17 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 10. ความเชื่อได้ช่วยท่านแล้ว

3453.gif

10
ความเชื่อได้ช่วยท่านแล้ว


        บ่อยครั้ง พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า ความรอดของมนุษย์มาจากความเชื่อ พระองค์ตรัสกับคนที่ได้รับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บว่า “ความเชื่อช่วยท่านแล้ว”
       ทว่า ความเชื่อนี้คืออะไร?
       ความเชื่อแง่ศาสนาเป็นกิจกรรมของสติปัญญาที่น้อมรับความจริง ซึ่งได้รับการเผยจากประจักษ์พยานเที่ยงแท้ โดยมีการขับเคลื่อนของน้ำใจ มุ่งสู่ความรักและความช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระเจ้า
       การเชื่อประจักษ์พยานของผู้อื่นเป็นกระบวนการนำสู่ความรู้ด้านมนุษย์  บ่อยครั้งก็ไม่ถูกต้องเพระขาดการยืนยันและความชัดแจ้ง  ได้แต่ไว้ใจในคำยืนยันของประจักษ์พยาน
       ในขณะที่ความเชื่อที่ช่วยให้รอดเป็นความรู้แห่งพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าและของมนุษย์  โดยมีพระเยซูเจ้าทรงเป็นประจักษ์พยานและได้รับการยืนยันจากพระคัมภีร์
       หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง การเชื่อคือการยินยอมของสติปัญญาของเราในการรับความจริงที่พระเจ้าทรงเผยให้เรารู้โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า  จึงเป็นการน้อมรับพระเจ้าผู้ตรัสในสติปัญญาและในดวงใจของเรา
       เมื่ออ่านพระวรสาร เราหวนกลับไปสู่ความเชื่อคริสตชนในภาวะบริสุทธิ์ เราจะเห็นว่าผู้มีความเชื่อพบปะกับพระเจ้าผู้ทรงเผยแสดงในพระเยซูเจ้า
       ผู้มีความเชื่อได้รับความดึงดูดใจจากเสน่ห์แห่งพระบุคลิกของพระองค์ มีความมั่นใจและถูกเปลี่ยนโดยพระวาจาของพระองค์  เพราะไม่มีใครเคยพูดด้วยความแน่นอนและด้วยอำนาจแบบพระองค์ พวกเขาเห็นกิจการอันน่าพิศวงที่พระเจ้าผู้เดียวสามารถทำได้ อาทิ คนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเปลี้ยเดินเหินได้ คนโรคเรื้อนหายสนิท คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้รับข่าวดี พวกเขาต่างยึดมั่นในพระองค์ ถือพระองค์เป็นพระอาจารย์และพระผู้ไถ่บาป คำสอนของพระองค์มีความจริงแท้ซึ่งพระเจ้าเองทรงเผยให้  พวกเขาเชื่อพระวาจา เชื่อในพันธกิจแห่งการไถ่บาปของพระองค์ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เชื่อในพระวรสารของพระองค์
       แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พระเยซูเจ้าทรงพบปะได้กลับเป็นผู้เชื่อในพระองค์  หลายคนยังดื้อรั้นที่จะเชื่อแม้จะเห็นอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ เพราะอะไร? เราจะพบคำตอบในเรื่องราวของชีวิตพระองค์ •

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย

       7
  1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม  2ผู้รับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้จะตาย นายรักเขามาก  3เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงส่งผู้อาวุโสบางคนของชาวยิว มาอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปช่วยชีวิตของผู้รับใช้
            4คนเหล่านั้นมาเฝ้าพระเยซูเจ้า อ้อนวอนรบเร้าพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ  5เพราะเขารักชนชาติของเรา และได้สร้างศาลาธรรมให้เรา”
            6พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับคนเหล่านั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้าน นายร้อยใช้เพื่อนบางคนไปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า  7เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์  แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค  8ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนหนึ่งว่า “ไป”  เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า “มา” เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า “ทำสิ่งนี้” เขาก็ทำ’
       9เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทรงประหลาดพระทัย  ทรงหันพระพักตร์ไปยังประชาชนที่ติดตามพระองค์ตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”  10เมื่อเพื่อนที่ถูกใช้มากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าผู้รับใช้ผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว (ลก7: 1-10)

