19 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 14. เราคือปังทรงชีวิต



bluesilvanimcross.gif
14
เราคือปังทรงชีวิต
       แรกมองเราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางประชาชน เหมือนชาวนา เหมือนชาวประมง เหมือนช่างไม้ เหมือนชายชุมพาบาล ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ไม่เหมือนใคร  เพราะพระองค์ทรงมีความละเอียดอ่อนมากกว่าทุกคน พระองค์ทรงเห็นประชาชน แต่ทรงเข้าถึงใจแต่ละคน ไม่ใช่แค่ใบหน้า พระองค์ทรงเห็นว่าแต่ละคนเหมือนแกะที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีฝูง ไม่มีนายชุมพาบาลดูแล และทรงรู้สึกสงสารพวกเขา ทรงเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถมีปฏิกิริยาต่อความแปลกแยกของชีวิต ทรงเห็นความวุ่นวายใจและความวิตกกังวนในพวกเขา หลายคนหิวโหยทั้งปังและศักดิ์ศรี พวกเขาถูกกดขี่จากความไม่รู้และความทุกข์ยาก เหน็ดเหนื่อยกับการดำเนินชีวิตในโลก ไร้ซึ่งความหวัง รอความเมตตา
       พระเยซูเจ้าทรงสงสารทุกคน ทรงร่วมความยากลำบากและเสนอทางออกจากความแห้งแล้งด้วยการเสนอปังที่บันดาลชีวิตให้ทุกคน
       พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เพื่อพวกเขา แล้วนั้นทรงอธิบายความหมายลึกซึ้งของสิ่งที่พระองค์จะทรงมอบให้แก่พวกเขาเมื่อตรัสว่า “เราคือปังที่บันดาลชีวิต”  พระบิดาทรงให้ปังนี้แก่พวกเขาซึ่งจะให้ชีวิตนิรันดรที่เต็มด้วยความสุข ตามที่จิตใจของพวกเขาแสวงหามาโดยตลอด
      แต่ต้องเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงพูดถึงชีวิตแบบไหน ไม่ใช่ชีวิตในแง่ร่างกายและสรีระ หรือชีวิตพืชที่เลี้ยงดูด้วยน้ำและแสงแดด ไม่ใช่ชีวิตแบบสัตว์ที่ดำเนินไปตามความรู้สึกและสัญชาตญาณ แต่เป็นชีวิตมนุษย์ที่มีเหตุผล มีน้ำใจ มีความรักและมีอิสรภาพ คุณภาพเหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์แต่ละคน
      พระเยซูเจ้าทรงประสงค์เติมเต็มชีวิตมนุษย์ด้วยการเชื่อมโยงชีวิตมนุษย์กับชีวิตพระองค์เอง ชีวิตพระเจ้า ชีวิตอมตะ ทรงยกชีวิตมนุษย์ให้สูงส่งด้วยพระหรรษทานของพระองค์ 
      แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ พระวาจาของพระองค์ทำให้หลายคนสงสัยและต่อต้าน ต่างพากันบ่นว่า“พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าทรงเป็นปังจากสวรรค์? พระองค์จะให้เนื้อของพระองค์เป็นอาหารแก่เรากินได้อย่างไร? คำพูดนี้ช่างกระด้าง ใครจะเข้าใจได้?”
      หลังจากที่ฟังสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัส ศิษย์หลายคนละทิ้งพระองค์ไป แต่ไม่ใช่ทุกคน ใครที่ยังอยู่กับพระองค์ต่อไป?

อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งแรก
       บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน  
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด" เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร  
       พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก
       ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า        พระองค์จะทรงไปที่ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่าง ๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน
       เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาศิษย์จึงเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า "สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยวและเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซื้ออาหารกินตามชนบทและตามหมู่บ้านรอบ ๆ นี้เถิด"
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด"
       บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า
       "พวกเราจะต้องไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้เขากินหรือ"
       พระองค์ตรัสว่า
       "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน ไปดูซิ"
       บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงานว่า
       "มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว"
       พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่ม ๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว  เขาก็นั่งลงเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่ายให้ทุกคนด้วย  
       ทุกคนได้กินจนอิ่ม  แล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม  จำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน



พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินบนน้ำ


       ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปที่เมืองเบธไซดา ขณะที่พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงอำลาจากเขาแล้ว  พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา  
       ครั้นถึงเวลาค่ำเรืออยู่กลางทะเลสาบ พระองค์ทรงอยู่บนฝั่งตามลำพัง
       พระองค์ทรงเห็นว่าบรรดาศิษย์ต้องกรรเชียงเรืออย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะเรือทวนลม        ครั้นถึงเวลาประมาณยามที่สี่ พระองค์ทรงพระดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ทรงตั้งพระทัยจะผ่านเขาไป  บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงพระดำเนินอยู่บนทะเล ก็คิดว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้องอื้ออึง  เพราะทุกคนได้แลเห็นพระองค์ จึงตกใจกลัว แต่ทันใดนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า 
       "ทำใจให้ดี  เราเอง อย่ากลัวเลย"
  แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง  เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง ใจของเขายังแข็งกระด้างอยู่ มก 6 : 45-52


พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เจ็บป่วยที่เมืองเยนเนซาเร็ธ 


       พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ  เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระองค์ได้ทันที  และคนในบริเวณนั้นต่างรีบมาหา นำผู้เจ็บป่วยนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่      
       ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมืองหรือในชนบท เขาก็นำผู้เจ็บป่วยมาวางตามลานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัสเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย มก 6: 53-56


พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม 

       วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และจำได้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกันตามลำพังเท่านั้น  แต่เรือลำอื่นจากเมืองทีเบเรียสมายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปัง  เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า
       เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า "พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไปแต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ ท่านเพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรา รับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว"
       เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า "พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "กิจการของพระเจ้า ก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา"
       ประชาชนจึงทูลถามว่า "ท่านกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำอะไรเล่า  บรรพบุรุษของเราได้กินมานนา ในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน"
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่ามิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่านแต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน33เพราะขนมปังของพระเจ้าคือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตให้แก่โลก"
       ประชาชนจึงทูลว่า "นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด"  พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่าเราเป็น ปังแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่าท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ
       ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเราและผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ผลักไสไปเลย
       เพราะเราลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา
       พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือเราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราแต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดรและเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
       ชาวยิวบ่นพึมพำ ไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า ที่ตรัสว่า "เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์"  เขาพูดกันว่า "คนคนนี้ไม่ใช่ เยซู บุตรของโยเซฟหรือ เรารู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขาดี แล้วเขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสวรรค์"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า        "เลิกบ่นพึมพำกันเสียทีเถิด" ไม่มีใครมาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขาและเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่าทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้าทุกคนที่ได้ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า
       เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร ยน 6: 22-47



       เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย51เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต
       ชาวยิวจึงเถียงกันว่า
       "คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์และไม่ดื่มโลหิตของเขาท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดรเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเราและเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามาและเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใดผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน
แล้วยังตายผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป"
       พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม ยน 6: 48-59


       เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ ก็กล่าวว่า
       "ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้"
       พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสกับเขาว่า "เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจเราหรือ
       แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร" "พระจิตเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิตลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า "แต่บางท่านไม่เชื่อ" พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศต่อพระองค์  พระองค์ตรัสต่อไปว่า "ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระบิดาประทานให้เขามา"
       หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป

เปโตรประกาศความเชื่อ



       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า "ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ"
       ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า
       "พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร  พวกเราเชื่อ และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"  
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "เราได้เลือกท่านทั้งสิบสองคนมิใช่หรือ แต่คนหนึ่งเป็นปีศาจ" 
       พระองค์ทรงหมายถึงยูดาส บุตรของซีโมน อิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน แต่เขาจะทรยศต่อพระองค์   ยน 6: 60-71

ผู้กลับใจ