09 มิถุนายน 2555

ยาเสพติด


ยาเสพติด
                มีคุณพ่อเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายได้มาหา  และรายงานให้พ่อทราบเกี่ยวกับยาเสพติด  มีสัตบุรุษบางคนค้ายาเสพติด  บางคนเสพยา  จะทำอย่างไรดีเมื่อเขามาวัด  ร่วมพิธีมิสซา  และมารับศีลศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่ทราบกันว่า  ยาเสพติดมีผลร้ายต่อผู้เสพ  และการร่วมขบวนการค้ายาเสพติด  เป็นสิ่งผิดกฎหมาย  รัฐบาลทุกสมัยพยายามดำเนินการปราบปรามและป้องกันเยาวชนของเรา  และรณรงค์ทั่วไป  เช่น  รักในหลวง  ห่วงลูกหลาน  ต้านยาเสพติด
สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย  ได้จัดประชุมและออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้  เมื่อวันที่  8  พฤษภาคม  พ.ศ. 2546  ว่า  ในฐานะที่รับผิดชอบด้านการศึกษาอบรม  และการแก้ไขปัญหาของสังคม  พระศาสนจักรจึงสนใจเป็นพิเศษต่อปัญหานี้  และการประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะร่วมมือกับรัฐบาล  เอาชนะการแพร่ระบาดของยาชนิดนี้
ได้มีข้อเสนอแนวทางในการปฏิบัติแก่ศาสนิกชนคาทอลิกไทย  4  ระดับ คือ  ระดับหมู่บ้านและชุมชน  ระดับวัด  ระดับโรงเรียน  และระดับกรรมการต่างๆ ในสภาพระสังฆราชฯ  เนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด  จึงนำมาเสนอ  2  ระดับ  คือ 
1. ระดับหมู่บ้านและชุมชน
    1.1  ขอให้ร่วมกันสร้างหมู่บ้านและชุมชนให้เข้มแข็ง  สามารถป้องกันปัญหายาเสพติดได้  โดยที่ผู้นำชุมชนทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกัน  ทั้งกับองค์กรภาครัฐในทุกระดับ  เพื่อขจัดการแพร่ระบาดของยาเสพติด
    1.2  ขอให้ผู้นำชุมชนและหมู่บ้านจัดการพบปะเสวนาร่วมกันระหว่างสมาชิก  เพื่อช่วยกันกำหนดยุทธวิธีเอาชนะปัญหา  และติดตามดูแลมิให้สมาชิกในชุมชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด
    1.3  ขอให้ผู้นำชุมชนและหมู่บ้านได้ต้อนรับและเอาใจใส่ดูแลผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษาแล้ว  ให้มีโอกาสกลับคืนสู่ครอบครัว  ชุมชน  และดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข  เพราะบุคคลเหล่านี้คือพี่น้อง  และลูกหลานของเรา  อีกทั้งเป็นบุตรของพระเจ้า  มีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
    1.4  ขอให้ครอบครัวที่มีสมาชิกที่ติดยาเสพติด  ได้ใช้โอกาสนี้กลับเข้าหาพระเจ้า  เชื่อและวางใจในพระเมตตาของพระองค์  โดยเพิ่มความรักและความเข้าใจต่อสมาชิกให้มากขึ้น  เพราะเขาต้องการการให้อภัยและความเห็นใจ  เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังใจให้เขาชนะความอ่อนแอ  จนสามารถเลิกยาเสพติดได้ในที่สุด
    1.5  ขอให้คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อครอบครัว  เป็นเจ้าภาพส่งเสริมและสนับสนุนให้สร้างครอบครัวอาสาสมัคร  เพื่อช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด  เช่น  การจัดกลุ่มครอบครัวเสวนา  เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์  การอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์  การจัดกิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพยาและผู้ติดยา  ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติดอีกต่อไป
    2. ระดับวัด
      2.1  ขอให้พระศาสนจักรแต่ละท้องถิ่น  ให้ความสนใจ  ห่วงใยต่อผู้ที่ติดสารเสพติด  โดยเฉพาะยาบ้า  ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง  และหากมีพี่น้องคริสตชนของเราเข้าไปเกี่ยวข้อง  ขอให้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างเหมาะสม
