7
พระเยซูเจ้าเสด็จไปกาลิลี
แคว้นกาลิลีตั้งอยู่ทางเหนือของปาเลสไตน์ เนื้อที่ไม่กว้าง แต่มีความหลากหลาย งดงามและอุดมสมบูรณ์ ที่นี่ พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและกระทำกิจการหลายอย่าง
บรรดาประกาศกเรียกพื้นที่นี้ว่ากาลิลีเพราะ “เป็นหัวเมืองของประชาชน” ที่นี่มีคนกลุ่มน้อยและชนเผ่าต่างภาษามาอาศัยอยู่ พร้อมกับวัฒนธรรมและศาสนาต่างๆกัน
ในสมัยของพระเยซูเจ้า มีทหารโรมันดูแลอยู่และมีกษัตริย์เฮรอด อันตีปา ปกครอง พระองค์เอาใจชาวโรมันด้วยการสร้างเมืองทีเบเรียสบนฝั่งทะเลสาบเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิทีเบเรียสแห่งอาณาจักรโรม
ในพื้นที่ของกาลิลีนี่เอง แม่น้ำจอร์แดนไหลมารวมเป็นทะเลสาบ สมัยก่อนเรียกว่า“เยเนซาเร็ธ” และภายหลังมีชื่ว่า “ทีเบเรียส” ทะเลสาบนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 208 เมตร และมีความลึกสุด 45 เมตร กว้าง 12 กิโลเมตรและยาว 21 กิโลเมตร ที่เรียกเป็น “ทะเล”เพราะในภาษาอีบรู มีคำเดียวที่ใช้เรียกทุกแห่งมีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบหรือทะเล
ทะเลสาบนี้มีปลาชุมมากและมีความหลากหลายของภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศ บางครั้งเกิดพายุและอันตรายไม่แพ้ทะเล สำหรับพระเยซูเจ้า ทะเลสาบนี้เป็นสัญลักษณ์สากลแห่งสภาพมนุษย์ในทุกสมัย
ที่นี่ ประกาศกอิสยาห์เคยมีชีวิตอยู่และบรรยายไว้ว่า “แผ่นดินแห่งซาบูลอนและแผ่นดินแห่งเนฟตาลี บนเส้นทางจากทะเลสู่จอร์แดน มีประชาชนต่างชาติอาศัยอยู่ พวกเขาถูกรังแกและหิวโหย เป็นประชาชนที่ดำเนินชีวิตในความมืดและในพื้นที่แห่งความตาย” (อสย 8-9)
พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางประชาชนเหล่านี้ในช่วงที่ทรงเยาว์อยู่
บัดนี้ พระองค์เสด็จมาที่เมืองคาร์เปอร์นาอุมเพื่อทำภารกิจที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าอย่างเต็มเวลา นั่นคือ การประกาศข่าวดีของพระเจ้าเพื่อเชื้อเชิญให้ทุกคนกลับมาเป็นของพระเจ้าและไม่ใช่ของซาตานอีกต่อไป •
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี
หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า
"เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด?" (มก 1: 14-15)
หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า
"เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด?" (มก 1: 14-15)
พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรก
วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า
"จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด"
ซีโมนทูลตอบว่า
"พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน"
เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด
เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบจม
เมื่อซีโมนเปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า
"โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป"
เพราะเขาและคนอื่นๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า
"อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์"
เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ (ลก 5: 1-11)
วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า
"จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด"
ซีโมนทูลตอบว่า
"พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน"
เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด
เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบจม
เมื่อซีโมนเปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า
"โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป"
เพราะเขาและคนอื่นๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า
"อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์"
เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ (ลก 5: 1-11)
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์
ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า
"ท่านมายุ่งกับเราทำไมเยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมา ทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"
พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า
"จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้"
เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา
ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า
"นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง"
แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที (มก 1: 21-28)
พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน
ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระองค์เสด็จ เข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและยอห์น
มารดาของภรรยาซีโมนกำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที
พระองค์เสด็จเข้าไปจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ นางจึงรับใช้ทุกคน (มก 1: 29-31)
เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีผู้นำคนป่วยและคนถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทั้งเมืองมารวมกันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่าง ๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์
พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุมและทรงพระดำเนินทั่วแคว้นกาลิลี
วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า
"ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์"
พระองค์ตรัสตอบว่า
"เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำบลใกลเคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้"
พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย (มก 1: 35-39)
วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า
"ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์"
พระองค์ตรัสตอบว่า
"เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำบลใกลเคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้"
พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย (มก 1: 35-39)
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อน
ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า
"ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้"
พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า
"เราพอใจ จงหายเถิด"
ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ
พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า
"ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว"
แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ (มก 1: 40-45)
ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า
"ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้"
พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า
"เราพอใจ จงหายเถิด"
ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ
พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า
"ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว"
แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ (มก 1: 40-45)
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต
ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น
ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า
"ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว"
ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า "ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เล่า เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น"
ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า
"ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า 'บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว' หรือบอกว่า 'ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด' แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้"พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า
"เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด"
เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า
"พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย" (มก2: 1-12)
พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี
พระองค์เสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า
"จงตามเรามาเถิด"
เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า "ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า"
พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า
"คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป" (มก 2: 13-17)
พระองค์เสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า
"จงตามเรามาเถิด"
เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า "ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า"
พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า
"คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป" (มก 2: 13-17)
การโต้เถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร
บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
"ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย"
พระองค์ตรัสตอบว่า
"ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร
ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า ทั้งถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่" ( มาระโก 2: 18-22)
บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาวฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า
"ทำไมศิษย์ของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า"
พระองค์ตรัสตอบว่า
"ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดขณะที่มีความยากลำบากและหิวโหย พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมื่ออาบียาธาร์ เป็นมหาสมณะ ได้เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย"
แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า
"วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย" (มก 2: 23-28)
พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคนคอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์
พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า
"ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ"
แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า
"ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป"
คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่
พระองค์จึงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจหยาบกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า
"จงเหยียดมือซิ"
เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ
ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดทันทีพื่อปรึกษาว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร (มาระโก 3: 1-6)
ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามพระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงทำก็มาเฝ้าพระองค์
พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำหนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์
เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์
เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" แต่พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิ ให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร ( มก 3: 7-12, 20-21)
พระญาติของพระเยซูเจ้าเป็นห่วงพระองค์
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวยและบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่า ทรงเสียพระสติ