 รูเธเนียได้ถูกศัตรูบุกรุก กษัตริย์จึงได้สวดภาวนาต่อพระรูป ขอให้ทรงช่วยเหลือกองทัพเล็กๆของพระองค์ ผลก็คือความมืดได้แผ่เข้าปกคลุมบริเวณที่ตั้งของกองทัพศัตรู และในท่ามกลางความสับสนนั้นเอง ศัตรูก็ได้โจมตีกันเอง รูเธเนียจึงปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นในสมัยโบราณ ไม่ว่าใครจะออกรบ ก็จะต้องนำกองทัพมาสวดภาวนา วิงวอนขอต่อพระพักตร์ของแม่พระฉวีดำก่อนเสมอ และเมื่อรบชนะกลับมาก็จะนำสิ่งของมีค่า ทั้งที่เป็นของตนเองและที่ยึดมาได้จากศัตรู มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่แม่พระฉวีดำ
ต่อมาในปี 1382 ซึ่งเป็นสมัยของเจ้าชาย Ladislaus พวกTartar ได้โจมตีพระราชวังที่ประดิษฐานพระรูป และธนูดอกหนึ่งได้แทงทะลุพระรูปบริเวณพระศอ เจ้าชายจึงได้นำพระรูปไปประดิษฐานที่ Mount of Light (Jasna Gora)ในประเทศโปแลนด์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามพระสุบินของพระองค์ ทุกวันนี้สมบัติของแม่พระฉวีดำ ที่อยู่ที่วัดในสำนักสงฆ์คณะ Paulite แห่ง จัสนา โกรา นั้นมีมากมายมหาศาล
ในปี ค.ศ.1430 พระรูปถูกทำลายบางส่วน โดยกลุ่มโจรพวกฮัสไซท์ จากแคว้นโบฮิเมียและโมราเวีย ที่ได้เข้ามารุกราน เพื่อหวังจะปล้นเอาสมบัติล้ำค่าของวัด ในระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของปี ค.ศ.1430 แต่เมื่อค้นหาทรัพย์สมบัติไม่ได้ตามที่ต้องการ จึงได้ปล้นเอาศาสนภัณฑ์ที่ใช้ในพิธีกรรมไป แล้วดึงพระรูปแม่พระฉวีดำ [Madonna] ลงมาจากแท่นบูชา แกะเอาอัญมณี และเครื่องทองที่ประดับพระรูปไปจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ พวกโจรยังได้ใช้ดาบกรีดพระพักตร์แม่พระฉวีดำ ปรากฏเป็นทางยาวตลอดแก้มขวา แล้วทุบพระรูปจนแตกหัก แต่ก่อนที่พวกโจรจะทำลายได้มากกว่านั้น เขาได้ล้มลงสิ้นใจด้วยความเจ็บปวดทรมาน รอยกรีดที่พระพักตร์ปรากฏเป็นสีแดงคล้ายรอยเลือดเห็นได้จนทุกวันนี้ พระรูปที่ชำรุดเสียหายนี้ ได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่ศาลาประชาคมเมืองคราโค๊ฟ
เมื่อบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ ก็ได้มีการซ่อมแซมพระรูปแม่พระฉวีดำใหม่ ช่างฝีมือชั้นเยี่ยมสมัยนั้น เช่น ศิลปินจากสำนัก "รูเธเนียน" และ "อิมพีเรียล ฮับส์เบอร์ก" ต่างพยายามลอกแบบจากต้นฉบับเดิมที่ชำรุดเสียหาย พวกเขาวาดได้งดงามเหมือนของเดิมบนผืนผ้าใบ ด้วยขนาดและสีสันอย่างเดียวกัน พอวาดเสร็จ ปรากฏว่า สีที่วาดไว้ได้ไหลเยิ้มจนเลอะเทอะไปหมดทั้งภาพ ได้มีการพยายามที่จะลอกแบบเพื่อวาดภาพให้เหมือนเดิมอยู่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากเมื่อวาดภาพเสร็จ แม้จะเหมือนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน วันรุ่งขึ้นสีก็จะไหลเลอะเทอะอีก นับเป็นความมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งประการหนึ่ง
การซ่อมแซมพระรูปแม่พระฉวีดำจึงต้องกลับมาหาของเดิม คือนำแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเข้ากับขนาดเท่าเดิม ซ่อมชิ้นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกหักเข้าด้วยกัน รวมทั้งสีต่าง ๆ จากรูปเดิมที่ยังเหลืออยู่บนแผ่นไม้ จนกระทั่งปรากฏเป็นพระรูปแม่พระฉวีดำอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ทางการได้นำพระรูปนี้ไปประดิษฐานยังพระแท่นเดิมในเมืองเชสโตโชฟา
พระรูปแม่พระฉวีดำ มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือเช่นเดียวกับที่แม่พระประจักษ์ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวโปแลนด์ ทรงปกป้องประเทศมิให้สูญสลายสิ้นชาติ แม้จะเหลืออาณาเขตเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งเท่านั้น
พระรูปนั้นงดงามด้วยฝีมือวาด และเครื่องทองตลอดจนอัญมณีที่ประกอบเป็นฉลองพระองค์ ประดับแพรวพราวด้วยเพชรนิลจินดา และมงกุฏล้ำค่าที่ประดิษฐานบนพระเศียรของแม่พระและพระกุมาร ฉลองพระองค์ดังกล่าวมีด้วยกัน 5 ชุด ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชุด คือ ฉลองพระองค์ที่ได้ชื่อว่า "เครื่องทรงเพชร" ประดับด้วยสิ่งมีค่าพระราชทานจากองค์กษัตริย์และราชวงศ์สายสกุลต่าง ๆ ในยุโรปสมัยก่อน ส่วนอีกชุดหนึ่ง คือ "เครื่องทรงทับทิม" เพราะมีทับทิมเม็ดใหญ่ประดับอยู่ด้วย ฉลองพระองค์ชุดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ฉลองพระองค์แห่งความซื่อสัตย์" เนื่องจากมีแหวนแต่งงานเป็นร้อย ๆ วงที่คู่สามีภรรยานำมาถวายแด่แม่พระ เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ต่อกันระหว่างเขาทั้งสอง
ใครก็ตาม ไม่ว่าศิลปินหรือชาวบ้านธรรมดา ๆ ทุกคนที่ได้ไปเห็นพระรูปแม่พระฉวีดำ นอกจากจะชื่นชมกับผลงานในเชิงศิลปะแล้ว ยังต้องยอมรับกันว่า พระพักตร์ที่สง่างามและสงบนิ่ง บันดาลให้เกิดความศรัทธาขึ้นในจิตใจได้อย่างประหลาด และอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ว่าตนกำลังยืนอยู่บนธรณีประตูระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ และยิ่งจ้องมองดูก็คล้ายกับว่า พระรูปนั้นทรงมีชีวิตที่มีทั้งพระคุณและความสง่างามน่าเกรงขาม
เรียบเรียงจาก "The Shrine of the Black Madonna at Czestochowa" และ " TheCultural Heritage of Jasna Gora"
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

27 มีนาคม 2555

พระแม่ทรงประจักษ์ ที่บันเนอ สังฆมณฑลลิเอช์ เบลเยี่ยม


พระแม่ทรงประจักษ์ ที่บันเนอ สังฆมณฑลลิเอช์ เบลเยี่ยม

ค.ศ.1933 แม่พระทรงประจักษ์ ที่บันเนอ
ปี 1933 หลังจากการประจักษ์ครั้งสุดท้ายที่โบแรงได้ 12 วัน …ที่หมู่บ้านชาวเบลเยี่ยมเล็กๆ ประมาณ 100 ครอบครัว พวกเขามีอาชีพเลี้ยงสัตว์ และเพาะปลูกในที่ดิน ที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของโดยเฉพาะ แต่เป็นของกลางสำหรับคนยากจน อยู่อาศัยร่วมกัน
ห่างจากวัด 1 กม. มีครอบครัวหนึ่งที่ยากจนมาก หัวหน้าครอบครัวคือนายจูเลียน เบโก เป็นกรรมกรที่ซื่อตรง ภรรยาต้องตรากตรำทำงานให้การเลี้ยงดูลูกๆ ถึง 7 คน ด.ญ. มารีแอ็ต เบโก คนหัวปี อายุ 12 ขวบ เกิดวันที่ 25 มีนาคม 1921 ตรงกับวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวันแม่พระรับสาร เธอไม่ได้เรียนหนังสือหรือเรียนคำสอนมากนัก เธอไม่ได้ไปวัด และคงจะยังมิได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกด้วย เป็นเด็กรักสงบ ชอบครุ่นคิดและไม่ฉลาดนัก

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ตอนค่ำ 19.00 น. ขณะที่มารีแอ็ตมองออกไปทางหน้าต่าง ก็แลเห็นแสงสลัวๆ และต่อมาก็ "แลเห็นชัด เป็นภาพสตรีผู้หนึ่ง มีแสงเป็นประกายกำลังยืนและมองมายังเธอ พลางยิ้มให้ " เป็นสตรีสาวงดงามมาก สวมอาภรณ์สีขาวยาวลงมาคลุมเท้าซ้าย, ส่วนเท้าขวาเปลือยมีกุหลาบทองคำประดับไว้ดอกหนึ่ง, มีผ้าคลุมศีรษะผืนใหญ่, คาดรัดปะคดสีน้ำเงิน ตอนปลายแขนขาวมีสายประคำสีขาวห้อยอยู่ ทุกสิ่งที่แลเห็นนั้นรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์" ผู้ที่ประจักษ์มาทำสัญญาณให้เข้าไปหา แต่มารดาของเธอห้ามและปิดประตูใส่กุญแจไว้วันที่ 18 มกราคม พระนางพรหมจารีกลับมาอีก และกล่าวกับหนูน้อยถึงน้ำพุแห่งหนึ่ง
วันที่ 19 มกราคม มารีแอ็ต ถามว่า "พระนางคือผู้ใด?"
คำตอบคือ "ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" และอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับน้ำพุที่กล่าวถึงในวันก่อนก็ได้รับคำตอบว่า "น้ำพุนี้มีไว้สำหรับทุกชาติ…เพื่อบรรเทาผู้เจ็บป่วย"

วันที่ 20 แม่พระทรงขอให้สร้างวัดน้อยขึ้นหลังหนึ่ง..จากนั้นการประจักษ์ก็หยุดไป…
จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ หนูมารีแอ็ตรู้สึกผิดหวังบ้าง แต่ทุกค่ำไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไร เธอจะสวดสายประคำรออยู่ จนถึงวันนั้น ตรงกับวันครบรอบปีที่ 75 แห่งประจักษ์ของแม่พระครั้งแรกที่เมืองลูร์ด การประจักษ์จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ พระนางทรงกล่าวแก่มารีแอ็ตว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก"
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พระนางพรหมจารีทรงบอกความลับข้อหนึ่งแก่มารีแอ็ต "หนูจะต้องไม่บอกเรื่องนี้แก่ใครเลย แม้แต่กับคุณพ่อหรือคุณแม่…"
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ แม่พระทรงแนะให้มารีแอ็ตสวดภาวนามากๆ
และในวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงยืนยันกับเธอว่า
"ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า, จงสวดภาวนามากๆ ลาก่อนนะ"
สภาพเรียบๆ ที่ไม่มีพิธีรีตองในการประจักษ์ที่บันเนอ ชวนชาวเราให้คิดถึงสภาพที่นาซาแร็ธ ซึ่งพระนางพรหมจารีเจริญชีวิตเป็นคนยากจน ท่ามกลางพวกคนยากจน …


