19 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 13 ทรงเรียกสาวกสิบสองคน และส่งพวกเขาไป


bluesilvanimcross.gif


13
ทรงเรียกสาวกสิบสองคน
และส่งพวกเขาไป

       นบรรดาศิษย์จำนวนมาก พระเยซูเจ้าทรงเลือกศิษย์สิบสองคนและประทานนามว่า “สาวก”เพื่อให้พวกเขาสานต่อพันธกิจที่พระองค์ทรงทำ ในภาษากรีก คำว่า “apostolos” มีความหมายว่า“ผู้ถูกส่ง”
       ในสมัยพระเยซูเจ้า มีสาวกอยู่แล้ว ทั้งในสถาบันบ้านเมืองทั้งในสถาบันศาสนา พวกเขาคือ “ผู้ถูกส่ง”  ผู้นำข่าว คำสั่ง หรือมติ  บรรดาประกาศกก็เป็น “ผู้ถูกส่ง” ของพระเจ้า
       ทว่า “สาวก” ในลัทธิยูดาและผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งนั้นมีความแตกต่างกัน สาวกในลัทธิยูดาคือ “พนักงาน” ที่มีหน้าที่ทำงานตามหน้าที่และส่งข่าวโดยไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ยกเว้นบรรดาประกาศก ในขณะที่สาวกที่พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งคือกลุ่มที่มีบทบาทจำเพาะ มีพระพรพิเศษและอำนาจเพื่อความดีของมนุษยชาติ
       สาวกต้องนำพระวรสารที่นำความรอดไปให้แก่ประชาชนด้วยความกล้าหาญ ไม่กลัวเกรง อีกทั้งรักษา ปลดปล่อย สอน เห็นชอบ ส่งเสริมด้านมนุษย์และด้านศาสนา นำความมั่นใจ มิตรภาพ ความยินดี สันติและชีวิต
       หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง  พวกเขามีหน้าที่นำ “พระอาณาจักรแห่งพระเจ้า” ที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มที่คาลิลี ไปให้ประชาชน พวกเขาต้องเป็น “คนงาน” ในทุ่งนาของพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรเพื่อทรงพบเขาว่า “พวกท่านจะเป็นชาวประมงจับมนุษย์” คำที่พระเยซูเจ้าทรงใช้ในโอกาสนั้นมีความหมายว่า “เป็นชาวประมงเพื่อช่วยมนุษย์ให้มีชีวิต” 
       เลขสิบสองสำคัญและมีความหมายอย่างไร?
       ในประวัติศาสตร์ของชาวยิว ลูกของยากอบสิบสองคนเป็นหัวหน้าของชนสิบสองเผ่าของอิสราเอล สิบสองเผ่าที่เป็นตัวแทนมนุษยชาติที่พระเจ้าทรงรัก
       อันที่จริง พวกสาวกยังไม่ได้รับเจิม พวกเขาจะได้รับเจิมในวันที่พระจิตเสด็จลงมา ขณะนี้พวกเขาได้รับการอบรมจากพระเยซูเจ้าโดยตรงและทรงส่งพวกเขาไปฝึกงานท่ามกลางประชาชนเพื่อประเมินความสามารถ ทดสอบแรงบันดาลใจแห่งกระแสเรียก ฝึกรับใช้ และเปรียบเทียบตนเองกับพระอาจารย์ ผู้ทรงเป็นตัวอย่างทรงชีวิตของสาวก
       พระเยซูเจ้า ในฐานะผู้นำ ไม่พอพระทัยแค่บอกกฎเกณฑ์ แล้วส่งพวกเขาไป แต่พระองค์ทรงไปกับพวกเขา ทรงสอนและทรงทำเพื่อเป็นแบบอย่าง
       ผู้ประกาศพระวรสารแรกสามคนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์นี้ ซึ่งสรุปด้วยคำสอนเกี่ยวกับงานอภิบาล พร้อมกับการจบชีวิตของนักบุญยอห์น ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเตรียมทางให้พระมหาไถ่ •

ความทุกข์ของประชาชน 
    
                                                    


       พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
       เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง  แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า "ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด"
(มธ 9: 35-38)
 
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน 
       พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
       อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับ อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟิลิปและบาร์โธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัส และธัดเดอัส  ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศพระองค์         พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย"
       อย่าหาเหรียญทอง  เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้  เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว  อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
“เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป  เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น  ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน" “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสียด้วย  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา  เมืองโสดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น"
       "จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ" (มธ 10: 1-16 )


ธรรมทูตจะถูกเบียดเบียน
        "จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตก กังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน
       พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย  คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น  เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล  บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จกลับมาแล้ว"
       "ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย  ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า 'เบเอลเซบูล' เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด"

ธรรมทูตต้องไม่เกรงกลัวที่จะพูด

       "อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้  สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน" "อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก  นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ  ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว  31เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก"

       "ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์  33และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย"

พระเยซูเจ้าทรงเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง

       "อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำสันติภาพ แต่มาเพื่อนำดาบมาให้  35เรามาเพื่อแยกบุตรชายจากบิดาแยกบุตรหญิงจากมารดาแยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี36ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง?

การสละตนเองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า

       "ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา"
"ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก?

สรุปคำสั่งสอน

       "ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา"
       "ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเราเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม"
       "ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดา ๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน" (มธ 10: 17-42)

ธรรมล้ำลึกแห่งอาณาจักรสวรรค์  
      เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่าง ๆ ในแคว้นกาลิลี (มธ11: 1)



กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า 
       กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เพราะพระนามของพระเยซูเจ้าเลื่องลือไป บางคนพูดว่า "ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้"  บางคนพูดว่า "เขาคือเอลียาห์" บางคนก็พูดว่า "เขาเป็นประกาศกคนหนึ่งเหมือนกับประกาศกคนอื่น"
       แต่เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเช่นนี้ ก็ตรัสว่า "ยอห์นคนที่เราให้ตัดศีรษะ ได้กลับคืนชีพมาอีก" (มก 6: 14-16)




ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศีรษะ
       กษัตริย์เฮโรดองค์นี้ทรงสั่งให้จับกุมยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี  ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า "ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี" นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้  เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำพูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรงยินดีที่จะฟัง
       นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำคัญในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์  บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์เฮโรด และเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญ
        กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า "ท่านอยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้"
และยังทรงสาบานอีกว่า "ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเราก็ตาม"
       หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า "ลูกจะขออะไรดี"
       มารดาตอบว่า "จงขอศีรษะของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง"
       หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า "หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้"
       กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว  จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที  เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำมาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา   เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำไปฝังไว้ในคูหา (มก6: 17-29)









ผู้กลับใจ