13 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู 25. บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริมงคล


bluesilvanimcross.gif

25
บุตรแห่งมนุษย์
จะเสด็จกลับมาในพระสิริมงคล

       ระเยซูเจ้าทรงค้างคืนกับเพื่อนๆที่เบธานีและเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าพระวิหาร วันนั้นเป็นวันอังคาร หลังจากที่ทรงชื่นชมกับความใจกว้างของหญิงหม้ายทำบุญสำหรับพระวิหาร พระองค์ตรัสถึงคำทำนายของการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารถึงขนาด “ไม่มีหินซ้อนหินเหลืออยู่”
       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 70 เมื่อกองทัพโรมันโดยการนำของตีโต  พระเยซูเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อพูดถึงอาวสารของโลก ซึ่งเหมือนกับความพินาศของเมืองศักดิ์สิทธิ์ โดยมีสงคราม การปฏิวัติ ความอดหยาก การสูญเสียชีวิตล่วงหน้ามาก่อน
       ช่างระหว่างการทำลายกรุงเยรูซาเล็มกับอาวสารของโลก จะมีช่วงเวลาของพระจิตและของพระศาสนจักรซึ่งต้องเป็นประจักษ์พยานแห่งพระวรสาร แม้จะต้องถูกเบียดเบียน เข่นฆ่า และจำคุก
       พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ของพระองค์ด้วยท่าทีแห่งความรักและความบรรเทาใจ พร้อมกับช่วยพวกเขาไม่ให้ตกในความวิตกกังวลและความสิ้นหวัง ในเวลาเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้พวกเขาว่าพระอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง
       พระเยซูเจ้าทรงแนะนำแต่ละคนให้ตื่นเฝ้า สวดภาวนาและขยันขันแข็ง พร้อมกับใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมาให้เกิดผลอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะพรสวรรค์ด้านธรรมชาติ เวลา การพูดคุยกับผู้มีปรีชาญาณ ทรัพย์สินเงินทอง งานการ และทุกโอกาสที่มี รวมทั้งความทุกข์ยากลำบาก โดยยึดมั่นในพระวรสาร ซึ่งเป็นพระวาจาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อความรอดของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เพราะในบั้นปลายของทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่รอดจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
       เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ พระเยซูเจ้าทรงใช้คำอุปมาสองอย่าง นั่นคือหญิงฉลาดและเงินตาเลนต์ แล้วนั้นทรงพูดถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย โดยเน้นให้เห็นว่าบรรทัดฐานที่ใช้ในการพิพากษาคือความรักต่อเพื่อนพี่น้อง “...ท่านได้ให้เรากิน ให้เราดื่ม...มาเยี่ยมเราในคุก” มีคนจำนวนมากที่จะได้ยินพระวาจาที่ว่า “จงมาเถิด ท่านที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับมรดกแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า”


เศษเงินของหญิงม่าย

       ระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน  ทรงเห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย  จึงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน  เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน’ ลูกา21: 1-4


คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม

       ณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า  ‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’ 
       เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า
       ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร  และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น’ ลูกา 21: 5-7

เครื่องหมายเตือน

       พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป  เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’ 
       แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง  แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
       ‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา  และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา  จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน  เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้  
       บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย 
       ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา  แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว  ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้ ลูกา 21 : 8-19

กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

      ‘เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่าง ๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว 
       เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่าเข้ามาในกรุง 
       เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ จะเป็นความจริงทุกประการ  น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้  บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ลูกา 21: 20-24

ภัยพิบัติในจักรวาล
และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์

       ‘จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ชนชาติต่าง ๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ทรมาน ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน  มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน  หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่  เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว’


เวลาแห่งการเสด็จมา

       พระองค์ตรัสเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า ‘จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด  เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น  ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลยลูกา 21, 25-33

คำเตือนให้เตรียมพร้อม
       ‘จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง  ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน  เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมา เหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน  ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้’


พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย

       เวลากลางวัน พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร แต่เวลากลางคืนพระองค์ทรงออกไปประทับแรมอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ        
       ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อฟังพระองค์ ลก  21, 34-38

อุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคน
      "าณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว  2ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด3"หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย  4ส่วนหญิงฉลาด นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง  ทุกคนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า  ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’"หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง  หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า
       ‘ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’
       "หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ 
       ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด 
       ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า
       ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา  เปิดรับพวกเราด้วย’ 
       แต่เขาตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’
       เพราะฉะนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา มัทธิว25: 1-13


อุปมาเรื่องเงินตะลันต์ 
       "อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้  ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป
       "คนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์  คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน  แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
         "หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา 

         คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 
         นายพูดว่า
        ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ 
       คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า
       ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 
       นายพูดว่า
       ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’
       "คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า
       ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย  ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของ ท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ 
       นายจึงตอบว่า
       ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย  เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย
       จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’ มัทธิว25: 14-30

การพิพากษาครั้งสุดท้าย
       "เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์  บรรดาประชาชาติ จะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย 
       แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า
       ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก  เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’
       "บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า
        ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม  เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้  เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ 
       พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
       "แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า
       ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน  เพราะว่า  เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม  43เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ 
       พวกนั้นจะทูลถามว่า
       ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ 
       พระองค์จะตรัสตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ 
       แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร มัทธิว25: 31-46



พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:17-19 วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2012


วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2012 

พระวรสารนักบุญมัทธิว 
มธ 5:17-19

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์”

ข้อคิด
          เราแน่ใจแค่ไหนว่าเราสอนคนอื่นให้มีความเชื่อ ด้วยแบบอย่างที่ดี มากกว่าด้วยคำพูดของเรา? เราเคยสอนให้คนอื่นมีความเชื่อในคำภาวนาหรือไม่? โดยสอนว่า “เมื่อเรายกมือของเราเหนือศีรษะเพื่อวิงวอนขอพระเป็นเจ้า พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือเรา”



บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 18:20-39 - วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2012


วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2012 

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 
1 พกษ 18:20-39


          กษัตริย์อาหับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคน และประกาศกมาที่ภูเขาคาร์เมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบเรือสองแคมอยู่อีกนานเท่าใด ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์เถิด แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร

          เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเป็นประกาศกเพียงคนเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยังเหลืออยู่ แต่ประกาศกของพระบาอัลมีจำนวนถึงสี่ร้อยห้าสิบคน จงนำโคเพศผู้มาสองตัว ให้เขาเลือกตัวหนึ่ง ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อน ๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเตรียมโคอีกตัวหนึ่ง วางบนกองฟืน และไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน ส่วนข้าพเจ้าจะเรียกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟมา พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี”

          เอลียาห์พูดกับประกาศกของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคตัวหนึ่งและจัดเตรียมก่อน เพราะท่านมีหลายคนด้วยกัน จงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าจุดไฟ” เขานำโคมาจัดเตรียม แล้วเรียกพระนามพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวันว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดตอบข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย” แต่ไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ เขาเต้นไปรอบๆแท่นที่เขาสร้างขึ้น ถึงเวลาเที่ยง เอลียาห์ก็เยาะเย้ยพวกเขาว่า “ร้องให้ดังกว่านี้ซิ เพราะพระบาอัลทรงเป็นพระเจ้า บางทีพระองค์กำลังมีกังวล กำลังทรงติดธุระ หรือกำลังเสด็จประพาส ถ้ากำลังบรรทมอยู่ ก็จงปลุกให้ทรงตื่น เขาเหล่านั้นจึงร้องตะโกนเสียงดังยิ่งขึ้น พลางใช้ดาบและหอกเชือดตัวตามพิธีของตน จนกระทั่งเลือดไหล เที่ยงวันผ่านไป เขายังคงพูดพร่ำอยู่ในภวังค์ต่อไปจนถึงเวลาถวายเครื่องบูชา แต่ไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ ไม่มีใครฟัง