แต่ครั้งนี้พระนางประจักษ์มาในยุคที่คนจนไม่อยากยอมรับสภาพของตน และต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง, พระนางเสด็จมาในขณะที่ชนหมู่มากกำลังถูกฉุดลากไปสู่สิ่งที่ผิด และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เข้าไปหานั้น คือยาบำบัดความทุกข์ของพวกตนในการยึดถือลัทธิการปฏิวัติ พระนางประจักษ์ที่บันเนอ เพื่อเตือนให้เราทราบว่า พระนางแต่ผู้เดียว สามารถขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากต่างๆ ได้ เพราะพระนางทรงเป็นคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานทั้งหลาย พระนางทรงประกาศว่า
"ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" แล้วตรัสต่อไปว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ร้อน"

และที่สุดในการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงเตือนให้ระลึกว่า
"พระนางคือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่มีสิทธิแจกจ่ายขุมทรัพย์สวรรค์แก่ชาวเราทั้งหลาย
โดยทรงกล่าวว่า "ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า จงสวดภาวนามากๆ เถิด"
พระสังฆราชแห่งเมืองลีเอช ประกาศรับรองการประจักษ์นี้ เมื่อ วันที่ 19 มีนาคม 1942
ในปัจจุบันการถวายคาราวะกิจแด่แม่พระที่บันเนอ ได้แผ่ไปอย่างกว้างขวาง มีผู้คนจากแดนไกลมาจาริกแสวงบุญกันมากมาย คนยากจนจำนวนล้านที่กระจายอยู่ตามทวีปต่างๆ ทั้ง 5 ทวีป ได้มาร่วมสวดภาวนาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่นนี้แหละจะเห็นได้ว่า บันเนอ มีลักษณะของความเป็นสากล ดังที่พระนางพรหมจารีทรงประกาศว่า "น้ำพุนี้มีไว้สำหรับชนทุกชาติ"
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

แม่พระทรงประจักษ์ ที่โบแรง สังฆมณฑลนามูร์ เบลเยี่ยม


แม่พระทรงประจักษ์ ที่โบแรง สังฆมณฑลนามูร์ เบลเยี่ยม

ค.ศ.1932 แม่พระทรงประจักษ์ ที่โบแรง
โบแรงเป็นเมืองเล็กๆ บนเนินป่าห่างจากยีเวต์ 5 กิโลเมตร บนถนนจากนามูร์ไปยังบุยยอง ในปี 1932 ซึ่งห่างไม่ถึง 20 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 พระนางพรหมจารีได้ประจักษ์มาในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 1932 ถึงวันที่ 3 มกราคม 1933
วันแรก คือวันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน เด็ก 5 คน ได้เห็นพระนางพรหมจารีประจักษ์มา คือเด็กในครอบครัววัวแซง 3 คน ได้แก่ แฟรนังด์ อายุ 15 ปี, อัลแบรต์ 11 ขวบ, ยีลแบรต์ 13 ปี และเด็กในครอบครัวแกมเบรอ อีก 2 คน คือ อังเดร 15 ปี และยิลแบรต์ 9 ขวบ
ภาพนิมิตที่สุกใสนั้นเป็นสีขาวเดินมาบนสะพานข้ามทางรถไฟซึ่งจะไปยังบ้านเด็กประจำของนักบวชหญิงคณะหนึ่ง
วันที่ 3 "พระนางมารีอา ไม่ปรากฏตัวมาอย่างลอยๆ อีกแล้ว คราวนี้ทรงปรากฏมาเกือบติดพื้นดินบริเวณพุ่มต้นโอเบปิน พระนางพูดกับเด็กๆอย่างยิ้มแย้ม" หลายๆ ครั้งในระหว่างประจักษ์ เด็กๆจะคุกเข่าลงพลางร้อยว่า "นั่นไง" แต่หัวเข่าของเขาไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดเลย หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว ผู้คนจึงมาจากทั่วทุกสารทิศ และในวันพฤหัสที่ 8 ธันวาคม ฝูงชนก็เป็นพยานที่สำคัญให้แก่เด็ก ตลอดเวลา 10 นาที แห่งประจักษ์มาครั้งนี้ นายแพทย์ได้ทดสอบเด็กหลายครั้ง เช่น จุดไม้ขีดเผา แต่เด็กๆไม่รู้สึกเลยและไม่มีอะไรเหลือเป็นร่องรอยเลยว่าถูกไฟไหม้พระนางพรหมจารี ตอบคำถามของเด็กว่า พระนางคือ พระนางพรหมจารีผู้นิรมล พระนางปรารถนาให้มีโบสถ์หลังหนึ่งสำหรับผู้มาจาริกแสวงบุญ พระนางขอให้สวดภาวนามากๆ ตั้งแต่การประจักษ์วันที่ 29 ธันวาคม เป็นต้นไป พระนางมีหัวใจทองอยู่บนหน้าอก มีรังสีส่องสว่างยาวประมาณ 10 ซม. พุ่งออกมารอบๆ หัวใจทองพระนางมารีย์แห่งโบแรง จึงได้สมญานามว่า "พระนางพรหมจารีหัวใจทอง"
วันอังคารที่ 3 มกราคม พระนางพรหมจารี ปรากฏมาต่อหน้าฝูงชนประมาณ 30,000 คน เป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้ายเพื่ออำลาเด็ก และฝากความลับไว้แก่ยิลแบร์ต เดอแกมเบรอ, อัลแบรต์ วัวแซง และยิลแบร์ต วัวแซง ความลับ ซึ่งแม้ขณะนี้ ก็ยังมิได้มีการเปิดเผย แล้วพระนางตรัสกับยิลแบร์ต วัวแซงว่า "ฉันจะทำให้คนบาปกลับใจ ลาก่อนนะ!" และตรัสกับอังเดร เดอแกมเบรอว่า "ฉันคือ มารดาพระเจ้า, ราชินีแห่งสวรรค์, จงสวดภาวนาเสมอๆ ลาก่อนนะ!"
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1943 คณะกรรมการสอบสวน แห่งสังฆมณฑลนามูร์ ซึ่งมีพระคุณเจ้าชารือเป็นประธาน ได้รับรองว่าการประจักษ์เป็นเรื่องจริง และอนุญาตให้ถวายคารวกิจแด่พระแม่เจ้าแห่งโบแรงได้ จากนั้นสารของพระแม่เจ้าแห่งโบแรงก็แพร่กระจายทั่วไป มิใช่แต่ในเบลเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังแผ่ไปที่ฮอลันดาและนอกทวีปยุโรปด้วย การประจักษ์นี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับการประจักษ์ที่ฟาติมา และที่ลูร์ด

บันทึกด้วยมือของ เจ ลามอตต์ประธานกิตติมศักดิ์ ศาลสถิตยุติธรรมแห่งเมืองดีนังต์
วันที่ 4 มกราคม 1933 สิ่งที่ผมได้เห็นและได้ยินที่โบแรงในเย็นวันอังคารที่ 3 มกราคม 1933 วันนั้น ผมไปที่โบแรงเป็นครั้งแรก หลังจากเด็กทั้ง 5 คน ได้รับการประจักษ์อย่างน้อยก็ 30 ครั้งแล้ว ผมไปพร้อมกับ นายชอฟเฟิน ผู้สังเกตการณ์ของพระเจ้าแผ่นดิน, นายเอมีล โลรังต์ รองประธานศาลสถิตยุติธรรม และนางโลรังต์พร้อมกับบุตรชายชื่อ ปิแอร์ เราถึงที่นั่นเวลา 5 โมงเย็น ท่ามกลางแถวยาวของรถบัส รถส่วนตัวและฝูงชน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกะประมาณว่า มีจำนวนถึง 20,000 คน บริเวณริมทางรถไฟเต็มไปด้วยผู้คนที่สนใจมาดูการประจักษ์ แม้สารวัตรตำรวจจะประกาศขอทางให้พวกเราสักเท่าใดก็ตาม พวกเราก็ถูกกลืนหายเข้าไปในกลุ่มฝูงชนแล้ว เราก็ถูกเบียดไปจนกระทั่งเกือบถึงทางเข้าสวน แต่ต่อมา เมอสิเออร์ เชราด์ นายอำเภอ แห่งดีนังต์ ได้ช่วยขอทางให้เราจนเข้าไปถึงรั้วที่กั้น เพื่อแยกเด็กทั้ง 5 จากกลุ่มชน เด็กทั้ง 5 เพิ่งมาถึงหน้าประตูทางเข้า เวลานั้นประมาณ 1 ทุ่มแล้ว
แม้ว่าจะพลบค่ำแล้วก็ตาม ผมก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน เพราะห่างกันเพียง 1 เมตร ผมเพ่งความสนใจไปยังเด็ก 2 คน ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ ยิลแบรต์ เดอแกมเบรอ (9 ขวบ) และดังเดร เดอแกมเบรอ (14 ปี) เด็กทั้ง 5 เริ่มต้นยืนก่อสวดภาวนาพร้อมกัน อังเดร ภาวนาด้วยความตั้งใจและศรัทธาเยี่ยงเทวดา ไม่ได้แสดงอาการวอกแวกแต่สักนิด ผมยังไม่เคยเห็นใครสวดภาวนาดีเพียงนี้เลย แต่แม่หนูยิลแบร์ต ยังวอกแวกบ้าง ผมมองๆ ดูรู้สึกว่า เด็กทั้งสองมิได้มองเพ่งสายตาไปทางเดียวกัน สวดไปได้ประมาณ 20 เม็ด เสียงสวดของเด็กเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน สวดเร็วขึ้นนิด และสีหน้าเปลี่ยนไป ดวงตาวาววับ คำภาวนามีลักษณะเป็นการอ้อนวอนมากขึ้น คราวนี้เด็กทั้งสองเพ่งสายตาไปยังพุ่มไม้ด้านซ้ายของทางเข้า เวลาเดียวกัน เด็กๆ ทั้ง 5 คุกเข่าลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดกันเลย
การประจักษ์เริ่มแล้ว อังเดรอยู่ในลักษณะของการพิศเพ่งภาวนา สงบ เอิบอิ่มไปด้วยความงามและความรักต่อพระนางมารีย์ น้ำตาคลอหน่วยทั้งสองข้าง ทั้งสองสวดวันทามารีอากันเอง โดยไม่มีการตอบรับของฝูงชน สวดไปได้สัก 20-30 เม็ด ก็หยุดทันทีพร้อมกันตรงคำที่ว่า : วันทามารีอา แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดทั่วไปหมด เด็กสาวร้องไห้อย่างขมขื่น ส่วนน้องสาวของเธอน้ำตาไหลพราก หลังจากนั้นไม่นาน เด็กทั้ง 5 ก็ลุกขึ้น และเริ่มสวดสายประคำตามปรกติ ภคินีหลายคน ตามติดด้วยนายแพทย์ และบิดามารดาก็เข้าประตูสวนมา นายอำเภอเชราร์ดได้นำนายซอฟเฟิน และผมไปยังห้องรับรองที่กว้างใหญ่ของอาราม ซึ่งบรรดานายแพทย์และนักหนังสือพิมพ์นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ในนั้น นายเซราร์ด บอกให้ข้าพเจ้าสอบถามพวกเด็ก พร้อมกับผู้สังเกตการณ์ของพระเจ้าแผ่นดิน เขานำเด็กเข้ามาทีละคน ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาออกันอยู่ตามหน้าประตู และตามระเบียงห้อง
ต่อไปนี้เป็นคำสอบถาม

1. ด.ช. อัลแบรต์ วัวแซง อายุ 11 ขวบ ท่าทางปราดเปรียว และเป็นกันเอง
ถาม: วันนี้หนูเห็นอะไรหรือเปล่า?
ตอบ: เห็นครับ ผมเห็น เธอก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละครับ แต่งตัวเหมือนกัน และอยู่ตรงพุ่มไม้นั้น
ถาม: เธอได้บอกอะไรหนูหรือเปล่า?
ตอบ: (ทำท่าล้อเลียนนิดๆ) บอกครับ แต่ผมไม่บอกคุณถึงเรื่องที่เธอบอกผมแน่ๆ
ถาม: ทำไมล่ะ?
ตอบ: ไม่ครับ ผมไม่บอก
ถาม: เธอห้ามมิให้บอกใครหรือ? เป็นความลับใช่ไหม?
ตอบ: ครับ
ถาม: ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบอก แต่เรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวหนูคนเดียวหรือเกี่ยวกับทุกคน?
ตอบ: (เด็กชายรู้ทัน) ถ้าผมบอกคุณ คุณก็รู้
มีใครคนหนึ่งถามว่า : อย่างนั้นหนูบอกหน่อยได้ไหมว่าเป็นเรื่องเศร้าหรือเรื่องน่ายินดี?
ตอบ: เศร้ามากกว่าครับ

