17 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 11 ในนามของเบเอลเซบูล

bluesilvanimcross.gif



11
ในนามของเบเอลเซบูล
        ประวัติของพระเยซูเจ้าสานทอขึ้นมาด้วยอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า
        แต่ผู้เป็นอริของพระเยซูเจ้าไม่คิดเช่นนั้น พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ทรงถูกผีสิงและทำอัศจรรย์ทุกอย่างได้ด้วยนามของเบเอลเซบูลผู้เป็นหัวหน้าปีศาจ
        เบเอลเซบูลเป็นพระเท็จเทียมของชาวฟิลิสติน ชาวยิวดูถูกพระเยซูเจ้าด้วยการพูดว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกับปีศาจ
        แต่ปีศาจมีจริงหรือไม่?
        พระเยซูเจ้าทรงกระชากหน้ากากปีศาจ พวกมันต่อต้านพระองค์ด้วยพลังอำนาจ บ่อยครั้ง พวกมันเผยเป้าหมายของการมาของพระองค์ในท่ามกลางมนุษย์และกิจการแห่งไถ่กู้มนุษย์ให้เป็นอิสระจากปีศาจซึ่งเป็นหัวหน้าแห่งจิตชั่วและมีชื่อว่า “ซาตาน” กล่าวคือ “ผู้กล่าวหา” “ฝ่ายต่อต้าน” ศัตรูที่โเหี้ยมหดและไม่ยอมพ่ายแพ้ของพระเจ้าและของมนุษย์ ของสิ่งสร้างทุกอย่าง ซึ่งปีศาจอยากจะได้มาเป็นของตน แย่งชิงจากพระเจ้า  ปีศาจจึงมีความหมายว่า “ผู้ที่แบ่งแยก”
        เมื่อทำการค้นคว้าให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความชั่ว เกี่ยวกับสถานการณ์ที่ปลดปล่อยปีศาจออกมา เราจะพบว่าในจักรวารมีอำนาจมืดอยู่ทั่วไป  ซึ่งสามารถชักนำมนุษย์ให้ทำสิ่งเลวร้ายและบ่อนทำลาย ที่เหตุผลมนุษย์คิดไม่ถึงและอธิบายไม่ได้

        มนุษย์ที่เป็นเหยื่อของปีศาจสามารถกลายเป็นสัตว์ร้าย มีแต่พระเจ้าผู้เดียวสามารถช่วยปลดปล่อยได้ “โปรดปลดปล่อยเราจากความชั่วร้าย” นี่คือคำภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราสวด พระองค์พิสูจน์ว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าด้วยการขับไล่ซาตาน
        คนสมัยของพระเยซูเจ้า เมื่อได้ยินคำยืนยันของพระองค์เกี่ยวกับที่มาของพระองค์และพระบุคลิกของพระองค์ ต่างก็รบเร้าให้พระองค์แสดงเครื่องหมายหรือทำอัศจรรย์เพื่อเป็นการพิสูจน์  เหมือนกับบอกว่า “จงพิสูจน์ตนเอง”
        พระเยซูเจ้าไม่ลังเลที่จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นด้วยการทำอัศจรรย์มากมาย เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรับรองในตัวพระเยซูเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงเทศน์สอน
        อัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำนั้นมีมากมาย ซึ่งมีการเล่าขานต่อมาด้วยความสัตย์ซื่อโดยผู้นิพนธ์พระวรสารและประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์   กระทั่งใครที่รับรู้อัศจรรย์เหล่านี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือพระหัตถ์ของพระเจ้า”

พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล

          22ครั้งหนึ่ง มีผู้นำคนตาบอดเป็นใบ้และถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น  23ประชาชนทุกคนต่างประหลาดใจพูดว่า "คนนี้ เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดใช่ไหม"
          24เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดว่า "คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง"
       25พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า "อาณาจักรใดแตกแยกกันเองย่อมพินาศ เมืองใดหรือครอบครัวใดแตกแยกกันเองย่อมจะตั้งอยู่ไม่ได้26ถ้าซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกันเอง แล้วอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ได้อย่างไร  27ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่าน ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของใครเล่า เพราะฉะนั้น พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินท่าน  28แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว"
       29"ผู้ใดจะเข้าไปในบ้านของผู้เข้มแข็งและปล้นทรัพย์สินของเขาได้ ถ้าไม่มัดผู้เข้มแข็งไว้ก่อน เมื่อทำเช่นนี้แล้วเท่านั้น เขาจึงจะปล้นบ้านนั้นได้
       30"ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ผู้ใดไม่รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ไว้กับเรา ย่อมทำสิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป
    31ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าด้วย แต่คำดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย  32ใครที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่กล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า"(มธ 12: 22-32)
คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ 

     33"ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ผลย่อมไม่ดีด้วย ท่านจะรู้จักต้นไม้จากผลของมัน  34เจ้าสัญชาติงูร้ายเอ๋ย เจ้าจะพูดดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเป็นคนเลว ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ
       35คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อม
นำสิ่งเลวออกจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน
       36เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำ ที่เขาเคยพูด  37เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน" (มธ 12: 33-37)

เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์ 
       38เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า "พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่ง จากท่าน  39พระองค์ทรงตอบว่า "คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ ต้องการเห็นเครื่องหมายนี้รึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น  40โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
       41ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจ เมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก
       42ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก (มธ12: 38-42)

ปีศาจกลับมาอีก

        43"เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ         44มันจึงพูดว่า "ข้าจะกลับไปยังบ้านของข้าที่ข้าจากมา" เมื่อกลับมาถึงมันพบว่าบ้านนั้นว่าง ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย  45มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่ามัน เข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม คนชั่วร้ายของยุคนี้จะเป็นเช่นนี้" (มธ12: 43-45)

พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ 
 
      35เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า "เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด"  36บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่น ๆ ติดตามไปด้วย
       37ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว  38พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ  บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า "พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้วหรือ"
       39พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า "เงียบซิ  จงสงบลงเถิด" ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง  40แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า  "ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ"
       41เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า  "ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้" (มก4: 35-41)


ชาวเกราซาที่ถูกปีศาจสิง 

       5
1พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา  2ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้ามาเฝ้าพระองค์ทันที  3ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพ ไม่มีใครล่ามเขาไว้ได้ แม้จะใช้โซ่ล่ามก็ตาม  4มีผู้ใช้โซ่ตรวนล่ามเขาหลายครั้ง เขาก็หักโซ่ตรวน ไม่มีใครทำให้เขาสยบได้ 5เขาอยู่ตามหลุมศพและตามภูเขาตลอดวันตลอดคืน ส่งเสียงร้องเอ็ดอึงและใช้หินทุบตีตนเอง
6เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์   7ร้องเสียงดังว่า "ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามของพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย"  8
        ทั้งนี้เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า "เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผู้นี้"
        9แล้วพระองค์ทรงถามว่า "เจ้าชื่ออะไร" มันตอบว่า "ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำนวนมาก"
        10และมันพร่ำวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้น  11หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น  12พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า "ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด"
       13พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมน้ำตายทั้งหมด
       14คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  15เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคนที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว
       16ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟัง
       17ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา
       18เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วย  19แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า "จงกลับบ้าน ไปหาญาติพี่น้องของท่าน เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำและแสดงพระเมตตาต่อท่าน"
       20ชายนั้นจากไป เริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำต่อตน ทุกคนที่ได้ฟังต่างประหลาดใจ (มก5: 1-20)
    21"ท่านได้ยินคำกล่าว แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล   
       22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า  "ไอ้โง่" ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า "ไอ้โง่บัดซบ" ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก  23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว
       24"จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น
       25จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย27 "ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี  28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว  29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก
       30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก
       31"มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยาก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง
       32 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย
       33"ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบานแต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า  (มธ5: 21-34)

       35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ "อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์
       36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้
       37ท่านจงกล่าวเพียงว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ
       38"ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า"ตาต่อตาฟันต่อฟัน"  39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
       40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย 41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด
       42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน
       43ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู  (มธ 5: 35-43)






ผู้กลับใจ