13 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู 25. บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริมงคล


bluesilvanimcross.gif

25
บุตรแห่งมนุษย์
จะเสด็จกลับมาในพระสิริมงคล

       ระเยซูเจ้าทรงค้างคืนกับเพื่อนๆที่เบธานีและเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าพระวิหาร วันนั้นเป็นวันอังคาร หลังจากที่ทรงชื่นชมกับความใจกว้างของหญิงหม้ายทำบุญสำหรับพระวิหาร พระองค์ตรัสถึงคำทำนายของการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารถึงขนาด “ไม่มีหินซ้อนหินเหลืออยู่”
       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 70 เมื่อกองทัพโรมันโดยการนำของตีโต  พระเยซูเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อพูดถึงอาวสารของโลก ซึ่งเหมือนกับความพินาศของเมืองศักดิ์สิทธิ์ โดยมีสงคราม การปฏิวัติ ความอดหยาก การสูญเสียชีวิตล่วงหน้ามาก่อน
       ช่างระหว่างการทำลายกรุงเยรูซาเล็มกับอาวสารของโลก จะมีช่วงเวลาของพระจิตและของพระศาสนจักรซึ่งต้องเป็นประจักษ์พยานแห่งพระวรสาร แม้จะต้องถูกเบียดเบียน เข่นฆ่า และจำคุก
       พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ของพระองค์ด้วยท่าทีแห่งความรักและความบรรเทาใจ พร้อมกับช่วยพวกเขาไม่ให้ตกในความวิตกกังวลและความสิ้นหวัง ในเวลาเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้พวกเขาว่าพระอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง
       พระเยซูเจ้าทรงแนะนำแต่ละคนให้ตื่นเฝ้า สวดภาวนาและขยันขันแข็ง พร้อมกับใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมาให้เกิดผลอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะพรสวรรค์ด้านธรรมชาติ เวลา การพูดคุยกับผู้มีปรีชาญาณ ทรัพย์สินเงินทอง งานการ และทุกโอกาสที่มี รวมทั้งความทุกข์ยากลำบาก โดยยึดมั่นในพระวรสาร ซึ่งเป็นพระวาจาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อความรอดของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เพราะในบั้นปลายของทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่รอดจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
       เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ พระเยซูเจ้าทรงใช้คำอุปมาสองอย่าง นั่นคือหญิงฉลาดและเงินตาเลนต์ แล้วนั้นทรงพูดถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย โดยเน้นให้เห็นว่าบรรทัดฐานที่ใช้ในการพิพากษาคือความรักต่อเพื่อนพี่น้อง “...ท่านได้ให้เรากิน ให้เราดื่ม...มาเยี่ยมเราในคุก” มีคนจำนวนมากที่จะได้ยินพระวาจาที่ว่า “จงมาเถิด ท่านที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับมรดกแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า”


เศษเงินของหญิงม่าย

       ระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน  ทรงเห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย  จึงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน  เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน’ ลูกา21: 1-4


คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม

       ณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า  ‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’ 
       เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า
       ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร  และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น’ ลูกา 21: 5-7

เครื่องหมายเตือน

       พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป  เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’ 
       แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง  แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
       ‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา  และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา  จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน  เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้  
       บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย 
       ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา  แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว  ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้ ลูกา 21 : 8-19

กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

      ‘เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่าง ๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว 
       เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่าเข้ามาในกรุง 
       เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ จะเป็นความจริงทุกประการ  น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้  บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ลูกา 21: 20-24

ภัยพิบัติในจักรวาล
และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์

       ‘จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ชนชาติต่าง ๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ทรมาน ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน  มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน  หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่  เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว’


เวลาแห่งการเสด็จมา

       พระองค์ตรัสเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า ‘จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด  เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น  ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลยลูกา 21, 25-33

คำเตือนให้เตรียมพร้อม
       ‘จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง  ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน  เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมา เหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน  ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้’


พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย

       เวลากลางวัน พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร แต่เวลากลางคืนพระองค์ทรงออกไปประทับแรมอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ        
       ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อฟังพระองค์ ลก  21, 34-38

อุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคน
      "าณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว  2ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด3"หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย  4ส่วนหญิงฉลาด นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง  ทุกคนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า  ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’"หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง  หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า
       ‘ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’
       "หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ 
       ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด 
       ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า
       ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา  เปิดรับพวกเราด้วย’ 
       แต่เขาตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’
       เพราะฉะนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา มัทธิว25: 1-13


อุปมาเรื่องเงินตะลันต์ 
       "อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้  ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป
       "คนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์  คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน  แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
         "หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา 

         คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 
         นายพูดว่า
        ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ 
       คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า
       ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 
       นายพูดว่า
       ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’
       "คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า
       ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย  ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของ ท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ 
       นายจึงตอบว่า
       ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย  เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย
       จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’ มัทธิว25: 14-30

การพิพากษาครั้งสุดท้าย
       "เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์  บรรดาประชาชาติ จะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย 
       แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า
       ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก  เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’
       "บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า
        ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม  เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้  เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ 
       พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
       "แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า
       ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน  เพราะว่า  เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม  43เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ 
       พวกนั้นจะทูลถามว่า
       ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ 
       พระองค์จะตรัสตอบว่า
       ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ 
       แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร มัทธิว25: 31-46



ผู้กลับใจ