2. ด.ญ. ยิลแบรต์ เดอแกมเบอ อายุ 9 ขวบ
ถาม: หนูเห็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?
ตอบ: เห็นค่า, เธอมีหัวใจทองเช่นที่เคย ตอนที่เธอเสด็จมาเธอประสานมือกัน
ถาม: เธอพูดอะไรหรือเปล่า?
ตอบ: เธอพูดว่า ลาก่อน
ถาม: หนูได้ยินที่เธอพูดกับคนอื่นไหม?
ตอบ: หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าเธอพูดกับคนอื่นหรือเปล่า
ถาม: หนูดีใจไหม?
ตอบ: ไม่ค่ะ เพราะเธอบอกลาหนู เธอพูด ลาก่อน หนเดียว
ถาม: หนูได้ยินชัดไหม?
ตอบ: ชัดซีคะ หนูได้ยินกับหูเลย
ถาม: เธอพูดภาษา ฝรั่งเศส หรือภาษาฝรั่งเศสที่พูดกันในประเทศนี้?
ตอบ: พูดภาษาฝรั่งเศสเหมือนคุณคะ

3. ด.ญ. ยิลแบรต์ วัวแซง อายุ 13 ปี
ถาม: วันนี้เห็นอะไรใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ค่า หนูเห็น เธออยู่ที่เดียวกันที่เธอเคยมาทุกครั้ง เธอมีแสงมากกว่าทุกครั้งและยิ้มมากกว่าด้วย หนูเห็นดวงใจสีทองดวงหนึ่งตอนที่เธอกางมือออก เธอมีลูกประคำเหมือนทุกครั้ง
ถาม: เธอพูดกับหนูไหม?
ตอบ: เธอบอกว่า "ฉันจะทำให้คนบาปกลับใจ" เธอพูดตอนที่เรากำลังคุกเข่าลงและพอเธอจะไป เธอก็บอกว่า "ลาก่อน" หนูก็เลยร้องไห้ (มีคนถาม) หนูได้ยินเธอพูดกับหนูนะคะ เธอพูดแค่ 2 ประโยคนี้เท่านั้น

4. ด.ช. อังเดร เดอแกมเบรอ อายุ 14 - 15 ปี
ถาม: หนูเห็นใช่ไหม?
ตอบ: ค่ะ คราวนี้เธอมีแสงสว่างสุกใสมาก
ถาม: เธอพูดหรือเปล่า?
ตอบ: พูดค่ะ เธอบอกว่า : ฉันเป็นมารดาพระเป็นเจ้าและราชินีสวรรค์ หรือราชินีแห่งสวรรค์ และมารดาพระเจ้า
ถาม: เธอไม่ได้บอกอย่างอื่นอีกหรือ?
ตอบ: ค่ะ เธอบอกให้สวดภาวนาเสมอๆ
ถาม: ทำไมตอนท้ายการประจักษ์ หนูถึงร้องไห้ล่ะ? แล้วทำไมหนูจังดูเศร้านัก? (ถึงตอนนี้ เด็กสาวยกมือปิดหน้าแล้วสะอื้นไห้)
ตอบ: เพราะเธอบอกหนูว่า ลาก่อน แล้วเธอก็ค่อยๆ หายไป
ถาม: ตอนที่เธอพูดนั้น ทำไมหนูไม่หยุดสวดออกเสียง ทำไมหนูไม่หยุดฟังเธอพูดล่ะ?
ตอบ: หนูไม่รู้ค่ะ ว่าหนูหยุดสวดหรือเปล่า (มีคนถาม) หนูไม่รู้ค่ะว่าเธอพูดกับคนอื่นหรือเปล่า
ถาม: เธอได้ห้ามพูดเรื่องใดบ้างไหม?
ตอบ: ไม่นี่คะ เธอไม่ได้ห้าม ก็หนูบอกคุณแล้ว (มีผู้ถาม) หนูยังไม่รู้เลยค่ะว่าวันต่อๆ ไป นั้นหนูจะกลับมาสวดที่นี่อีกไหม
5. แฟรนังด์ วัวแซง อายุ 15 ปี เศร้าน้อยกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด
ถาม: หนูเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า?
ตอบ: ตอนแรกหนูไม่เห็นอะไรพร้อมกับคนอื่นเขา แต่ตอนหลังพวกเขาย้ายเข้ามาในสวนของซิสเตอร์หนูยังคงอยู่ที่เดิม แล้วหนูก็สวดต่อไปคนเดียว
ถาม: แล้วไงต่อไปล่ะ?
ตอบ: แล้วหนูก็เห็น ตรงที่ที่เธอเคยมาทุกๆ ครั้ง เป็นเหมือนเคยมาทุกๆ ครั้ง เป็นเหมือนก้อนไฟ แล้วก็ระเบิดออกมาและในแสงสว่างนั้น เธอก็ปรากฏมาเหมือนแบบที่เคย มีหัวใจทองด้วย
ถาม: เธอพูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?
ตอบ: พูดค่ะ เธอถามหนูว่า รักฉันไหม หนูก็ตอบว่า รักค่ะ เธอก็พูดต่อไปว่า รักพระบุตรของฉันไหม หนูก็ตอบอีกว่า รักค่ะ เธอเสริมว่า ทำพลีกรรมนะ
ถาม: เธออยากจะบอกอะไรกับหนูล่ะ ถึงพูดอย่างนั้น? หนูเข้าใจสิ่งที่เธอขอหรือเปล่า? (เด็กสาวยิ้ม ลังเล แล้วก็นิ่งไม่ตอบอะไร และไม่อธิบายอะไรอีก)
ผู้ฟังคนหนึ่ง (นายแพทย์) ถามขึ้นว่า ถ้าเขาจับหนูเข้าคุกล่ะ หนูจะพูดอย่างที่หนูพูดเมื่อครู่นี้ไหม? แล้วยังมีผู้อื่นถามเช่นเดียวกันนี้อีก 2-3 คน ผู้สังเกตการณ์ของพระเจ้าแผ่นดินเชิญให้ผมพูด ผมจึงว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่จำเลย เราถามแกตอบ ไม่ควรจะจัดการกับแกอย่างที่เราคิดไว้
ถาม: หญิงนั้น ไม่ได้พูดอะไรอีกหรือ?
ตอบ: พูดค่ะ ขณะที่เธอจะจากไปเธอบอกว่า ลาก่อน

คำรับรองการประจักษ์ของพระสังฆราชแห่ง นามูร์ ถึงบรรดาพระสงฆ์ในสังฆมณฑล (ปี 1949)
ประกาศคำสั่งที่ท่านกำลังจะอ่านอยู่นี้ นับเป็นวันประวัติแห่งการแสดงคารวกิจเกี่ยวกับพระมารดาแห่งโบแรง ดังที่พวกท่านได้ทราบกันอยู่แล้ว เมื่อเราได้รับรองการแสดงคารวกิจนี้อย่างเป็นทางการ คำประกาศของเรายังสงวนข้อกำหนดชัดเจนอยู่ :
เรายังถือว่า (ในปี 1943) ในขณะนั้นเรายังรับรองอย่างชัดเจนไม่ได้ว่า "การประจักษ์นั้นเป็นเรื่องจริงเหนือธรรมชาติ" แต่ต่อนั้นมา เหตุน่าสงสัยก็ค่อยๆ ลดลงไปทุกที จนมาถึงวันนี้ เฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า เรากล้ากล่าวว่า ขณะนี้เรามีเครื่องหมายที่ประกาศได้อย่างมั่นใจ ทางคณะกรรมการด้านพระธรรมคำสอนของสังฆมณฑล ได้อนุญาตให้ประกาศได้แล้วว่า มีการหายโรคอย่างอัศจรรย์ 2 ราย ซึ่งได้รับเพราะการวิงวอนขอต่อพระแม่แห่งโบแรง พวกท่านคงระลึกได้ถึงเรื่องอื่นๆ ของพระมารดาแห่งโบแรง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ว่า ยังมีผู้รับพระคุณทั้งทางฝ่ายกาย และวิญญาณอีกมากด้วยกัน ตั้งแต่เริ่มต้นได้รับพระคุณจากพระแม่เจ้า โดยอาศัยคำภาวนาอย่างศรัทธาร้อนรนต่อพระแม่ ก็เรื่องการหายโรคอย่างอัศจรรย์ครั้งหลังสุดนี้แหละ ที่ทำให้เรามั่นใจว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริง ให้เราถวายพระพรแด่พระเป็นเจ้าและพระแม่มารีอา เราสามารถยืนยันได้อย่างรอบคอบว่า พระราชินีแห่งสวรรค์ได้ปรากฏมาให้เด็ก 5 คน แห่งโบแรงเห็นจริง ในระหว่างปี 1932-1933 และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นสำหรับเราคือ การปรากฏครั้งนี้ของพระนาง พระนางได้แสดงให้เราเห็นดวงพระทัยเยี่ยงมารดาที่วิตกกังวลต่อเรา ได้เรียกร้องเราให้สวดภาวนามากๆ และยังแสดงตัวเป็นผู้เสนอทรงฤทธิ์เพื่อให้คนบาปกลับใจ ให้เราพิศวงถึงวิธีการแห่งพระญาณสอดส่องที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลาถึง 7 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของการสืบสวนนี้ เราได้ลงชื่อในเอกสาร เพื่อแสดงความศรัทธาร้อนรนในหัวใจของเรา ด้วยความเชื่อมั่นว่า บรรดาสงฆ์ในสังฆมณฑลของเรา จะร่วมสมนาคุณพระเป็นเจ้าพร้อมกับเรา ในนามของสัตบุรุษทั้งหมดของเรา เราขอย้ำถึงความวางใจที่ทวีมากขึ้นของเราต่อพระมารดา : 

โปรดเป็นพระราชินีของเหล่าลูก ลูกเป็นของพระนาง!
พี่น้องที่เคารพรักในพระคริสตเยซูและพระแม่มารีย์
วันที่ 2 กรกฎาคม 1949
อังเดร-มารี ชารู, สังฆราชแห่งนามูร์
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

แม่พระทรงประจักษ์ที่ ลูร์ด 18 ครั้ง


แม่พระทรงประจักษ์ที่ ลูร์ด 18 ครั้ง

ค.ศ.1858 แม่พระทรงประจักษ์ที่ ลูร์ด

การประจักษ์ที่ลูร์ดแก่ ด.ญ. แบร์นาแด๊ต ซูบิรูส์ เมื่อ ค.ศ. 1858 เป็นการประจักษ์ที่รู้จักกันแพร่หลายมาก…
ขณะนั้นลูร์ดเป็นเพียงตำบลหนึ่ง มีประชาชน 3,826 คน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส อยู่ท่ามกลางเทือกเขาพีรินิล เป็นเขาสูงคั่นระหว่าง ฝรั่งเศสกับสเปน