      2.2  ขอให้พระสงฆ์  นักบวช  ในฐานะที่เป็นผู้นำในระดับวัด  ได้ดูแลเอาใจใส่  และเทศน์สอนเรื่องพิษภัยของยาเสพติดให้แก่คริสตชน  เพื่อหาแนวทางป้องกันในรูปแบบต่างๆ เช่น  จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านสิ่งเสพติดทุกชนิด, การฟื้นฟูจิตใจ  เป็นต้น
      2.3  ขอให้พระศาสนจักรแต่ละท้องถิ่น  จัดให้มีผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติดในชุมชนวัด  และให้สมาชิกสภาอภิบาลของวัดเป็นแกนนำ  เพราะเป็นผู้รู้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในชุมชนและหมู่บ้านของตน
      2.4  ในกรณีที่คริสตชนเป็นผู้ค้ายาเสพติด  หรือเป็นมือปืนรับจ้างฆ่า  ไม่มีการกลับใจอย่างชัดเจนและแท้จริงก่อนเสียชีวิต  ให้งดการประกอบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณปลงศพแก่บุคคลดังกล่าว
      3. ระดับโรงเรียน
        3.1  โรงเรียนคาทอลิกทั่วประเทศ  จะต้องทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด  เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน  ในการดำเนินนโยบายป้องกันปัญหายาเสพติด  โดยใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่  พร้อมทั้งร่วมใจกับรัฐบาลที่กำหนดโครงการต่างๆ เช่น  “โรงเรียนสีขาว”  ของกระทรวงศึกษาธิการ  และ “โครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ”  ของกระทรวงสาธารณสุข  ซึ่งเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานด้านเอาชนะปัญหายาเสพติด
        3.2  นอกจากกิจกรรมที่กระทรวงฯ เสนอแนะแล้ว  ผู้บริหารโรงเรียนคาทอลิก  ควรสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสศึกษาดูงาน  และสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องการบำบัดผู้ติดยาเสพติด  หรือผู้ที่ต้องโทษเพราะคดียาเสพติด  เพื่อจะได้มีโอกาสเห็นและพูดคุยกับบุคคลเหล่านั้น  หรือจัดการรณรงค์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น  ค่ายจริยธรรม  ค่ายยุวธรรมทูต  วาย.ซี.เอส  พลศีล  เป็นต้น
        4. ระดับคณะกรรมการฯ ต่างๆ ในสภาพระสังฆราชฯ
          4.1  ให้กรรมาธิการฝ่ายสังคมรับผิดชอบจัดทำแผนต่อเนื่อง  เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติด  โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  (ป.ป.ส.)  กระทรวงยุติธรรม  และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง  อีกทั้งให้คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนาเป็นผู้ประสานงานกับท้องถิ่น  ที่มีศูนย์สังคมพัฒนาทำงานกับชุมชนในแต่ละสังฆมณฑล
          4.2  ให้กรรมาธิการฝ่ายสังคมเป็นผู้จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลตัวอย่างดีๆ ของบุคคลในหมู่บ้าน/ชุมชน  เพื่อเป็นบทเรียนที่เป็นรูปธรรมแก่ผู้สนใจแก้ไขปัญหายาเสพติด
          4.3  ให้ทุกคณะกรรมการฯ ภายใต้สภาพระสังฆราชฯ ได้ร่วมมือรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคณะกรรมการฯ  ในประเด็นเรื่องสิ่งเสพติดนี้อย่างจริงจัง  และเกิดผล
          สำหรับในเขตวัดนั้นๆ คุณพ่อเจ้าอาวาสได้ประกาศกับคริสตชนด้วยว่า
          1. สำหรับผู้ค้ายาเสพติด  ห้ามเข้าวัดและรับศีลมหาสนิท
          2. สำหรับผู้เสพ  เข้าวัดได้แต่ห้ามรับศีลมหาสนิท
          จำเป็นที่เราต้องร่วมมือกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ  โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน  ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติครับ
          โดย พระสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์

