02 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 3.ในแผ่นดินอิสราเอล


3453.gif


3.
ในแผ่นดินอิสราเอล

       ผู้อพยพสามคนกลับมายังประเทศอิสราเอล  ซึ่งทุกวันนี้เราเรียกว่า “ปาเลสไตน์” แต่ชาวฮีบรูไม่ชอบเรียกชื่อนี้เพราะถือว่าเป็น “ดินแดนของพระเจ้า”  พระคัมภีร์เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “แผ่นดินแห่งพระสัญญา” และ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
       ประวัตศาสตร์ของดินแดนแห่งนี้เริ่มต้นมานานและเต็มด้วยความขัดแย้ง ในเวลาเดียวกันก็เป็นดินแดนแห่งการพบปะ
       เป็นดินแดนที่จารึกอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ทุกคน จึงเป็น “ดินแดนของทุกคน”
       ชาวโรมันได้ยึดครองดินแดนแห่งนี้ในปี 63 ก่อนคริสตกาล และแบ่งดินแดนแห่งนี้ออกเป็นหกพื้นภาค นั่นคือ คาลิลี ภาคเหนือ ซามาเรีย ภาคกลาง ยูเดีย ภาคใต้ ทางภาคตะวันออก เลยแม่น้ำจอร์แดน ประกอบด้วยหัวเมือง ตราโกนิตีเด อีทูเรอา และอาบีเลเน
       จากปี 40 ก่อนคริสตกาล ทางโรมมอบอำนาจให้กษัตริย์เฮโรด ซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวเบดูอินที่เปลี่ยนมาถือลัทธิยูดาเพราะผลประโยชน์
       กษัตริย์เฮโรดทรงปกครองอยู่ 44 ปี พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจไว้ ฆ่าผู้หญิง ลูกๆและเพื่อนๆ  แต่เขาไม่สามารถฆ่าพระเยซูเจ้าได้ เพราะครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อพยพไปอยู่ประเทศอียิปต์ เมื่อทุกอย่างสงบแล้วจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่เมืองนาซาเรธ
       พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตเรียบๆประมาณ 25 ปี เติบโตและบรรลุวุฒิภาวะทางกาย ทางจิตใจและทางสติปัญญา เฉกเช่นสามัญชน ทรงดำเนินชีวิตกับบิดาและมารดา ทุกคนรู้จักพระองค์ในฐานะบุตรของโยเซฟและมารีย์
       พระองค์ทรงพูดภาษาอารามิค ซึ่งเป็นภาษาที่พูดกันสมัยนั้น แล้วนั้นท่านเรียนภาษฮีบรู ภาษาพระคัมภีร์  ประวัติศาสตร์ชนชาติ และ“กฎหมายของพระเจ้า”  พระองค์ทรงไปศาลาธรรมทุกวันเสาร์
       พระองค์ทรงเรียนอาชีพจากโยเซฟ บิดา คนจึงเรียกพระองค์ว่า “ช่างไม้” คนพากันชื่นชมในการพูดการจาและความปรีชาญาณของพระองค์ พวกเขาจึงมักพูดด้วยความแปลกใจว่า “แต่นี่ไม่ใช่ช่างไม้หรือ เขาไปเรียนรู้การพูดและการทำกิจการน่าทึ่งมาจากใคร”
       มีสามเหตุการณ์ที่ทำลายความเงียบของชีวิตที่นาซาแรธ  เป็นเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า พระบิดาแท้จริงของพระองค์ เหตุการณ์แรกเมื่อตอนทรงพระชนม์ 12 พรรษา เหตุการณ์ที่สองและที่สามในปี 28 ก่อนคริสตกาล ไม่กี่เดือนก่อนที่พระองค์จะเริ่มพันธกิจของพระองค์ ผู้นิพนธ์พระวรสารได้เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ดังนี้ •

พระเยซูเจ้าในหมู่ธรรมาจารย์
       โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี  เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น  เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้  เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก  เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา  ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม  เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า
       “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิพ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก”
       พระองค์ตรัสตอบว่า 
       “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก”

       โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส (ลูกา 2: 41-50)


พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปประทับที่เมืองนาซาเร็ธ


       พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย  พระเยซูเจ้าทรงเจริญขึ้นทั้งในพระปรีชาญาณ พระชนมายุ และพระหรรษทานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ (ลูกา2: 51-52)


II. เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน

คำประกาศของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง




       ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัส ปอนทิอัสปีลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟีลิปพระอนุชา ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนีย เป็นเจ้าปกครองแคว้นอาบีเลน  อันนาสและคายาฟาส เป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร  เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป  ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบันทึกของประกาศกอิสยาห์ว่า
       “คนคนหนึ่งร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด
       หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็มภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลงทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรงทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ     
       
แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า”
 (ลูกา3: 1-6)



       ดังนั้น ยอห์นพูดกับประชาชนที่มารับพิธีล้างจากเขาว่า “สัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำท่านให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง  จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด และอย่ามาอ้างว่า 'เรามีอับราฮัมเป็นบิดา' ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้  บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ” (ลก 3: 1-6)





-

       เมื่อประชาชนถามยอห์นว่า
       “เราจะต้องทำอะไร”  
       เขาก็ตอบว่า
       “ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้กับคนที่ไม่มี
คนที่มีอาหาร ก็จงทำเช่นเดียวกัน” 

       คนเก็บภาษีมาหายอห์นเพื่อรับพิธีล้างด้วย และถามเขาว่า
       “ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องทำสิ่งใด” 
       ยอห์นตอบว่า
       “ท่านอย่าเรียกเก็บภาษีเกินพิกัด” 
       พวกทหารถามเขาด้วยว่า
        “แล้วพวกเราเล่า เราจะต้องทำสิ่งใด”
       เขาตอบว่า
       “อย่าขู่กรรโชก อย่ากล่าวหาเป็นความเท็จเพื่อเอาเงิน
จงพอใจกับค่าจ้างของตน”
  (ลูกา3: 10-14)

       ขณะนั้น ประชาชนกำลังรอคอย ทุกคนต่างคิดในใจว่า ยอห์นเป็นพระคริสต์หรือ
       ยอห์นจึงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า
       “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลายแต่ผู้ที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ”  
       ยอห์นยังใช้ถ้อยคำอื่นอีกมากตักเตือนและประกาศข่าวดีแก่ประชาชน (ลก 3: 15-18)

พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง

       ขณะนั้นประชาชนทั้งหมดกำลังรับพิธีล้าง พระเยซูเจ้าก็ทรงรับพิธีล้างด้วย และขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนา อยู่นั้น ท้องฟ้าก็เปิดออก  และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ มีรูปร่างที่เห็นได้ดุจนกพิราบ แล้วมีเสียงจากสวรรค์ว่า
      “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (ลูกา3: 21-22)

ปีศาจผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดาร

       พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร  ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุดทรงหิว
       ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า
       “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” 
       
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”         
       ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่าง ๆ ของโลกทั้งหมดในคราวเดียว
       และทูลพระองค์ว่า
       “ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนา  ดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน”
        พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า
        “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’” 
       ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า
        “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
        ‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’
 และยังมีเขียนอีกว่า
       ‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’”

       แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
       “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
       เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยกจากพระองค์ไปรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม (ลก 4: 1-13)




นักบุญ เจมส์ หรือ ยาโกเบ หรือ ยากอบ ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม


นักบุญ เจมส์ หรือ ยาโกเบ หรือ ยากอบ
ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม
นักบุญ เจมส์ หรือ ยาโกเบ หรือ ยากอบ ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า “องค์เล็ก” เป็นคนหนึ่งแต่ในบรรดาอัครธรรมทูต 12 องค์ของพระคริสตเจ้า เป็นบุตรของอัลเฟอัส ( มธ.10:3; มก. 3:18 ; ลก. 6:15 ) และตามธรรมประเพณีที่เราได้รับสืบทอดต่อกันมานั้นเป็นองค์เดียวกันกับที่เรามักจะเรียกว่า “ญาติของพระเยซูเจ้า” ( มก. 6:3; มธ.13:55 ) และดูเหมือนท่านเองที่เป็นเจ้าของ “จดหมายของนักบุญ ยากอบ” โดยใช้ชื่อผู้เขียนว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระคริสตเยซู”ท่านได้เป็นองค์พยานของพระผู้ได้ทรงกลับคืนชีพ (1คร.15:7) และเป็นท่านเองที่นักบุญ เปโตร ได้มาบอกข่าวเรื่องการหนีออกจากที่คุมขังมาได้ ( กจ. 12:17 ) และเป็นท่านเองที่นักบุญเปาโล ซึ่งเพิ่งกลับใจได้มาทำการติดต่อกับท่าน (กท.1:18 ) และที่สุดเป็นท่านเองที่ได้มีบทบาทสำคัญในสภาสังคายนาที่กรุงเยรูซาเลม ( กจ.15: 13-29 )
ในปี 36-37 เมื่อบรรดาอัครสาวกได้แยกย้ายกันไปประกาศพระวรสารแล้ว ท่านได้เป็นหัวหน้าของพระศาสนจักรมารดาที่กรุงเยรูซาเลม ( กจ. 21:18-26 ) ที่สุด ท่านได้เป็นมรณสักขีในประมาณปี 62
ประวัติชีวิตหรือเรื่องราวต่างๆ ของบรรดาอัครธรรมทูต เราต้องให้ความสำคัญน้อยกว่าข้อเท็จจริงของวันฉลองของท่านในใจความที่ว่า “พระวาจาของพระเจ้าที่ท่านได้ประกาศเพื่อรวมมนุษย์ให้เข้ามาอยู่ในพระอาณาจักร และทุกวันนี้ได้ทรงเรียกเราให้มาชุมนุมกันที่โต๊ะศักดิ์สิทธิ์ ได้ช่วยสร้างสรรค์เราบนรากฐานของบรรดาอัครธรรมทูต และของผู้แทนของท่านท่ามกลางพวกเรา”
สารที่มีชีวิตชีวาและที่ยังใช้ได้เสมอกับเราในทุกวันนี้ของ นักบุญยากอบ คือท่านได้ให้ความเคารพยกย่องพวกคนจน และในเวลาเดียวกันก็ได้เตือนสติพวกคนรวย ท่านได้กล่าวย้ำอีกว่าความเชื่อจะไร้ผล ถ้าหากไม่มีกิจการของความยุติธรรม
คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 
1. ขออย่าให้คริสตชนเหน็ดเหนื่อยต่อการที่จะกระทำความดีในโลก
2. พร้อมกับนักบุญ ฟิลิป ให้เราวิงวอนขอบ่อยๆ ว่า “ ข้าแต่พระคริสตเจ้าโปรดแสดงให้เราได้เห็นองค์พระบิดาเจ้าด้วยเถิด”
3. ข้าแต่พระคริสตเจ้า โปรดสอนเราให้รู้จักประกอบกิจการแห่งความเชื่อ
4. ขอให้คนป่วยหนักได้รับศีล “ศีลเจิมคนไข้” ด้วยความเชื่อ


ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลจันทบุรี


     
zwani.com myspace graphic comments

นักบุญ ฟิลิป อัครสาวก ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม



นักบุญ ฟิลิป อัครสาวก  
ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม
นักบุญฟิลิปเกิดที่เบทไซดา กาลิลี เขาเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของนักบุญยอห์นเดอะบัปติสต์ เมื่อท่านชี้ไปที่พระเยซูคริสตเจ้าและพูดว่า: "นี่คือลูกแกะพระเจ้า" เขาเข้าใจทันทีว่า พระเยซูเจ้าเป็นบุคคลที่สำคัญกว่าอาจารย์ของเขา 
หลังจากเปโตรและแอนดรูเป็นอัครสาวกของพระคริสตเจ้า พระองค์ได้พบฟิลิปและตรัสว่า: "ตามเรามา" เขาก็ได้นบนอบคำเรียกร้องของพระองค์ และติดตามพระองค์ด้วยความศรัทธา