ก่อนหน้านี้ 4 ปี คือ ในวันที่ 8 ธันวาคม 1854 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ทรงประกาศอัตถ์ความเชื่อเรื่องแม่พระทรงปฏิสนธินิรมล คือ แม่พระไม่มีบาปกำเนิด… การประจักษ์ที่ลูร์ดเท่ากับแม่พระเองเสด็จมายืนยืนอัตถ์ความจริงข้อนี้
ในปี 1858 ครอบครัวของแบร์นาแด๊ตกำลังตกอับยากจน จนกระทั่งไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านนายอังเดรซายูส ผู้เป็นญาติ บิดาของแบร์นาแด๊ต ชื่อ ฟรังซัว ซูบิรูส์ มารดาชื่อ หลุยซา ขณะนั้นแบร์นาแด๊ตอายุ 14 ปี มีน้องชื่อ ตัวแน็ต มารี กับ ยัง มารี และ ยุสแต็ง การประจักษ์ครั้งที่ 1 ตรงกับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ต กับตัวแน็ต น้องสาวและเพื่อนชื่อ ยาน อะบาดี ชวนกันไปเก็บฟืนมาหุงข้าว…เมื่อมาถึงใกล้ก้อนหินใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "มัสซาเบียล" ฐานของหินนี้เว้าเข้าไปเป็นรูปถ้ำ กว้างประมาณ 12 เมตร ลึกประมาณ 8 เมตร ทางด้านขวาของถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ 3 เมตร รอบๆ ถ้ำมีเถากุหลาบป่าขึ้นอยู่ประปราย ขณะนั้นหอนาฬิกาที่วัดบอกเวลาเที่ยงพอดี และมหัศจรรย์ก็ได้เริ่มขึ้นแบร์นาแด๊ตบอกว่า "เห็นหญิงสาวขาว (ทั้งตัว) คนหนึ่ง เธอก้มศีรษะเล็กน้อยทักทายฉัน แบมือเหมือนแม่พระในรูปทั่วไป ที่แขนขวามีลูกประคำห้อยอยู่ สตรีนั้นสวมเสื้อขาวยาวลงมาปกคลุมเท้า เสื้อนั้นมีที่รูดปิดคอ และมีปลายเชือกสีขาวห้อยอยู่ ผ้าสีขาวที่คลุมศีรษะนั้น ปกบ่าและแขน ฉันเห็นดอกกุหลาบสีเหลือง 2 ดอก บนเท้าทั้งสองของเธอ รัดประคดของเสื้อสีฟ้า ห้อยต่ำลงมาเลยหัวเข่า ส่วนลูกประคำนั้นสายสีเหลือง เม็ดสีขาวขนาดโต และห่างกัน หญิงสาวผู้นั้นท่าทางว่องไว มีแสงอยู่รอบข้าง
" เมื่อฉันสวดลูกประคำจบ เธอก็ยิ้มลาฉัน แล้วถอยหลังหายวับเข้าไปในโพรง…"

การประจักษ์ครั้งที่ 2 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันอาทิตย์ เมื่อเลิกพิธีมิสซาเวลา 13.00 น. แล้ว เพื่อนๆ ของแบร์นาแด๊ตติดตามเธอไปถึงบ้าน อ้อนวอนมารดาขออนุญาตให้แบร์นาแด๊ตไปที่ถ้ำมัสซาเบียลอีก… เมื่อมาถึงแล้วแบร์นาแด๊ตให้ทุกคนคุกเข่าลงสวดลูกประคำ สักครู่หนึ่งเธอก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า "แน่ะ มาแล้วมีแสงสว่าง" เพื่อนๆ ยื่นขวดน้ำเสกให้เธอพลางพูดเสียงสั่นๆ ว่า "เร็ว! สาดน้ำเสกซี" แบร์นาแด๊ตหันมาพูดกับเพื่อนๆ ว่า "เธอไม่ยักโกรธ กลับก้มศีรษะรับ และยิ้มให้พวกเรา"
การประจักษ์ครั้งที่ 3 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกกับแบร์นาแด๊ตว่า "หนูจะกรุณามาที่นี่สัก 15 วัน จะได้ไหมคะ?" "ได้ค่ะ หนูขอสัญญา ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาต" แล้วสตรีงามพูดต่อไปว่า "ฉันไม่รับรองว่าหนูจะมีความสุขในโลกนี้ แต่โลกหน้า แน่นอน" แล้วสตรีผู้นั้นลอยขึ้นสูงหน่อย แล้วหายไป
การประจักษ์ครั้งที่ 4 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ แม่พระขอบคุณแบร์นาแด๊ตที่มาพบอีก แล้วบอกว่า มีความลับจะบอกในภายหน้า
การประจักษ์ครั้งที่ 5 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสอนแบร์นาแด๊ตให้สวดภาวนาบทหนึ่ง ทีละคำๆ บทภาวนานั้นสำหรับเธอสวดคนเดียวตลอดชีวิต และเธอก็สวดบทนั้นทุกครั้งที่แม่พระประจักษ์มา มีผู้พยายามใช้กลอุบายต่างๆ หลอกถามเธอ แต่เธอมิได้บอกใครเลยจนตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่ 6 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1858 มีผู้คนมารอดูมากมาย แบร์นาแด๊ตมาตามเวลากำหนดกับมารดาและน้า ดร. โดชูส แพทย์ประจำตำบลลูร์ดร่วมอยู่ด้วย เขามาเพื่อจะคอยจับผิด มากกว่ามาด้วยใจศรัทธาเลื่อมใส แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตว่า "หนูจงสวดให้คนบาปที่น่าสงสาร สวดให้โลกที่กำลังยุ่งยากอลวนอยู่"
การประจักษ์ครั้งที่ 7 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1858 การประจักษ์ครั้งนี้กินเวลาครึ่งชั่วโมง แม่พระบอกความลับกับเธอ 3 ข้อ ซึ่ง เธอจะบอกกับใครมิได้เลย และเธอก็ได้รักษาความลับนั้นไว้ตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่ 8 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1858 ผู้ที่อยู่ใกล้เธอขณะที่กำลังเข้าฌาน ได้ยินเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากที่สั่นระริกว่า "ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป!"
การประจักษ์ครั้งที่ 9 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตให้ไปดื่มน้ำและล้างหน้าที่น้ำพุ แบร์นาแด๊ตคุ้ยดินขึ้น มีน้ำขึ้นมาแต่ขุ่น น้ำไหลขึ้นมามากทุกที (ปัจจุบันกลายเป็นน้ำพุที่ไม่ขาดสายและสวยงามมาก)
การประจักษ์ครั้งที่ 10 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสั่งแบร์นาแด๊ตให้ไปบอกพระสงฆ์ให้สร้างวัดเล็กๆ ที่นี่หลังหนึ่ง
การประจักษ์ครั้งที่ 11 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ตถามชื่อของสตรีงาม แต่แม่พระเพียงแต่ยิ้มๆ เท่านั้น ไม่ตอบว่ากระไร
การประจักษ์ครั้งที่ 12 วันที่ 1 มีนาคม 1858 ตั้งแต่ 7.00 น. บิดามารดาของเธอก็ไปพร้อมกันด้วย แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตใช้เฉพาะลูกประคำของตน
การประจักษ์ครั้งที่ 13 วันที่ 2 มีนาคม 1858 แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกกับท่านว่า "อยากให้ผู้คนตั้งขบวนแห่มาที่ถ้ำ" แต่คุณพ่อเจ้าวัดกำลังหัวเสีย ตอบว่า "ดีแล้ว ถ้าเธอ (สตรีงาม) ไม่ยอมบอกชื่อ เจ้าก็เป็นคนโกหก…"
การประจักษ์ครั้งที่ 14 วันที่ 3 มีนาคม 1858 แม่พระย้ำเรื่องการสร้างวัด แบร์นาแด๊ตบอกว่าคุณพ่อเจ้าวัดต้องการให้พิสูจน์ว่า ถ้าเป็นแม่พระจริง ขอให้ทำอัศจรรย์ให้ต้นกุหลาบป่าที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ นั้น ออกดอก… แม่พระเพียงแต่ยิ้ม…เป็นการสอนชาวเราว่า มหัศจรรย์นั้น พระเป็นเจ้าจะทรงกระทำตามที่ทรงเห็นสมควรเท่านั้น มิใช่ทำตามคำท้าทายของใครๆ
การประจักษ์ครั้งที่ 15 วันที่ 14 มีนาคม 1858 เช้าวันนั้นมีผู้คนมาประมาณ 8,000 คน แต่สิบตำรวจอังกลาขี่ม้าตรวจการณ์คะเนว่า คงมีอย่างน้อยสัก 20,000 คน…วันนั้นหลังจากประจักษ์แล้วแบร์นาแด๊ตกลับไปเตือนคุณพ่อเจ้าวัดถึงเรื่องที่สตรีงามบอก แต่คุณพ่อเจ้าวัดย้ำว่า "ให้สตรีงามของเจ้าบอกชื่อมาซิ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นแม่พระ ฉันจะทำทุกอย่างที่แม่พระต้องการ"
การประจักษ์ครั้งที่ 16 วันที่ 25 มีนาคม 1858 การประจักษ์ครั้งนี้สำคัญมาก แบร์นาแด๊ตวิงวอนให้สตรีงามนั้นบอกชื่อของตน "คุณขา กรุณาบอกหนูหน่อยเถอะค่ะ คุณคือใคร?" …ต่อคำถามอันพากเพียรและเต็มไปด้วยความไว้วางใจเช่นนี้เป็นครั้งที่ 3 สตรีผู้นั้น ซึ่งเคยพนมมืออยู่เสมอ บัดนี้ค่อยๆ กางแขนออก แบมือปล่อยแขนต่ำลงมาทั้ง 2 ข้าง (แบบแม่พระในเหรียญมหัศจรรย์) พลางกล่าวเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวลูร์ดว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล" พลางยิ้มให้แบร์นาแด๊ตอีกครั้งหนึ่ง แล้วหายไปทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่..แบร์นาแด๊ตกลับไปหาคุณพ่อเจ้าวัดกล่าวว่า "สตรีผู้นั้นพึ่งบอกหนูว่า ฉันคือการปฏิสนธินิรมล" คุณพ่อเจ้าวัดถามต่อไปว่า "แล้วเจ้ารู้ไหมว่า แปลว่าอะไร?" "หนูไม่ทราบค่ะคุณพ่อ" หนูท่องมาตลอดทางตั้งแต่ถ้ำมาถึงที่นี่ ว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล"
การประจักษ์ครั้งที่ 17 วันที่ 7 เมษายน 1858 แม่พระยิ้มอย่างอ่อนหวานกับเธอภายในโพรงที่ตั้งรูปแม่พระ เธอได้เห็นภาพประจักษ์เช่นนั้นนานประมาณ 45 นาที
การประจักษ์ครั้งที่ 18 หรือครั้งสุดท้าย วันที่ 16 กรกฎาคม 1858 แม่พระทรงประจักษ์มานานประมาณ 15 นาที แบร์นาแด๊ตเล่าให้ฟังว่า "แม่พระประจักษ์มาให้เห็น ณ ที่เดิม โดยไม่พูดอะไร…หนูไม่เคยเห็นเธองามเหมือนวันนั้นเลย"
หลังจากนั้นแบร์นาแด๊ตก็มิได้พบแม่พระอีก..พระศาสนจักรเริ่มดำเนินการสอบสวนจนกระทั่ง 18 มกราคม 1862 พระสังฆราชแห่งลูร์ดได้ประกาศเป็นทางการรับรองว่า เป็นแม่พระจริงที่ได้ประจักษ์มาที่ถ้ำมัสซาเบียล แล้วลงมือสร้างพระวิหารขึ้นจนสำเร็จ
ส่วนแบร์นาแด๊ตได้ตัดสินใจเข้าบวชเป็นนางชีที่เนอแวร์ส เดือนกรกฎาคม ปี 1866 เธอพยายามทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า และที่สุดได้มอบดวงวิญญาณบริสุทธิ์คืนแด่พระ ณ วันที่ 6 เมษายน 1879 ขณะอายุ 39 ปีเศษ
ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ทรงประกาศชื่อแบร์นาแด๊ต ซูบิรูส์ ในสารบบนักบุญ วันที่ 8 ธันวาคม 1933 ทุกวันนี้ลูร์ดเป็นปูชนียสถานแม่พระที่ใครๆ ก็รู้จักทั่วโลก และมีผู้จาริกแสวงบุญมาที่นี่ไม่ขาดสายเลย
ข้าแต่พระแม่ผู้ปฏิสนธินิรมลแห่งลูร์ด โปรดเสนอวิงวอนเทอญ
OUR LADY OF LOURDES
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา
    