          เอลียาห์จึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา เอลียาห์ลงมือซ่อมแซมแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกรื้อลงแล้ว เอลียาห์นำหินสิบสองก้อนตามจำนวนเผ่าลูกหลานของยาโคบ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานนามให้ว่า “อิสราเอล” เอลียาห์ใช้หินเหล่านั้นสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วขุดร่องน้ำรอบแท่นบูชาให้ใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้ประมาณสองถัง เรียงฟืนไว้บนแท่นบูชา ตัดโคเป็นท่อน ๆ นำมาวางไว้บนฟืน สั่งว่า “จงตักน้ำมาสี่ถัง เทลงบนเครื่องบูชาและฟืน” เขาก็ทำตามเอลียาห์สั่งอีกว่า “จงทำอีกครั้งหนึ่ง” เขาก็ทำตามอีกครั้งหนึ่ง เอลียาห์ยังสั่งอีกว่า “จงทำเป็นครั้งที่สาม” เขาก็ทำอีกเป็นครั้งที่สาม น้ำก็ไหลรอบแท่นบูชาเต็มร่องน้ำ
          เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชา ประกาศกเอลียาห์ก็เข้าไปใกล้พระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล วันนี้โปรดทรงสำแดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด โปรดทรงตอบข้าพเจ้า เพื่อประชากรเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าและทรงบันดาลให้เขากลับใจมาหาพระองค์”

          องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หินและฝุ่นจนหมด ทำให้น้ำในร่องแห้งไปด้วย ประชากรทุกคนเห็นดังนั้นก็ซบหน้าลงจรดพื้นดิน ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า”



ระลึกถึง น.อันตน แห่งปาดัว พระสงฆ์และนักปราชญ์

นักบุญ อันตน แห่ง ปาดัว
พระสงฆ์ และนักปราชญ์
องค์อุปถัมภ์ของผู้อดหยากหิวโหย
ระลึกถึงวันที่ 13 มิถุนายน


แฟร์นันโด เด บูโยแอส อี ตราเวอีราเกิดที่กรุงลิสบอนในประเทศโปรตุเกสท่านได้บวชเป็นพระสงฆ์ และได้เข้าเป็นนักบวชในคณะนักบุญออกัสติน แต่ว่าต่อมาท่านได้รู้สึกทึ่งมากในอุดมการณ์ของพวกนักบวชคณะฟรังซิสกัน เพราะท่านได้แลเห็นศพของมรณสักขีที่เป็นนักบวชคณะฟรังซิสกันพวกแรกของประเทศมารอคโค 5 คนด้วยกัน ท่านจึงตัดสินใจเข้าเป็นนักบวชฟรังซิสกันและไปประจำอยู่ที่อารามนักบุญ อันโตนีโอ (แห่ง) ที่เมืองโคอิมบรา และได้รับนามใหม่ว่า “อันโตนีอุส”

เนื่องจากอันโตนีโออยากจะเป็นมรณสักขีกับเขาบ้าง จึงต้องการไปแพร่ธรรมในหมู่พวกอิสลามทางตอนเหนือของทวีปอัฟริกา แต่ความเจ็บไข้ทำให้ท่านไม่ได้ไปถึงจุดหมาย เรือที่ท่านได้โดยสารไป ต้องกลับมาจอดและขึ้นบกที่เกาะซิซีลีเพราะโดนพายุหนัก   เมื่อกลับมาถึงประเทศอิตาลี   ท่านได้ลงมือออกไปประกาศพระวรสารทั่วประเทศอิตาลี

ในปี 1221 ท่านได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของคณะที่ปอร์ซีอุนโคลา และได้มีโอกาสพบกับนักบุญ ฟรังซิส อัสซีซี

ท่านได้ทำให้คนเป็นอันมากกลับใจและได้เทศน์ต่อต้านพวกเฮเรติกในประเทศอิตาลีและในประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างเทศกาลมหาพรตปี 1231 ท่านได้เทศน์สอนเกี่ยวกับเรื่องของสังคม เป็นต้นความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งถือว่าเป็นจุดสุดยอดของการเทศน์ของท่าน

ท่านได้สิ้นใจในเดือนมิถุนายนถัดมาที่ตำบลอาร์เชลลา ในจังหวัด Padovaขณะที่มีอายุเพียง 36 ปีเท่านั้น