          เล่าเรื่องพระเยซู ~ 21.ไม่ใช่ทุกคน เข้าใจคำพูดของเรา

          Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

          bluesilvanimcross.gif



          21
          ไม่ใช่ทุกคน
          เข้าใจคำพูดของเรา

                 หลังจากที่เสด็จไปทั่วกาลิลีและซามาเรีย พระยูเจ้าและศิษย์มุ่งไปสู่ดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนเพื่อประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า
                 ดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนเป็นพื้นที่เนินเขาและป่า นอกจากชาวยิวแล้ว ยังมีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ด้วย
                 พระเยซูเจ้าทรงสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าให้แก่ทุกคน ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติ เริ่มต้นด้วยคำถามของคนที่พระองค์ทรงพบปะ เป็นคำถามเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับพระเมตตาของพระบิดา อีกทั้งความปรารถนาและปัญหาของคน  กระนั้นก็ดี คำสอนของพระองค์ที่มาจากความคิดของพระเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับเสมอไป โดยเฉพาะ เมื่อเป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับฟาริสี สิ่งที่พวกเขาสอน หรือคำสอนที่มาจากความคิดของมนุษย์
                 ในพระวรสารที่เราอ่าน เราจะพบคำถามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน อาทิ
          - เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่าภรรยา?
          - พระอาจารย์ ผมต้องทำอะไรดีเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร?
          - เราที่ติดตามพระองค์ จะได้อะไรตอบแทนบ้าง?
          - พระองค์จะทำให้ลูกชายสองของคนของดิฉันเป็น “รัฐมนตรี” ในพระอาณาจักรของพระองค์ได้หรือเปล่า?
                 แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจคำตอบของพระเยซูเจ้าที่ทรงแนะให้มองกว้างไกลและลึกซึ้งลงไปในอนาคตของมนุษย์
                 ในการถกเถียงเกี่ยวกับการแต่งงาน พระคริสตเจ้าทรงบอกให้คนย้อนกลับไปที่เริ่มแรกของ
          การสร้าง เชื้อเชิญผู้ที่พูดคุยกับพระองค์ให้เข้าใจความคิดและแผนการของพระเจ้าในความยิ่งใหญ่และในความกลมกลืนสอดประสานและเชิญชวนให้อ่านหนังสืออพยพ “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่าพระผู้สร้างทรงสร้างชายและหญิงและตรัสว่า ‘ด้วยเหตุนี้ ชายจะละบิดามารดาของตนและไปอยู่กับภรรยาและทั้งสองจะกลายเป็นกายเดียวกัน’”
                 จากจุดเริ่มแรกนี้เอง พระเยซูเจ้าทรงสรุปและยืนยันว่าการแต่งงานระหว่างชายและหญิงนั้น
          พระเจ้าเองทรงตั้งขึ้นและการเป็นหนึ่งเดียวกันที่สมัครใจและอิสระในชีวิตแต่งงานจะเลิกราไม่ได้
                 พระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการแต่งงานแท้จริง ไม่ใช่แสร้งว่าแต่งงาน เพราะการแต่งงานเป็นความเต็มเปี่ยม ความงดงามและความดีแห่งงานสร้างของพระเจ้า
                  สำหรับผู้ที่เป็นโสดเพื่อเห็นแก่พระอาณาจักรพระเจ้าก็เป็นการเลือกที่งดงาม ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะหมายถึงเลือกความยากจนและการสละทรัพย์สินให้แก่คนยากจน
                 ไม่ใช่คนฟังทุกคนจะเห็นด้วยกับพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าประเทศเพื่อจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่  แต่ใครก็ตามที่รับใช้เพื่อนพี่น้องทุกคนคือผู้ยิ่งใหญ่แท้จริง
                 เพื่อเข้าและเห็นพ้องกับพระเยซูเจ้า เราต้องได้รับพระหรรษทานจากพระองค์ เหมือนที่
          ซักเกียสได้รับ และได้รับสายตาที่คนตามบอดแห่งเยริโกได้รับ อีกทั้งพระคุณแห่งการคิด “เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงคิด” •


                 าวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า
                 "เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม"
                 พระองค์ทรงตอบว่า        "ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิงและตรัสว่า ดังนี้ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกันดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย"
                 ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า
                 "แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า"
                 พระองค์ตรัสว่า
                 "เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง"
          การสมัครใจไม่แต่งงาน
                 บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า
                 "ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย"
                 พระองค์ตรัสว่า
                 "ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้  เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาบางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด" มธ19: 3-12

          พระเยซูเจ้าและเด็กเล็ก  

                 ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็ก ๆมาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า "ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้"  พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น มธ19: 13-15



                 ายคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า
                 "พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร"
                 พระองค์ตรัสกับเขาว่า
                 "เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด"
                 เขาทูลถามว่า
                 "บทบัญญัติข้อใด"
                 พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
                 "อย่าฆ่าคนอย่าล่วงประเวณีอย่าลักขโมยอย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดาจงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง"
                 ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า
                 "ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้ว ยังขาดอะไรอีกหรือ"
                 พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
                 "ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด"
                 เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย มธ19: 16-22