แม่พระทรงประจักษ์ ที่ เปลเลอวัวแซง ประเทศฝรั่งเศส


แม่พระทรงประจักษ์ ที่ เปลเลอวัวแซง ประเทศฝรั่งเศส

ค.ศ. 1876 การประจักษ์ของพระแม่เจ้า ที่เปลเลอวัวแซง
แอสแตล ฟาแกต ทำงานเป็นคนใช้ อยู่กับคุณนายเดอลา โรชฟูโกลด์ เธอป่วยเป็นโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบเรื้อรัง และที่สุดกลายเป็นวัณโรค ในค.ศ. 1875 แพทย์ที่เยียวยารักษาชื่อ ฮูแบร์ต เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดและวัณโรค แพทย์ตรวจพบว่า นอกจากแอสแตลจะเป็นโรคที่เยื่อบุช่องท้องแล้ว ยังพบวัณโรคที่กระดูกแขนขวา ทำให้แขนข้างนั้นเป็นอัมพาต
ขณะที่แอสแตลตกอยู่ในสภาพใกล้จะตายนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จากแม่พระ และแม่พระได้มอบภารกิจอย่างหนึ่งให้เธอทำด้วย
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าเรื่องราวอย่างย่อๆ ของแอสแตล… (เธอเล่าเป็นภาษาแบบแม่ลูกสนทนากัน) แล้วภายหลังยังได้บันทึกไว้ด้วย :
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจากจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งแอสแตลเขียนถึงแม่พระเมื่อต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1875 เวลานั้นเธอรู้สึกสิ้นหวัง รู้ตัวดีว่าจะต้องตายอยู่รอมร่อแล้ว เธอฝากจดหมายฉบับนั้นมอบให้ น.ส. ไรเตอร์ ไปส่งที่ถ้ำแม่พระลูร์ดจำลองเล็กๆ ซึ่งพวกเด็กทำขึ้นไว้ในสวนของคฤหาสน์ปัวเรียรส์ จดหมายฉบับนั้นมีข้อความดังนี้
"คุณแม่ผู้ปี่ยมด้วยความดี ลูกมาอยู่แทบเท้าของคุณแม่ คุณแม่คงไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังคำลูก คุณแม่คงไม่ลืมว่า ลูกเป็นลูกที่รักคุณแม่ ขอคุณแม่โปรดขอพระบุตรของคุณแม่ บันดาลให้ลูกกลับมีสุขภาพดี ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแด่คุณแม่ด้วยเถิด ขอคุณแม่โปรดมองดูความเศร้าโศกของบิดามารดาของลูก ซึ่งหวังพึ่งลูกคนเดียวของท่าน หากคุณแม่ไม่เมตตา ลูกก็มิอาจทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือท่านทั้งสองได้ต่อไป อย่างไรก็ดี หากเพราะบาปของลูก คุณแม่จึงมิอาจช่วยลูกให้หายปรกติได้ ก็ขอเพียงโปรดให้ลูกมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำมาหาเลี้ยงชีวิตตนเองและของบิดามารดาได้บ้างด้วยเถิด"คุณแม่ที่รัก คุณแม่ทราบดีว่า ท่านทั้งสองชราแล้ว และยากไร้จนเกือบจะต้องขอทานเขา ลูกคิดแล้วสุดที่จะเศร้าระทมใจ ขอคุณแม่ได้โปรดรำลึกถึงความเศร้าคราวที่บังเกิดพระบุตร คุณแม่ต้องเที่ยวเคาะประตูบ้านนี้บ้านโน้น เพื่อขอที่อาศัยด้วยเถิด ขอคุณแม่โปรดรำลึกถึงความทุกข์ระทมเมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนด้วยเถิด
" คุณแม่ที่รัก ลูกวางใจในคุณแม่ ถ้าคุณแม่พอใจ พระบุตรของคุณแม่จะบันดาลให้ลูกหายโรคได้ พระองค์ทรงทราบว่า ลูกปรารถนาจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระองค์ และเพื่ออุทิศตนแก่ครอบครัวที่ต้องการลูก หากทรงพอพระทัยก็จะโปรดให้ลูกหายปรกติ ทั้งนี้ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงสำเร็จ มิใช่ตามน้ำใจลูก ลูกขอถวายตัวทั้งครบเพื่อความรอดของลูก และของบิดามารดา คุณแม่เป็นเจ้าของดวงใจของลูก โปรดเฝ้ารักษาดวงใจนั้นไว้เสมอ ขอให้ถือเป็นมัดจำแห่งความรักและความกตัญญูรู้คุณของลูก ต่อความใจดีนิรันดรของคุณแม่ด้วยเถิด
"คุณแม่ที่รัก ลูกขอสัญญาว่า ถ้าลูกได้รับพระหรรษทานตามที่วอนขอ ลูกจะอุทิศตนทั้งครบเพื่อพระสิริมงคลของคุณแม่และของพระบุตรเจ้า ขอคุณแม่โปรดคุ้มครองหลานสาวของลูกให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายด้วย โอ้แม่พรหมจารีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ลูกถอดแบบความนอบน้อมเชื่อฟังของคุณแม่ และสักวันหนึ่งขอให้ลูกเสวยนิรันดรสุข ร่วมกับพระบุตรและคุณแม่ด้วยเทอญ"
แม่พระจะทรงตอบจดหมายฉบับนี้…

การประจักษ์ครั้งแรก วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1876 เย็นวันอาทิตย์ที่ 13 ก.พ.1876 แอสแตลได้ขอคุณพ่อซัลมอน เจ้าอาวาสวัดเปลเลอวัวแซง ให้จดหมายถึงคุณนายโรชฟูโกลด์ ให้ช่วยไปจุดเทียนแทนตัวเธอ : เล่มหนึ่งที่แท่นแม่พระมหาชัย, อีกเล่มหนึ่งที่แท่นแม่พระแห่งลูร์ด พระแท่นทั้งสองอยู่ในวัดนักบุญอิกญาซิโอ ที่ถนนแซฟร์ กรุงปารีส… ตัวเธอเองกำลังนอนรอความตายคืนวันที่ 14 ต่อกับวันที่ 15 ก.พ. นั้นเอง แอสแตลแลเห็นปิศาจตนหนึ่งทางด้านขวาของเตียง มันกำลังแยกเขี้ยว ยิ้มแสยะอย่างน่าเกลียดน่ากลัว …บัดดลนั้น เธอเหลือบไปเห็นพระนางพรหมจารีมารีย์ที่ปลายเตียง แม่พระคลุมศีรษะด้วยผ้าขาวยาวลงมาถึงเท้า สวมเสื้อยาวปิดคอถึงข้อมือ มีเชือกรัดสะเอว ที่หน้าอกติด "เสื้อจำพวก" แม่พระตรัสอย่างแข็งขันโดยไม่หันไปมองปิศาจว่า "เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าไม่เห็นหรือว่าเธอสวมเครื่องแบบของเรา และของพระบุตรของเรา " ปิศาจไม่ตอบอะไร มันแสดงท่าทางตกใจกลัว เพราะรู้ว่าวิญญาณที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของแม่พระ จะมีแต่ความสงบ ปิศาจมิอาจมาล่อลวงให้วุ่นวายได้..
แอสแตลเป็น "ลูกของแม่พระ" ตั้งแต่อายุ 14 ณ วัดนักบุญโธมัส อาควิโน ที่กรุงปารีส เธอได้รับศีลล้างบาป, ศีลกำลัง, ได้รับการเจิมด้วยเครื่องหมายกางเขน ปิศาจอันตรธานไปในบัดดลโดยเขย่าเตียงอย่างแรง แอสแตลรู้สึกกลัว แต่แม่พระตรัสว่า "อย่ากลัว! ลูกก็รู้ ลูกเป็นลูกของแม่ มานะและอดทนเถอะ พระบุตรของแม่จะช่วยลูก ลูกจะทรมานอีก 5 วัน เพื่อเป็นเกียรติแด่รอยแผลทั้งห้าของพระบุตร ถึงวันเสาร์ ถ้าลูกไม่ตายก็จะหาย ถ้าพระบุตรโปรดให้ลูกหาย แม่ก็อยากให้ลูกประกาศเกียรติคุณของแม่"

ขณะที่แอสแตลกำลังคิดว่าจะประกาศเกียรติคุณแม่พระอย่างไรดี แม่พระก็แสดงแผ่นป้ายหินอ่อนให้ดู "คุณแม่คะ ลูกจะต้องเอาแผ่นนี้ไปวางไว้ที่ไหน? ที่วัดแม่พระมหาชัยหรือที่เปลเลอ…?" แอสแตลพูดยังไม่จบ แม่พระก็บอกว่า "ที่วัดแม่พระมหาชัย (กรุงปารีส) มีเครื่องหมายแสดงฤทธิ์อำนาจของแม่มากแล้ว แต่ที่เปลเลอวัวแซงยังไม่มี ยังต้องการเครื่องกระตุ้นเตือนใจ มานะและอดทนเถิด แม่อยากให้ลูกถือตามสัญญา แม่อยากให้ลูกประกาศเกียรติคุณของแม่"
คืนวันอังคารที่ 15 ต่อกับวันพุธที่ 16 ก.พ. ปิศาจย้อนมาอีก มันยืนอยู่ห่างๆ ฉับพลันนั้นแม่พระก็ปรากฏมา ปิศาจเผ่นหนี แอสแตลได้ยินถ้อยคำดังนี้ "อย่ากลัว! แม่อยู่นี่" น้ำเสียงของพระแม่แสดงถึงดวงใจที่เมตตาปรานี "พระบุตรของแม่รับฟังคำของลูกแล้ว พระองค์ประทานชีวิตแก่ลูก วันเสาร์นี้ลูกจะหาย… แล้วลูกจะประกาศเกียรติคุณของแม่"
ฉับพลันนั้น แอสแตลกลับรู้สึกอยากตาย แม่พระจึงปลอบประสาแม่ว่า ถ้าพระบุตรประทานชีวิต นี่ก็เป็นไปตามที่ลูกต้องการ สิ่งที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์นั้น จะมีอะไรประเสริฐกว่าชีวิตเล่า? ลูกไม่ได้บอกหรอกหรือว่า ถ้ามีชีวิตต่อไปก็จะประกาศเกียรติคุณของแม่?"

ระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ 3 คือ วันที่ 16 ต่อวันที่ 17 ก.พ. แม่พระตรัสว่า "ลูกรัก มานะไว้ สิ่งเหล่านี้จะผ่านไป เพราะลูกยินยอมรับทน เป็นการชดใช้ความผิดของลูก" แล้วแม่พระบอกแอสแตลว่า "แม่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานีและเป็นผู้รับใช้ของพระบุตร…" แล้วแม่พระเตือนแอสแตลให้ระลึกถึงจดหมายที่เธอเขียนเมื่อเดือนกันยายนว่า "จดหมายและคำภาวนาด้วยใจร้อนรนของลูกประทับใจแม่มาก เป็นต้นประโยคที่ว่า : ขอคุณแม่โปรดมองดูความเศร้าโศกของบิดามารดาของลูก..ถ้าขาดลูก ท่านทั้งสองจะต้องเป็นขอทาน… ขอคุณแม่รำลึกถึงความทุกข์ระทมเมื่อพระบุตรเยซูต้องถูกตรึงกางเขน แม่ได้แสดงจดหมายฉบับนี้แก่พระบุตรของแม่ บอกว่า บิดามารดาของลูกต้องการลูก แต่นี้ไป ขอให้ลูกสัตย์ซื่อ อย่าทำให้พระหรรษทานที่ได้รับไร้ประโยชน์ และจงประกาศเกียรติคุณของแม่เถิด"
แอสแตลหายเป็นปรกติ
แม่พระยังประจักษ์มาอีกในคืนวันที่ 17 ต่อวันที่ 18 ก.พ. …และในการประจักษ์ครั้งที่ 5 คืนวันที่ 18 ต่อวันที่ 19 ก.พ. นี้ แอสแตลเห็นแผ่นหินอ่อนนั้นอีก ครั้งนี้มีอักษรจารึกด้วย ที่มุมแผ่นหินนั้นประดับด้วย ดอกกุหลาบทองคำ ตรงกลางมีรูปดวงใจถูกแทงด้วยหอก มีเปลวไฟ คาดด้วยมงกุฏกุหลาบ มีตัวอักษรทองจารึกว่า "ข้าพเจ้าวอนขอพระนางมารีย์สิ้นสุดกำลัง เพราะทุกข์ลำบาก พระนางได้ทูลขอพระบุตรช่วยให้ข้าพเจ้าหาย" พระนางพรหมจารีตรัสแก่แอสแตลว่า "ถ้าลูกจะรับใช้เรา จงเป็นคนซื่อๆ ให้กิจการของลูกสอดคล้องกับคำพูดของลูกเถิด" แม่พระยังตรัสต่อไปว่า "ลูกอยู่ที่ไหน ลูกก็สามารถทำดีได้มาก และลูกสามารถประกาศเกียรติคุณของแม่ได้" ฉับพลันนั้น แม่มีอาการโศกเศร้า เสริมว่า "สิ่งที่ทำให้แม่ชอกช้ำใจมาก คือการขาดความเคารพต่อพระบุตรในศีลมหาสนิท และการสวดภาวนาที่จิตใจวอกแวก แม่ขอพูดสำหรับคนที่แสร้งทำเป็นศรัทธา…สำหรับลูก จงประกาศเกียรติคุณของแม่…
แต่ก่อนจะพูดเรื่องนี้ ให้ลูกไปปรึกษาขอความเห็นกับพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปเสียก่อน…ลูกอาจพบอุปสรรค แต่แม่จะช่วยลูก" แล้วพระนางพรหมจารีก็อันตรธานไป..แอสแตลรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ประมาณเช้าวันรุ่งขึ้น (19 ก.พ.) แอสแตลรู้สึกหายจากโรค มีแต่แขนขวายังกระดุกกระดิกมิได้
ประมาณ 6.30 น. คุณพ่อซัลมอนมาเยี่ยม เห็นแอสแตลนั่งอยู่บนเตียง เธอเล่าเรื่องการประจักษ์ให้คุณพ่อฟัง "ดีละ พ่อจะไปถวายมิสซาและเชิญศีลมหาสนิทมาส่ง และเมื่อลูกรับศีลแล้ว ยกแขนขวาได้พ่อจะเชื่อ"
เมื่อคุณพ่อเจ้าวัดเสร็จพิธีมิสซา อัญเชิญศีลมหาสนิทมาด้วย เมื่อแอสแตลรับศีลแล้ว ให้ยกแขนขวาที่กระดุกกระดิกไม่ได้ ขึ้นทำสำคัญมหากางเขน… เป็นอันว่า เธอหายดีแล้ว 
ต่อไปนี้เธอจะเริ่มทำภารกิจของพระแม่ ซึ่งจะแสดงให้เธอทราบตั้งแต่การประจักษ์ตั้งแต่ครั้งที่ 9 ตรงกับบ่ายวันที่ 9 ก.ย. 1876

การประจักษ์ของรูปจำพวกวันนั้นพอแอสแตลสวดลูกประคำเสร็จ แม่พระก็ประจักษ์มา มีรังสีรุ่งโรจน์ที่หน้าอกมีผ้าชิ้นเล็กๆ สีขาว แม่พระตรัสว่า "ตั้งแต่นานแล้ว ขุมทรัพย์ของพระบุตรเปิดอยู่ จงวอนขอเถิด!" แล้วแม่พระหยิบเลิกชิ้นเล็กๆ สีขาวซึ่งใส่ไว้ที่อกออก… แอสแตลเห็นดวงหทัยของพระเยซูเจ้าเป็นสีแดงลุกเป็นไฟ และเหมือนกับหัวใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ตรงกลางเปลวไฟนั้นมีกางเขน แอสแตลเข้าใจว่า สิ่งนี้คือรูปจำพวก และได้ยินแม่พระตรัสว่า "แม่ชอบความศรัทธานี้มาก... เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ได้รับเกียรติ"
วันศุกร์ที่ 15 ก.ย. ฉลองแม่พระมหาทุกข์ 7 ประการ แม่พระประจักษ์มา มีเสื้อจำพวกดังกล่าวติดที่หน้าอก แม่พระมองไปรอบๆ แล้วตรัสว่า "แม่รู้ถึงความพยายามที่ลูกทำเพื่อให้มีความสงบ มิใช่เพียงสำหรับลูกเท่านั้น แต่ยังต้องการสำหรับพระศาสนจักรและประเทศฝรั่งเศสด้วย ในพระศาสนจักรยังไม่มีความสงบที่แม่ปรารถนา... และสำหรับประเทศฝรั่งเศส แม่ก็เตือนมามากแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยจะรับฟัง แม่ไม่อาจจะยับยั้งพระบุตรได้อีก (สิ่งที่แม่พระบอกกับแอสแตลนี้ หมายถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ. 1914-1918 )
บ่ายวันที่ 5 พ.ย. แม่พระบอกกับแอสแตลว่า "แม่ได้เลือกลูก แม่เลือกเด็กๆ และคนอ่อนแอ เพื่อประกาศเกียรติคุณของแม่…จงมานะเถิด เวลาและการพิสูจน์จะเริ่มขึ้นแล้ว"
วันเสาร์ที่ 11 พ.ย. เมื่อเห็นรูปจำพวกในการประจักษ์แล้ว แอสแตลได้ทำจำลองขึ้นอันหนึ่ง แม่พระขอบใจ ตรัสว่า "อย่าเสียเวลาเลย วันนี้ลูกทำงานสำหรับแม่แล้ว ลูกยังต้องทำงานอื่นอีกมาก"

8 ธันวาคม 1876 การประจักษ์ครั้งสุดท้าย
การประจักษ์ครั้งสุดท้าย แม่พระให้คำแนะนำต่างๆ แก่แอสแตล ซึ่งหายจากโรคเมื่ออายุ 33 และเธอจะทำงานให้พระแม่จนกระทั่งลาโลกเมื่ออายุ 86 ปี
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 1876 สมโภชพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธินิรมล แม่พระประจักษ์มา แวดล้อมด้วยพวงมาลัยกุหลาบ แม่พระนำรูปจำพวกมาด้วย ตรัสว่า "จงระลึกถึงคำแม่…แอสแตลนึกถึงวาจาทั้งหมดที่แม่พระตรัส เป็นต้นที่ว่า "ลูกรู้ดีว่า ลูกเป็นลูกของแม่ แม่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี และเป็นผู้รับใช้พระบุตร…สิ่งที่ทำให้แม่ชอกช้ำใจมากคือ การขาดความเคารพต่อพระบุตรของแม่ในศีลมหาสนิท … แม่มาช่วยคนบาปให้กลับใจ ..ขุมทรัพย์ของพระบุตรเปิดอยู่…" และ "แม่ชอบความศรัทธานี้มาก" พลางแสดงเสื้อจำพวก "เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ได้รับเกียรติ" แม่พระยังเสริมว่า"แม่อยู่ข้างๆ ลูก แม้ลูกจะมองไม่เห็น"
ขอให้เรากลับมาอ่านเรื่องที่แอสแตลเล่าให้คุณพ่อฮูกองฟัง และคุณพ่อนำไปลงในหนังสือวารสารคณะแม่พระแห่งเปลเลอวัวแซง ปี 1922
"นอกจากแม่พระแล้ว ฉันยังเห็นภาพ 2 ภาพ แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ภาพหนึ่งเป็นภาพประชาชนในเครื่องแต่งกายต่างๆ กำลังแสดงอาการโกรธแค้น อีกภาพหนึ่งเป็นกลุ่มชนอยู่ในสภาพเรียบร้อย
แม่พระอธิบายถึงภาพแรกว่า "ลูกไม่ต้องกลัวเขาเหล่านี้ แม่เลือกลูกให้ประกาศเกียรติคุณของแม่และเผยแผ่ความศรัทธานี้" ขณะนั้นแม่ถือเสื้อจำพวกทั้งสองมือ ฉันได้กลิ่นกุหลาบโชยมา ฉันอยากจะขอเสื้อจำพวกจากพระแม่…พระนางยิ้ม ตรัสว่า "ลูกเห็นแล้วว่า แม่ให้ไม่ได้ แต่ลุกขึ้นมาจูบเสื้อนี้ซิ" ฉันลุกขึ้นฉับไว …พระนางก้มตัวลง ถือเสื้อจำพวกให้ฉันจูบ…

แอสแตลยืนยันว่า "ริมฝีปากของฉันได้จูบดวงหทัยที่เป็นเลือดเนื้อจริงๆ รู้สึกยังอุ่นและเต้นอยู่" แม่พระตรัสว่า "ลูกจงไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกให้ท่านช่วยตามอำนาจที่ท่านมี ลูกจงแสดงเสื้อจำพวกให้ท่านดู และบอกว่าไม่มีอะไรเป็นที่พอใจแก่แม่มากเท่ากับที่เห็นลูกๆ ของพระแม่ติดรูปจำพวกนี้ และพวกเขาต่างชดเชยความผิดที่พระบุตรได้รับในศีลมหาสนิท เราจะโปรยปรายพระคุณต่างๆ แก่ผู้ที่ติดเสื้อจำพวกนี้ด้วยความไว้วางใจ และช่วยกันเผยแผ่ให้แพร่หลาย"
ขณะตรัสข้อความดังกล่าวนี้ แม่พระยื่นมือออก มีสายฝนโปรดปรายตกจากมือ แต่ละหยาดฝน มีรายชื่อพระคุณต่างๆ คือ พระคุณแห่งปรีชาญาณ ความศรัทธา, การกลับใจ, สุขภาพ,ความไว้วางใจ, พลังใจ ความรอด…
แม่พระทำให้ฉันเข้าใจว่าพระคุณเหล่านี้ พระนางนำมาจากดวงหทัยพระเยซูเจ้า เพื่อแจกจ่ายแก่มนุษย์ แม่พระเสริมว่า "พระคุณเหล่านี้เป็นของพระบุตรของแม่ และพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธแม่เลย"

พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปให้ฉันถามแม่พระว่า อีกด้านหนึ่งของเสื้อจำพวก จะเขียนข้อความอะไร แม่พระตอบว่า "แม่สงวนสิ่งนี้ไว้ ขอให้ลูกคิดเอง แล้วให้พระศาสนจักรตัดสินให้"
หลังจากที่แอสแตลได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 แล้ว พระองค์ทรงยอมรับเสื้อจำพวกที่แม่พระบอกนี้..ส่วนสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ตรัสว่า "เราเชื่อว่าเรื่องนี้มีกำเนิดที่ดี และพูดได้ว่าเปลเลอวัวแซงเป็นสถานพิเศษ ที่แม่พระทรงเลือก เพื่อแจกจ่ายพระคุณต่าง ๆ
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

