3.
ในแผ่นดินอิสราเอล
ในแผ่นดินอิสราเอล
ผู้อพยพสามคนกลับมายังประเทศอิสราเอล ซึ่งทุกวันนี้เราเรียกว่า “ปาเลสไตน์” แต่ชาวฮีบรูไม่ชอบเรียกชื่อนี้เพราะถือว่าเป็น “ดินแดนของพระเจ้า” พระคัมภีร์เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “แผ่นดินแห่งพระสัญญา” และ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
ประวัตศาสตร์ของดินแดนแห่งนี้เริ่มต้นมานานและเต็มด้วยความขัดแย้ง ในเวลาเดียวกันก็เป็นดินแดนแห่งการพบปะ
เป็นดินแดนที่จารึกอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ทุกคน จึงเป็น “ดินแดนของทุกคน”
ชาวโรมันได้ยึดครองดินแดนแห่งนี้ในปี 63 ก่อนคริสตกาล และแบ่งดินแดนแห่งนี้ออกเป็นหกพื้นภาค นั่นคือ คาลิลี ภาคเหนือ ซามาเรีย ภาคกลาง ยูเดีย ภาคใต้ ทางภาคตะวันออก เลยแม่น้ำจอร์แดน ประกอบด้วยหัวเมือง ตราโกนิตีเด อีทูเรอา และอาบีเลเน
จากปี 40 ก่อนคริสตกาล ทางโรมมอบอำนาจให้กษัตริย์เฮโรด ซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวเบดูอินที่เปลี่ยนมาถือลัทธิยูดาเพราะผลประโยชน์
กษัตริย์เฮโรดทรงปกครองอยู่ 44 ปี พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจไว้ ฆ่าผู้หญิง ลูกๆและเพื่อนๆ แต่เขาไม่สามารถฆ่าพระเยซูเจ้าได้ เพราะครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อพยพไปอยู่ประเทศอียิปต์ เมื่อทุกอย่างสงบแล้วจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่เมืองนาซาเรธ
พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตเรียบๆประมาณ 25 ปี เติบโตและบรรลุวุฒิภาวะทางกาย ทางจิตใจและทางสติปัญญา เฉกเช่นสามัญชน ทรงดำเนินชีวิตกับบิดาและมารดา ทุกคนรู้จักพระองค์ในฐานะบุตรของโยเซฟและมารีย์
พระองค์ทรงพูดภาษาอารามิค ซึ่งเป็นภาษาที่พูดกันสมัยนั้น แล้วนั้นท่านเรียนภาษฮีบรู ภาษาพระคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ชนชาติ และ“กฎหมายของพระเจ้า” พระองค์ทรงไปศาลาธรรมทุกวันเสาร์
พระองค์ทรงเรียนอาชีพจากโยเซฟ บิดา คนจึงเรียกพระองค์ว่า “ช่างไม้” คนพากันชื่นชมในการพูดการจาและความปรีชาญาณของพระองค์ พวกเขาจึงมักพูดด้วยความแปลกใจว่า “แต่นี่ไม่ใช่ช่างไม้หรือ เขาไปเรียนรู้การพูดและการทำกิจการน่าทึ่งมาจากใคร”
มีสามเหตุการณ์ที่ทำลายความเงียบของชีวิตที่นาซาแรธ เป็นเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า พระบิดาแท้จริงของพระองค์ เหตุการณ์แรกเมื่อตอนทรงพระชนม์ 12 พรรษา เหตุการณ์ที่สองและที่สามในปี 28 ก่อนคริสตกาล ไม่กี่เดือนก่อนที่พระองค์จะเริ่มพันธกิจของพระองค์ ผู้นิพนธ์พระวรสารได้เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ดังนี้ •
พระเยซูเจ้าในหมู่ธรรมาจารย์
โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า
“ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิพ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก”
พระองค์ตรัสตอบว่า
“พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก”
โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส (ลูกา 2: 41-50)
โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า
“ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิพ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก”
พระองค์ตรัสตอบว่า
“พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก”
โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส (ลูกา 2: 41-50)
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปประทับที่เมืองนาซาเร็ธ
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย พระเยซูเจ้าทรงเจริญขึ้นทั้งในพระปรีชาญาณ พระชนมายุ และพระหรรษทานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ (ลูกา2: 51-52)
II. เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
คำประกาศของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัส ปอนทิอัสปีลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟีลิปพระอนุชา ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนีย เป็นเจ้าปกครองแคว้นอาบีเลน อันนาสและคายาฟาส เป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบันทึกของประกาศกอิสยาห์ว่า
“คนคนหนึ่งร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด
หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็มภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลงทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรงทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ
แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า” (ลูกา3: 1-6)
คำประกาศของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัส ปอนทิอัสปีลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟีลิปพระอนุชา ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนีย เป็นเจ้าปกครองแคว้นอาบีเลน อันนาสและคายาฟาส เป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบันทึกของประกาศกอิสยาห์ว่า
“คนคนหนึ่งร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด
หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็มภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลงทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรงทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ
แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า” (ลูกา3: 1-6)
ดังนั้น ยอห์นพูดกับประชาชนที่มารับพิธีล้างจากเขาว่า “สัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำท่านให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด และอย่ามาอ้างว่า 'เรามีอับราฮัมเป็นบิดา' ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้ บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ” (ลก 3: 1-6)
-
เมื่อประชาชนถามยอห์นว่า
“เราจะต้องทำอะไร”
เขาก็ตอบว่า
“ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้กับคนที่ไม่มี
คนที่มีอาหาร ก็จงทำเช่นเดียวกัน”
คนเก็บภาษีมาหายอห์นเพื่อรับพิธีล้างด้วย และถามเขาว่า
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องทำสิ่งใด”
ยอห์นตอบว่า
“ท่านอย่าเรียกเก็บภาษีเกินพิกัด”
พวกทหารถามเขาด้วยว่า
“แล้วพวกเราเล่า เราจะต้องทำสิ่งใด”
เขาตอบว่า
“อย่าขู่กรรโชก อย่ากล่าวหาเป็นความเท็จเพื่อเอาเงิน
จงพอใจกับค่าจ้างของตน” (ลูกา3: 10-14)
ขณะนั้น ประชาชนกำลังรอคอย ทุกคนต่างคิดในใจว่า ยอห์นเป็นพระคริสต์หรือ
ยอห์นจึงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า
“ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลายแต่ผู้ที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ”
ยอห์นยังใช้ถ้อยคำอื่นอีกมากตักเตือนและประกาศข่าวดีแก่ประชาชน (ลก 3: 15-18)
พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
ขณะนั้นประชาชนทั้งหมดกำลังรับพิธีล้าง พระเยซูเจ้าก็ทรงรับพิธีล้างด้วย และขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนา อยู่นั้น ท้องฟ้าก็เปิดออก และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ มีรูปร่างที่เห็นได้ดุจนกพิราบ แล้วมีเสียงจากสวรรค์ว่า
“ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (ลูกา3: 21-22)
“ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (ลูกา3: 21-22)
ปีศาจผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดาร
พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุดทรงหิว
ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”
ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่าง ๆ ของโลกทั้งหมดในคราวเดียว
และทูลพระองค์ว่า
“ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนา ดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า
“มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’”
ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’ และยังมีเขียนอีกว่า
‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’”
แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยกจากพระองค์ไปรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม (ลก 4: 1-13)
พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุดทรงหิว
ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”
ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่าง ๆ ของโลกทั้งหมดในคราวเดียว
และทูลพระองค์ว่า
“ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนา ดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า
“มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’”
ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’ และยังมีเขียนอีกว่า
‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’”
แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยกจากพระองค์ไปรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม (ลก 4: 1-13)