          อันตรายจากทรัพย์สมบัติ

                 ระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า?เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์
                 เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า
                 "แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้"
                 พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า
                 "สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้" มธ19: 23-26

          รางวัลของการสละทุกสิ่ง 

                 ปโตรจึงทูลถามว่า
                 "ข้าพเจ้าทั้งหลายสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง"
                 พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
                 "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษา ตระกูลอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูลด้วย  และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะได้รับตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้ายและกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก มธ19: 27-30

          อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น 


                  "าณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่  เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น
          ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่น ๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน  จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า 'จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร'  คนเหล่านี้ก็ไป        พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน  ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่น ๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า
                 "ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร"
                 เขาตอบว่า
                 "เพราะไม่มีใครมาจ้าง"
                 พ่อบ้านพูดจึงว่า
                 "จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด"
                 ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า 'ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก'
                 เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ  เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน
                 ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า
                 "พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน"
                 เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า
                "เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ  จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ"
                "ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย" มธ 20: 1-16

          พระเยซูเจ้าทรงทำนายเรื่องพระทรมานเป็นครั้งที่สาม 


                
           พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า
                 "บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต  และจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำไปตรึงกางเขน แต่วันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ"
           มธ 20, 17-19



          มารดาของบุตรเศเบดีขอสิทธิพิเศษ

                ารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
                 พระองค์จึงตรัสถามนางว่า
                 "ท่านต้องการอะไร"
                 นางทูลว่า
                 "ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์"   
                 พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
                 "ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่"
                  เขาทั้งสองทูลตอบว่า
                 "ได้ พระเจ้าข้า"
                 พระองค์ตรัสกับเขาว่า
                 "ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้"

          ผู้นำต้องรับใช้ผู้อื่น

                 เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น  พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า        "ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าคนต่างชาติที่เป็นหัวหน้า  ย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ  แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้
                 เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่ เพื่อมวลมนุษย์" มธ 20: 20-28


          คนตาบอดที่เมืองเยรีโค 

                 ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง  เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น  มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา
                 คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า "ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด"
                 ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบแต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า "พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด"
                 พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามาเมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า
                 "ท่านอยากให้เราทำอะไรให้"
                 เขาทูลว่า
                 "พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด"
                 พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
                 "จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว"
                 ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า ลก 18: 35-43

          ศักเคียส

                  ระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น  ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี  เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย  เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า
                 เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น  ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า "ศักเคียส  รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้"  เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี
                 ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า  "เขาไปพักที่บ้านคนบาป" ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า
                  "พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า"
                 พระเยซูเจ้าตรัสว่า "วันนี้  ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว  เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น" ลก19: 1-10

          อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุน 

                  ณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า พระองค์จึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง  พระองค์ตรัสว่า "บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า 'จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ'
                 แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า 'พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์'
                 แต่เขาก็ยังได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร
                 คนแรกเข้ามารายงานว่า
                 'นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า'
                 นายจึงบอกเขาว่า
                 'ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดีเพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจปกครองเมืองสิบเมืองเถิด'
                 คนที่สองเข้ามารายงานว่า
                 'นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า'
                 นายบอกเขาว่า
                 'เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด'
                 อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า
                 'นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้  ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน'
                 นายจึงพูดกับเขาว่า
                 'เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน  ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย'
                 นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า
                 'จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ทำกำไรสิบเท่าเถิด'
                 คนเหล่านั้นพูดว่า
                 'นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว'
                 นายจึงตอบว่า
                 'ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย    ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารเสียต่อหน้าข้า'
                 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ลูกา 19, 11-2


          พระวรสารนักบุญมาระโก มก 12:38-44



          วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2012 

          พระวรสารนักบุญมาระโก
          มก 12:38-44

                    เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะที่ทรงสั่งสอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น”

                    ขณะที่พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าตู้ทาน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลายคนใส่เงินจำนวนมาก หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตู้ทาน พระองค์จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำทานมากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”