แม่พระทรงประจักษ์ ที่ ปงต์แมง ประเทศฝรั่งเศส


แม่พระทรงประจักษ์ ที่ ปงต์แมง ประเทศฝรั่งเศส

การประจักษ์ของพระแม่เจ้าที่ปงต์แมง ค.ศ. 1871
เออแชน บาร์แบอแด๊ต อายุ 12 ขวบ เป็นเด็กเอาจริงเอาจัง ฉลาดเฉลียว อ่อนโยนซื่อๆ และเป็นเด็กดี เขาโผล่ออกมาจากยุ้งข้าวเพื่อ "ดูเวลา" และเขาได้เห็นหญิงงามผู้หนึ่ง ปรากฏมากลางอากาศ ลอยอยู่สูงประมาณ 2-3 เมตร เหนือหลังคาบ้านข้างเคียง "เธอยิ้มให้ฉัน"ีเขาเล่าในภายหลัง "และฉันเพียงมองเธออย่างไม่กระดุกกระดิกเลย ฉันทั้งประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน" เออแชนบอกกับน้องชายวัย 10 ขวบ ซึ่งเป็นคนว่องไวและมีชีวิตชีวา ว่า "ยอแซฟ น้องไม่เห็นอะไรเลยหรือ?""เห็นซี่ ผมเห็นสตรีแสนงามคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อยาวสีฟ้า สีฟ้าเข้มเป็นมันระยับ เหมือนสีครามที่ใช้ลงผ้าเลย" ยอแซฟและเออแชนบรรยายถึงภาพปรากฏที่น่าพิศวงนั้น

"สตรีงามนั้นเป็นความงามที่น่าชื่นใจ ดูเธอช่างเยาว์วัยนัก 18-20 ปีเห็นจะได้ เสื้อยาวของเธอประดับด้วยดวงดาวสีทอง ตั้งแต่คอจรดชายกระโปรง แบบเสื้อมีลักษณะกว้างและมีจีบลู่ลงมา แขนเสื้อกว้างคลุมลงมาจนถึงข้อมือ คอเสื้อเป็นแบบเรียบๆ แต่งามมาก สตรีงามสวมรองเท้าสีฟ้ามีริบบิ้นเป็นสีทอง มีผ้าคลุมศีรษะเป็นสีดำ คลุมผม
"สวมมงกุฎทองเหนือผ้าคลุม มงกุฎมองดูคล้ายๆ กับรัดเกล้าหรือเหมือนมงกุฎกลับหัวนั้นเอง มือของพระนางเล็ก และแบออกมายังเรา เหมือนกับแม่พระเหรียญอัศจรรย์ พระพักตร์เรียวกลม…สดชื่น..งามเช่นเดียวกับรูปร่าง ผิวผ่อง…ปากเล็กระบายด้วยรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ดวงตาอ่อนหวาน อย่างไม่มีอะไรเปรียบได้ ความอ่อนโยนอย่างที่สุดแผ่มายังเราเหมือนแม่ ดูคล้ายกับว่า เธอมีความยินดี ที่เห็นเราเพ่งมองพระนาง""เราไม่เคยเห็นความงามแบบนี้ ไม่ว่าจะในบุคคลหรือในรูปภาพก็ตาม" เด็กทั้งสองกล่าวต่อ แต่ชานเน็ต เดอเต มารดาและเซซาร์ บาร์เบอแด๊ต บิดา มองไม่เห็นอะไรเลย จึงสรุปว่า "ลูกเอ๊ย เจ้าไม่ได้เห็นอะไรสักหน่อยเลย ถ้าเจ้าเห็นจริง เราก็จะต้องเห็นเหมือนเจ้าซิ มาเถอะมาเก็บฟางต่อเถอะ เร็วเข้านะ"
แม้ว่า เซซาร์ บาร์เบอแด๊ต จะเป็นคนใจศรัทธา ก็ยังลังเลใจ (เขาไปเฝ้าศีลมหาสนิททุกวัน) เขาบอกกับ ชานเน็ต เดอเตว่า "อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะชานเน็ต เพราะจะไม่มีใครเชื่อ แล้วจะเป็นที่สะดุดมากกว่า" กระนั้นก็ดี เมื่อโกยฟางไปได้ไม่นาน เขากลับบอกกับเออแชน ลูกชายว่า "ออกไปดูอีกทีซิ เจ้ายังเห็นอะไรอีกไหม?"
ลูกชายรีบวิ่งไปบนทางเท้าหน้าประตู ยืนยันว่า "ยังอยู่จ้ะพ่อ เหมือนที่หนูเห็นตะกี้นี้เลย" ยอแซฟตบมือลั่นแล้วอุทานว่า "โอ! งามอะไรเช่นนั้น โอ! งามแท้ๆ! เด็กๆ ร้องซ้ำอย่างเดียวกัน พลางหันไปพูดกับมารดาซึ่งรีบวิ่งมาดูอีกคน "แม่!
แม่มองไม่เห็นหญิงงามที่แต่งตัวสีฟ้า มีผ้าคลุมผมสีดำและสวมมงกุฎดอกหรือแม่?" "แม่ไม่เห็นอะไรเลยนี่ลูก" แต่นางก็เสริมว่า "บางทีอาจจะเป็นแม่พระประจักษ์มาก็ได้นะ เพราะลูกเป็นคนมองเห็นท่านนี่นะ สวดข้าแต่พระบิดาและวันทาอย่างละ 5 บท เป็นการถวายเกียรติแด่พระนางก็แล้วกัน"

ในคืนเงียบสงบนั้น ประตูลั่นเอี๊ยด แล้วเปิดออก : "เกิดอะไรขึ้นหรือ?" "ไม่มีอะไรน่า" นายบาร์เบอแด๊ตพูด และภรรยาของเขาก็แถมท้ายว่า "เป็นเรื่องของเด็ก "บ๊องๆ" ที่พูดกันว่าเห็นอะไรแปลกๆ เท่านั้น คนอื่นไม่เห็นมีใครเขาเห็นกันเลย" เด็กสวดบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอาอย่างละ 5 บท "ดูอีกทีซิ เจ้ายังเห็นอะไรอยู่อีกหรือเปล่า?" ผู้เป็นแม่สั่ง ดูซิ! แม่จะไปเอาแว่นตา บางทีใส่แว่นตาแล้วแม่อาจจะมองเห็น" นางกลับมาในเวลาไม่ช้านัก พร้อมกับหลุยส์ สาวใช้ แต่หลุยส์ก็เช่นเดียวกันไม่เห็นอะไรเลย แม่จึงพูดเสียงเคร่งกับลูกๆ ว่า "มันน่าไหมล่ะ! พวกเราไม่เห็นอะไรสักอย่าง ไปเก็บฟางให้เสร็จ พวกเจ้าเป็น "พวกโกหก" และพวกประสาททั้งนั้นแหละ"
เด็กๆ มองภาพอัศจรรย์นั้นอย่างเต็มตา คล้ายกับจารึกไว้หมด เออแชนพูดขึ้นว่า "แม่จ๋า ถ้าแม่ยอม หนูขออยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย" แล้วหนูน้อยทั้งสองก็ยังคงจ้องดูด้วยความชื่นชมต่อไป "โอ! สวยจริงๆ โอ! งามอะไรอย่างนั้น!" หลังจากสวดบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอา อีกอย่างละ 5 จบแล้ว สักครู่ เด็กๆ ก็พูดต่อไปว่า "สตรีงามนั้น รูปร่างใหญ่อย่างกับ เซอร์วิตาลีน แน่ะ" "อย่างนั้นหรือ" แม่เด็กพูด "อย่างนั้นก็ต้องไปตามเซอร์วิตาลีนมา พวกเซอร์เขาดีกว่าเจ้าทั้งสองเป็นไหนๆ ถ้าเจ้าเห็น พวกเขาก็ต้องมองเห็นด้วย" เซอร์มาถึงที่นั่น แต่ก็บอกว่า "ฉันอุตส่าห์เปิดตาดูโตเท่าไร ก็ไม่เห็นอะไรเลย" เออแชนย้ำว่า "มาเซอร์เห็นดาว 3 ดวงที่เรียงกันเป็นสามเหลี่ยมไหมฮะ?" คนที่อยู่ที่นั้นทุกคนเห็นดาวสามดวงดังกล่าว แต่ไม่มีใครเห็นอะไรอื่นอีก "ใช่ ฉันเห็น" เซอร์พูด "อ้าว! ก็ดาวดวงที่อยู่ยอดแหลมนั้นน่า อยู่ตรงศีรษะของสตรีงามพอดีเลย" เซอร์วิตาลีนไปตามฟังซัวส์ริชเช อายุ 11 ขวบ และชานน์ มารี เลอโบส อายุ 9 ขวบ และเด็กอื่นอีกให้มาที่นั่น ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอมาถึงเด็ก ก็ร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้นว่า "โอ! หญิงแสนงาม เธอใส่เสื้อสีฟ้า มีดาวสีทองเต็มตัวเลย!"
คุณพ่อ เกแรง เจ้าอาวาส อายุ 72 ปีแล้ว ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นตัวอย่างในฤทธิ์กุศลมากมาย มีความศรัทธาภักดีต่อแม่พระมาก และท่านสมควรที่จะได้รับเกียรติได้รับการเยี่ยมเยียนของพระแม่ที่ปงต์แมง ท่านมายังที่เกิดเหตุ คุณพ่อผู้แสนดีจ้องมองฟ้า แต่ไม่เห็นอะไร
ขณะนั้นมีกางเขนสีแดงอันหนึ่งปรากฏอยู่บนทรวงอกของพระมารดา แล้วก็มีกรอบหนา 12 ซม. เป็นสีฟ้ามาทำเป็นวงโอบรอบพระนางไว้ แล้วมีเชิงเทียนที่มีเทียนปักอยู่แล้ว 4 อัน ออกมาจากขอบวงรูปไข่นั้น เทียนยังไม่ได้จุด พระนางผู้มีดวงดาวเป็นเครื่องประดับ ยังคงยิ้มแย้มอยู่ แล้วเธอก็หน้าเศร้าลง

"ถ้ามีแต่เด็ก เท่านั้นที่ได้เห็นแม่พระ ก็แปลว่าเราเป็นผู้ไม่มีเกียรติพอ" เซอร์มารี-เอดัวร์ ก็เช่นเดียวกับเซอร์ วิตาลีน เธอมาจากโรงเรียนใกล้เคียง เธอพูดกับคุณพ่อเจ้าอาวาสว่า "คุณพ่อ ลองพูดกับพระนางดู ดีไหมคะ?"
"โธ่!" เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ตอบด้วยเสียงตื้นตัน "ก็พ่อยังมองไม่เห็นท่านเลย จะให้พ่อกล้าพูดกับท่านได้อย่างไรกัน?" "อย่างนั้น คุณพ่อบอกให้เด็กๆ พูดกับพระนางจะได้ไหมคะ?" "สวดกันเถอะ" คุณพ่อเจ้าอาวาสตัดสิน เซอร์มารี-เอดัวร์ เริ่มต้นก่อสวดลูกประคำ ร่างของพระนางมารีอาค่อยขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ

เด็กๆ เล่าว่า "เธอใหญ่กว่าเซอร์วิตาลีน ตั้ง 2 เท่า ดวงดาวบนเสื้อเธอก็ดูเหมือนเพิ่มจำนวนมากขึ้น เหมือนดอกไม้บนดวงดาวเคลื่อนไหว จัดตัวเองแล้วเข้าเป็นคู่ๆ ไปหยุดอยู่บนเท้าของพระนาง" "เหมือนกับกองทัพมด ที่วิ่งไปเกาะตัวอยู่บนเสื้อของพระนาง ชั่วครู่เดียว เสื้อของพระนางก็เป็นสีทองระยับไปหมด"
ขณะที่เซอร์มารี-เอดัวร์ ก่อบท มักซีฟีกัต (ลก:1,46) ได้มีแผ่นป้ายสีขาวขึงอยู่ด้านใต้เท้าของพระนาง มีอักษรสีทองผุดขึ้นมาแล้ว คำว่า "จง" ก็ส่องสว่างอยู่บนป้ายนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าตอนนี้เด็กๆ อยู่กันคนละที่ มีอักษรตัวอื่นๆ ผุดขึ้นมาอีก ตัวอักษรสูงประมาณ 25 ซม. พอจบบทมักซีฟีกัต เด็กๆ อ่านได้ความว่า "จงภาวนาลูกของฉันเอ๋ย"
คุณพ่อเจ้าวัดเริ่มร้องเพลงแม่พระเป็นภาษาลาติน แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้นอีก มีคำผุดขึ้นอ่านได้ความดังนี้ "พระเป็นเจ้าจะทรงอภัยโทษพวกเจ้าในเวลาอันใกล้นี้" "เลิกแล้ว เลิกแล้ว สงครามจะสงบ เราจะมีสันติกันเสียที"
คนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกต่อๆ กัน พวกเขาเริ่มร้องเพลง "อินวีโอลาตา" มีอักษรปรากฏขึ้นมาใหม่บนป้าย อ่านได้ความว่า "พระบุตรของฉัน" ฝูงชนตื่นเต้นมากขึ้น "ต้องเป็นแม่พระแน่แล้ว!" เขาคิดตอนปลายของเพลงอินวีโอลาตา และซัลเวเรจีนา ที่ร้องต่อๆ กัน
มือที่เรามองไม่เห็นก็เขียนต่อไป เด็กอ่านได้ว่า "พระบุตรของฉันได้รับฟังแล้ว" แล้วเด็กๆ ก็อ่านข้อความทั้งหมดได้ว่า
" จงภาวนา ลูกของฉันเอ๋ย พระเป็นเจ้าจะทรงอภัยโทษพวกเจ้าในเวลาอันใกล้นี้ พระบุตรของฉันได้รับฟังแล้ว"

คุณพ่อเจ้าวัดหันไปบอกเซอร์มารี เอดัวร์ ว่า "ร้องเพลงสดุดีแม่พระสักบทซิ" เซอร์ได้เริ่มต้นเพลง "พระมารดาแห่งความหวัง" ขณะนั้นแม่พระทรงยกพระหัตถ์ที่ปล่อยแบออกขึ้นเหนือไหล่ของพระนาง พระนางมองดูเด็กๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพระนางก็ทำนิ้วเหมือนกับคนเล่นเปียโน ช้านุ่มนวล เด็กๆ ร้องว่า "นั่นแน่ เธอหัวเราะ โอ! ช่างงามอะไรเช่นนี้!"
ผู้คนที่อยู่ที่นั้นทั้งร้องไห้ ทั้งหัวเราะในเวลาเดียวกัน พวกเขาพากันชมดวงหน้าของเด็ก ซึ่งสะท้อนความน่าพิศวง ที่ได้รับจากภาพประจักษ์อีกต่อหนึ่ง "เราอยากจะกระโดดให้สูง" เด็กหญิงพูดขึ้น เออแชนเสริมว่า "โอ! ถ้าฉันมีปีก!"

"ตอนนี้เธอตกอยู่ในความเศร้า หน้าของเธอเศร้าเหลือเกิน" เด็กๆ พูด "ตอนนี้คงจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ๆ เลย" เด็กๆ พูด แล้วก็จริงๆ ดังนั้น
กางเขนแดงอันหนึ่งสูงประมาณ 50-60 ซม. ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพระนาง ซึ่งลดมือลงเพื่อรับไว้ แล้วพระนางถือไว้ต่อหน้าพระนาง กางเขนนั้นสีแดงเข้ม มีรูปพระคริสต์สีแดงสดอยู่บนนั้น บนยอดกางเขนมีป้ายสีขาว มีคำสีแดงเขียนว่า "เยซูคริสต์"
ขณะนี้ผู้คนที่ร่วมในเหตุการณ์พากันร้องเพลง "ปาร์เช โดมีเน" ทันใดนั้นดาวดวงหนึ่งที่อยู่เท้าขวาของพระนาง ลอยผ่านกรอบที่ล้อมไปจุดเทียนทั้ง 4 แท่ง แล้วดาวดวงนั้นก็ลอยขึ้นไปหยุดอยู่ที่เหนือศีรษะของพระนาง ที่ซึ่งดูเหมือนว่าพระนางแขวนลอยอยู่ เซอร์ มารี เอดัวร์ ร้องเพลง "อาเว มารีส สแตลลา" "กางเขนสีแดงหายไปแล้ว บนบ่าของพระนาง ปรากฏกางเขนเล็กๆ สีขาวข้างละอัน กางเขนทั้งสองนั้นตั้งอยู่บนบ่าของพระนาง"

เด็กๆ เล่า พระมารดาพระเป็นเจ้ายิ้มให้เด็กๆ อีกครั้งหนึ่ง เด็กๆ ร้องด้วยความยินดีว่า "พระนางหัวเราะแล้ว พระนางหัวเราะแล้ว" ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง คุณพ่อเจ้าวัดจึงบอกว่า "พวกเรามาสวดค่ำกันเถิด"
ในขณะที่กำลังพิจารณามโนธรรมกันอยู่นั้น เด็กๆ ได้เห็นผ้าคลุมผืนใหญ่ ขึ้นมาจากใต้เท้าของพระนาง และลอยขึ้นไปอย่างช้าๆ แล้วคลุมพระนางจนถึงเอว : แล้วลอยขึ้นใหม่ทีละนิดๆ จนผ้าคลุมนั้นปิดคลุมพระนางจนถึงคอ "มองดูเหมือนกับพระนางเข้าไปอยู่ใน "ถุง" อย่างนั้นแหละ" เออแชนกล่าว เด็กๆ มองเห็นเพียงแต่พระพักตร์น่าพิศวงของพระนางเท่านั้น แล้วพระพักตร์ก็ถูกคลุมด้วย มีแต่มงกุฎเท่านั้นที่ยังมองเห็นได้ ทั้งดวงดาวที่อยู่เบื้องบนด้วย แล้วทุกอย่างก็หายไป "ยังเห็นอะไรอยู่อีกหรือเปล่า?" คุณพ่อเจ้าวัดถาม "ไม่เห็นแล้ว จบแล้ว" เด็กๆ ตอบ ขณะนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่ม ฝูงชนรู้สึกงงงัน แต่ยังมีหวังอยู่เต็มเปี่ยม พากันค่อยๆ ทยอยกลับไป เหตุการณ์น่าพิศวงนั้นเหลือไว้แต่เพียงความเชื่อ พวกเรารู้จักเด็กเหล่านี้ดี แกคงไม่สามารถจะแต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเองได้ เออแชนและยอแซฟ นอนในยุ้งข้าวกับวัวคู่ยากของเขาตามปรกติ "เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
ทำไมจึงมองไม่เห็น คำเตือนล่วงหน้าของพระมารดาแห่งความหวังที่ปงต์แมง? พวกเยอรมันยกมาถึงลาวาลแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งให้กระจัดกระจายกันเข้าไปในเมือง แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตาม
ชาวปรัสเซียได้หยุดการบุกรุกก่อนการประจักษ์มาของพระมารดาแห่งปงต์แมง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แรงดลใจลึกลับอะไรหนอ ที่ในคืนวันที่ 17 และ 18 มกราคม 1871 เจ้าชายเฟรเดริก ชาร์ลส แม่ทัพเยอรมันได้หยุดการบุกรุก และทำไมเจ้าวิลเลียมแห่งปรัสเซีย จึงเรียกกองทหารของพระองค์ให้ออกจากบริเวณแม่น้ำแซน?

นักประวัติศาสตร์แห่งปงต์แมง ได้เล่าคำพูดที่ได้รับรู้มาแก่ นายพลฟอน ชมิดต์ "ก็แค่นั้น เราไม่ไปไกลกว่านั้น เพราะที่ฝั่งทะเลเบรอดาญ พระมารดาที่เรามองไม่เห็นเป็นผู้ปิดกั้นหนทางของเราไว้"
พระคุณเจ้า วิการ์ต สังฆราชแห่งลาวาลได้ถามเด็กที่เห็นภาพประจักษ์ ในวันที่เขารื้อฟื้นการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก และรับศีลกำลังในวันเดียวกัน และให้เขาทำพิธีสาบานอย่างสง่าแล้ว เขาก็ได้รื้อฟื้นความเชื่ออย่างสง่า (ศีลสง่า) "ข้าพเจ้าเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อ"
ปีหนึ่งต่อมา วันที่ 2 ก.พ.1872 หลังจากได้ขอความเห็นจากบรรดานักเทววิทยา นายแพทย์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งต่างก็มาสอบถามเด็กที่ได้เห็นภาพประจักษ์ แล้วพระสังฆราชได้ตีพิมพ์บทความดังต่อไปนี้

"หลังจากที่ได้ผลของขบวนการทดสอบด้านสมอง ผลจากใบรับรองแพทย์ และรายงานจากบรรดานักเทววิทยาแล้ว ตัดสินได้ว่า การปรากฏมานั้น มิได้เป็นเรื่องโกหก หรือภาพหลอน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความเจ็บป่วยบางอย่างทางสายตาของเด็ก หรือเด็กๆ มีสติฟั่นเฟือน หรือเรื่องตาฝาดเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุการณ์ที่อาศัยธรรมชาติของร่างกายด้วยและมองเห็นได้ ซึ่งจะอธิบายว่าเป็นอำนาจของปีศาจก็ไม่ได้ และนอกจากนั้นยังบอกได้ว่าการประจักษ์ครั้งนี้ มีลักษณะที่เหนือธรรมชาติแสดงออกมา เราตัดสินได้ว่าพระนางมารีอา พระมารดาของพระเป็นเจ้า ได้ประจักษ์มาจริงในวันที่ 17 มกราคม 1871 แก่เออแชน บาร์เบอแด๊ต, ยอแซฟ บาร์เบอแด๊ต, ฟรังซัวส์ ริชเช และชานน์ มารี เลอโบสเซ ที่หมู่บ้านปงต์แมง ซึ่งมีประเพณีการนับถือแม่พระ ที่เรียกกันว่า พระมารดาแห่งความหวัง"พระมหาวิหารปงต์แมง ได้สร้างขึ้นในปี 1900 ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ เงาของวิหารทอดลงบนแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ วิหารนี้อยู่ตรงสถานที่ที่แม่พระประจักษ์มานั่นเอง เด็กทั้งสี่ที่ได้เห็นการประจักษ์ที่ปงต์แมง มีชีวิตต่อมาเป็นประจักษ์พยานที่แท้จริง
เออแชน เด็กชายคนโตได้ยืนยันหลังจากได้เห็นภาพประจักษ์ไม่นานว่า เขามีกระแสเรียก เขาได้บวชเป็นพระสงฆ์และได้เป็นพ่อเจ้าวัดที่ ชาตียอง-ซูร์-โคลมอง คุณพ่อถึงแก่มรณภาพ วันที่ 2 พฤษภาคม 1917

คุณพ่อไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ปงต์แมงขณะที่ฟังเรื่องเล่าถึงการประจักษ์ในครั้งนั้น
ยอแซฟ น้องชาย ได้เข้าบวชในคณะโอบลาเดอ มารี เขาอยากเป็นมิสชันนารี แต่สุขภาพไม่อำนวย จึงทำงานอยู่ที่ มาชองน์ รับหน้าที่มิสชันนารี แห่งการประจักษ์ ซึ่งคุณพ่อก็ได้ให้ "คำเล่า" ที่มีค่า คุณพ่อใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านของคณะที่ปงต์แมง และอำลาโลกชั่วคราวนี้ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1930
ฟรังซัวส์ ริชเช และชานน์ มารี เลอโบสเซ มีชีวิตอย่างเรียบง่าย และสุภาพ ไม่มีชื่อเสียง… คนแรกเป็นแม่บ้าน ต่อมาได้เป็นครูผู้ช่วยที่ชาตียอง เธอสิ้นใจวันที่ 28 มีนาคม 1915 คนที่ 2 บวชในคณะครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งบอร์โด้

ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา

ผู้กลับใจ