ในเวลาต่อมา ฟิลิปได้พานาธานาแอลมาเป็นสานุศิษย์ของพระองค์ (ยอห์น 1:43-45) ฟิลิปต้องการแบ่งปันความสุขกับเพื่อน และได้บอกนาธานาแอลว่า: "เราได้พบแล้วคนที่โมเสสและประกาศกได้ทำนายในพระคัมภีร์"

ฟิลิปได้อธิบายว่า: "คนนั้น คือ พระเยซูแห่งนาซาเรธ" ในโอกาสที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกและส่งอัครสาวก 12 องค์ออกไปเทศนา ฟิลิปก็อยู่ในคณะอัครสาวกด้วย

ชื่อเขาจะอยู่ถัดจากเปโตร แอนดรูว์ ยากอบ และยอห์น (มัทธิว 10:2-4; มาระโก 3:14-19; ลูกา 6:13-16) พระวรสารเล่มที่ 4 บันทึกเหตุการณ์ 3 อันเกี่ยวข้องกับฟิลิปในเวลาที่พระเยซูเจ้าแพร่ธรรม
ก่อนการเลี้ยงมหาชนอย่างมหัศจรรย์ พระคริสต์ได้หันมาถามฟิลิปว่า: "เมื่อไรเราจะซื้อขนมปัง เพื่อคนเหล่านี้จะได้มีอาหารกิน?" เขาได้ตอบพระองค์ว่า: "เงินค่าแรงงาน 200 วัน ก็ยังไม่พอเลี้ยงคนทั้งหมด" (ยอห์น 6:5-7)
เมื่อคนต่างศาสนาในกรุงเยรูซาเล็มได้มาหาฟิลิปเพื่อขอพบพระเยซูเจ้า เขาได้รายงานแอนดรูว์ แล้วทั้ง 2 คนได้นำข่าวไปบอกพระองค์ (ยอห์น 12, 21-22)
หลังจากพระคริสต์ได้ตรัสกับอัครสาวกถึงพระบิดาเจ้า ฟิลิปได้พูดกับพระองค์ว่า: "ขอให้เราได้เห็นพระบิดา แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับพวกเรา" พระองค์ได้ตอบเขาว่า: "ใครที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา" (ยอห์น 14:8-9)
เหตุการณ์ 3 อันนี้ได้บ่งบอกนิสัยใจคอของฟิลิปว่า เขาเป็นคนซื่อๆ ค่อนข้างขี้อาย ช่างคิด ช่างรำพึง และแสวงหาความจริง
ฟิลิปแต่งงานมีลูกสาวหลายคน ลูกสาว 3 คนดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ไปเทศนาคำสั่งสอนของพระเยซูคริสตเจ้าที่ประเทศกรีก และถูกตรึงกางเขน เอาศีรษะลง เท้าชี้ฟ้า ในสมัยจักรพรรดิโดมิเชียน
ฟิลิปเป็นคนสุภาพถ่อมตนและยินดีให้อภัยทุกคนที่ทำผิดต่อเขา เขาได้สวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอ และวอนขอพระเป็นเจ้าสำหรับคนที่เบียดเบียนผู้ติดตามพระเยซูเจ้า แม้ขณะเพชฌฆาตกำลังประหารชีวิตเขา เขาได้ขอพระเป็นเจ้าโปรดยกโทษเขาทั้งหลาย 

บทภาวนาวิงวอนนักบุญฟิลิป

โอ้ นักบุญฟิลิป ผู้เปี่ยมด้วยพระสิริโรจนา
ในเวลารับประทานอาหารค่ำท่านได้พูดกับพระเยซูเจ้าว่า:
"พระอาจารย์ ขอให้เราได้เห็นพระบิดา แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับพวกเรา"
โปรดช่วยเรา สวดภาวนาเหมือนคำวอนขอของท่าน และแสวงหาพระเจ้าในทุกสิ่ง
โปรดอ้อนวอนพระเป็นเจ้าประทานพระหรรษทานแก่เรา
เราจะได้รู้จักพระบิดา ผู้ซึ่งได้ส่งพระเยซูคริสตเจ้า
พระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ มายังโลกนี้ เพื่อเราจะได้มีชีวิตนิรันดร อาแมน


ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา
     
zwani.com myspace graphic comments


ผู้กลับใจ