          ข้อคิด
                    พวกเราเคยไปร่วมงานแสดงความยินดี ในความสำเร็จในชีวิตของบุคคลที่เรารู้จัก เช่น การฉลองปริญญา การรับรางวัลยอดเยี่ยม การฉลองครบรอบแต่งงาน การรับรางวัลแม่ดีเด่น ทุกคนจะมองเห็นความสำเร็จและความดีใจของผู้ได้รับรางวัล ซึ่งถือว่าเป็น”รางวัลแห่งความสำเร็จของชีวิต” นักบุญเปาโลเองก็ยอมรับว่า เวลาแห่งความสำเร็จมาถึงแล้ว ถึงเวลาที่ท่านจะจากไป ท่านต่อสู้มานานแล้ว ท่านวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ท่านรักษาความเชื่อไว้แล้ว


          zwani.com myspace graphic comments

          บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 4:1-8



          วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2012 
          บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 
          2 ทธ 4:1-8


                     ข้าพเจ้าขอกำชับท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และเฉพาะพระพักตร์ของพระคริสตเยซูผู้จะทรงพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย โดยอ้างถึงการแสดงพระองค์และพระอาณาจักรของพระองค์ จงประกาศพระวาจา จงพร้อมสรรพทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว จงตักเตือน จงให้กำลังใจ โดยพร่ำสอนด้วยความพากเพียรอย่างเต็มที่ จะถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ต้องการฟังคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาครูจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง พวกเขาจะไม่ยอมฟังความจริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย ส่วนท่านจงหนักแน่นมั่นคงในทุกกรณี จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำงานของผู้ประกาศข่าวดี จงปฏิบัติศาสนบริการให้สำเร็จ

                    ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้ารักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่เฝ้ารอคอยด้วยความรักต่อการแสดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน


          zwani.com myspace graphic comments

          มานาประจำวัน ~ ชีวิตสบาย

          เพื่อจะได้ไม่มีใครหวั่นไหวด้วยการยากลำบากเหล่านี้
          ท่านเองก็รู้แล้วว่า เราถูกทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับการนั้น 
          – 1 เธสะโลนิกา 3:3


          พ่อแม่พยายามมากเกินไปหรือเปล่าที่จะทำให้ลูกๆ มีความสุข? การทำเช่นนั้นจะส่งผลในทางตรงข้ามหรือไม่? คำถามนี้นำเข้าสู่บทสัมภาษณ์กับลอรี ก็อทลีบ ผู้เขียนบทความเรื่องคนหนุ่มสาวที่ไม่มีความสุข ลอรีสรุปว่า พ่อแม่ที่ไม่ยอมให้ลูกพบเจอกับความล้มเหลวหรือความทุกข์ จะทำให้ลูกมองโลกอย่างที่ผิดเพี้ยนและไม่ได้เตรียมให้เขาพร้อมรับความเป็นจริงอันโหดร้ายในชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ ลูกๆ ถูกทิ้งไว้ให้รู้สึกว่างเปล่าและหวาดกลัว
          คริสเตียนบางส่วนคาดหวังว่าพระเจ้าจะเป็นเหมือนพ่อแม่ที่ปกป้องพวกเขาจากความทุกข์และความผิดหวังต่างๆ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระบิดาแบบนั้น พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักจึงยอมให้ลูกของพระองค์ได้พบเจอกับความยากลำบาก (อสย.43:2 และ 1 ธส.3:3)
          ถ้าเราเริ่มต้นโดยการเชื่ออย่างผิดๆ ว่าชีวิตที่สบายทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง เราจะต้องเหนื่อยกับการพยายามใช้ชีวิตตามความเชื่อผิดๆ นั้น แต่เมื่อเรายอมรับความจริงที่ว่าชีวิตนั้นไม่ง่าย เราก็จะลงทุนชีวิตไปกับการแสวงหาชีวิตที่ดีที่พระเจ้าทรงพอพระทัย การใช้ชีวิตแบบนี้เองจะทำให้เราเข้มแข็งในยามที่ชีวิตต้องพบเจอกับความทุกข์ยากลำบาก

          เป้าหมายของพระเจ้าคือการทำให้เราบริสุทธิ์ ไม่ใช่แค่มีความสุข (1 ธส.3:13) และเมื่อเราบริสุทธิ์ เราจะมีความสุขและความพอใจอย่างแท้จริง – JAL

          การไปสวรรค์นั้นไม่ใช่ง่าย
          อาจต้องลำบากเหนื่อยใจ
          มีบางคนต้องสู้จนตัวตาย
          เขาจึงได้ความมีชัย – Watts

          คนที่มีความพอใจคือคนที่ได้เรียนรู้
          ที่จะยอมรับความขมขื่นพร้อมกับความหวานชื่น

          ผู้กลับใจ