ท่านเป็นนักบวชฟรังซิสกันคนแรกที่ได้สอนเทววิทยา เราจะเห็นว่าในบทเขียนและคำเทศน์สอนต่างๆ ของท่าน ท่านมักจะอ้างอิงข้อความจากพระคัมภีร์อยู่เสมอๆ ดังนั้นในปี 1946 พระสันตะปาปาปีโอที่ 12  ได้ให้เกียรติท่าน โดยแต่งตั้งให้ท่านเป็น “นักปราชญ์แห่งพระวรสาร” การเคารพให้เกียรติท่านนั้น ดูเหมือนว่าจะแพร่หลายที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญ หลังจากที่ท่านได้สิ้นใจเพียงปีเดียวเท่านั้น




นักบุญ อันตน แห่ง ปาดัว
.....................................................................................

พระสงฆ์ และนักปราชญ์
 13 มิถุนายน
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ

1. ขอให้ความศรัทธาภักดีของเราที่มีต่อบรรดานักบุญจงช่วยนำเราให้เข้าใกล้ชิดพระเยซูคริสตเจ้า
2. ขอให้เราได้รู้จักและแลเห็นโฉมหน้าของพระเยซูเจ้าในบรรดานักบุญในแต่ละศตวรรษ
3. ขอให้เราได้ตระหนักว่าบรรดานักบุญเป็นพี่น้องของเราที่คอยเอาใจใส่ห่วงใยเราอยู่เสมอ
4. ขอให้พฤติกรรมและจิตตารมณ์ของบรรดานักบุญได้ช่วยโน้มน้าวให้เราเจริญชีวิตตามจิตตารมณ์พระวรสาร

มานาประจำวัน - ครูที่ดีที่สุด

ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม – สดุดี 1:1


จากการพูดคุยกับคนหนุ่มสาวเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับอนาคต ผมได้ยินหลายคนพูดทำนองว่า “เราต้องเข้าไปในโลกเพื่อจะได้มีประสบการณ์กับเหตุการณ์และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพื่อที่เราจะได้เติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง”
ความคิดแบบนี้ได้กลืนคริสเตียนมากมายที่ไม่เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ และค่อยๆ หันพวกเขาไปในทางที่ตรงข้ามกับพระเจ้า จริงอยู่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ( ยน.17:15) และเราได้รู้ได้เห็นสถานการณ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่ในแบบคริสเตียน (ที่โรงเรียน ที่ทำงาน ละแวกบ้าน) แต่เราจำเป็นต้องระวังให้ดีว่าเมื่อเราเปิดหูเปิดตาต่อสิ่งเหล่านั้นเราต้องไม่รับเอาแนวคิดที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเข้ามา เราทั้งหลายจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้ดีกว่า หากเราจะทำตามแบบแผนที่พระเจ้าสอนไว้ใน สดุดี 1:1
ข้อแรกคือ อย่าให้ “คำแนะนำของคนอธรรม” ควบคุมการตัดสินใจและการเลือกของเรา ข้อสองคือ เราต้องไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่คนไม่เชื่อพระเยซูจะมีอิทธิพลต่อกระบวนการทางความคิดของเรามากจนเกินไป ข้อสามคือ อย่าให้เราสนิทสนมกลมเกลียวกับคนที่เย้ยหยันพระเจ้าและพระคำของพระองค์ หรือเย้ยหยันบทบาทของพระองค์ในชีวิตของเรา จนทำให้เราเริ่มคล้อยตามความคิดของเขา
คำแนะนำของคนเหล่านั้นจะนำเราออกห่างจากพระเจ้า แทนที่เราจะฟังพวกเขา เราควรจะรับการฝึกฝน คำสอน และคำแนะนำจากพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า รวมทั้งจากคนที่รู้จักและรักพระวจนะ ไม่ใช่ประสบการณ์แต่เป็นพระเจ้าและพระคำของพระองค์ที่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา – JDB
พระวิญญาณพระเจ้าประทานให้ สอนเราเป็นผู้ใหญ่และพัฒนา
ทั้งเข้าใจพระคำยามศึกษา แยกแยะว่าถูกผิดเป็นอย่างไร – Sper
จงให้พระคำของพระเจ้าเต็มความคิด ปกครองหัวใจ และนำชีวิตของเรา


Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

ผู้กลับใจ