พระเยซูเจ้าทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ

            11
หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป  12เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย
            13เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย”  
            14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”  
            15คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา
            16ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์”  
            17และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น (ลก7: 11-17)


คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง พระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอห์น 

           18
บรรดาศิษย์ของยอห์นแจ้งข่าวเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาทราบ ยอห์นจึงเรียกศิษย์มาสองคน  19แล้วส่งไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทูลถามว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา  หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก”  20เมื่อคนทั้งสองมาพบพระองค์แล้วจึงกล่าวว่า ‘ยอห์นผู้ทำพิธีล้างส่งเรามาถามท่านว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก’”  21ขณะนั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค จากความทุกข์ทรมานและจากปีศาจร้าย ทั้งทรงทำให้คนตาบอดหลายคนกลับมองเห็นได้  22พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี  23ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเรา  ย่อมเป็นสุข” (ลก7: 18-23)



 
            24
เมื่อผู้ที่ยอห์นส่งมาจากไปแล้ว พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า 
            25"ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปตามลมหรือ ไม่ใช่ แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามและกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือยนั้นมีอยู่เฉพาะในพระราชวัง  26ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ   ถูกแล้ว เราบอกท่าน ไปดูยิ่งกว่าประกาศกอีก  27ผู้นี้แหละพระคัมภีร์กล่าวถึงว่าเราส่งทูตของเรานำหน้าท่านเพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
            28"เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากสตรี ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีกแล้ว กระนั้นก็ดี ผู้ต่ำต้อยที่สุดในพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น” (ลก 7: 24-28)

            29ประชาชนทั้งหลายที่ได้ฟังและบรรดาคนเก็บภาษีได้รับพิธีล้างจากยอห์นและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรม  30แต่บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายไม่ยอมรับพิธีล้างจากยอห์น จึงต่อต้านแผนการของพระเจ้าสำหรับตน

พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย


             31
"เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใดดี เขาเหมือนกับสิ่งใด  32เขาเป็นเสมือนเด็ก ๆ ที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องบอกเพื่อน ๆ ว่า
      เราเป่าขลุ่ยเจ้าก็ไม่เต้นรำเราร้องเพลงโศกเศร้าเจ้าก็ไม่ร้องไห้
            33ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า “คนนี้มีปีศาจสิง”  34บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า  “ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป”
            35พระปรีชาญาณของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยผู้ปฏิบัติตามพระปรีชาญาณนั้น” (ลก 7: 29-35)

หญิงคนบาป 

 

           36
ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีนั้นและประทับที่โต๊ะ  37ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสีผู้นั้น จึงถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมเข้ามาด้วย  38นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ ๆ พระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาทจูบพระบาทและใช้น้ำมันหอมชโลมพระบาทนั้น
            39ชาวฟาริสีที่ทูลเชิญพระองค์มาเห็นดังนี้ก็คิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นประกาศก   เขาคงจะรู้ว่าหญิงที่กำลังแตะต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป”
40พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
        “ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
        เขาตอบว่า
        “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์”
              41พระองค์จึงตรัสว่า
       “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ  42ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน”
            43ซีโมนตอบว่า
        “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า”
        พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
        “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว”
            44พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลั่งน้ำตารดเท้าของเราและใช้ผมเช็ดให้  45ท่านไม่ได้จูบคำนับเรา แต่นางจูบเท้าของเราตลอดเวลาตั้งแต่เราเข้ามา  46ท่านไม่ได้ใช้น้ำมันเจิมศีรษะให้เรา แต่นางใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา  47เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมาก ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย”  
            48แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
            49บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำได้แม้แต่การอภัยบาป”
            50พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด” (ลก 7: 36-50)

บรรดาสตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้า 

       8
 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์  2รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย และหายจากโรคภัย เช่น มารีย์ ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปีศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง  3โยอันนา  ภรรยาของคูซาข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคน  หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก (ลก 8: 1-3)











ผู้กลับใจ