15 พฤษภาคม 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 7. พระเยซูเจ้าเสด็จไปกาลิลี

3453.gif

7
พระเยซูเจ้าเสด็จไปกาลิลี
       แคว้นกาลิลีตั้งอยู่ทางเหนือของปาเลสไตน์ เนื้อที่ไม่กว้าง แต่มีความหลากหลาย งดงามและอุดมสมบูรณ์ ที่นี่ พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและกระทำกิจการหลายอย่าง
       บรรดาประกาศกเรียกพื้นที่นี้ว่ากาลิลีเพราะ “เป็นหัวเมืองของประชาชน” ที่นี่มีคนกลุ่มน้อยและชนเผ่าต่างภาษามาอาศัยอยู่ พร้อมกับวัฒนธรรมและศาสนาต่างๆกัน
       ในสมัยของพระเยซูเจ้า มีทหารโรมันดูแลอยู่และมีกษัตริย์เฮรอด อันตีปา ปกครอง พระองค์เอาใจชาวโรมันด้วยการสร้างเมืองทีเบเรียสบนฝั่งทะเลสาบเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิทีเบเรียสแห่งอาณาจักรโรม
       ในพื้นที่ของกาลิลีนี่เอง แม่น้ำจอร์แดนไหลมารวมเป็นทะเลสาบ สมัยก่อนเรียกว่า“เยเนซาเร็ธ” และภายหลังมีชื่ว่า  “ทีเบเรียส” ทะเลสาบนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 208 เมตร และมีความลึกสุด 45 เมตร กว้าง 12 กิโลเมตรและยาว 21 กิโลเมตร  ที่เรียกเป็น “ทะเล”เพราะในภาษาอีบรู มีคำเดียวที่ใช้เรียกทุกแห่งมีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบหรือทะเล
       ทะเลสาบนี้มีปลาชุมมากและมีความหลากหลายของภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศ บางครั้งเกิดพายุและอันตรายไม่แพ้ทะเล  สำหรับพระเยซูเจ้า ทะเลสาบนี้เป็นสัญลักษณ์สากลแห่งสภาพมนุษย์ในทุกสมัย
       ที่นี่ ประกาศกอิสยาห์เคยมีชีวิตอยู่และบรรยายไว้ว่า “แผ่นดินแห่งซาบูลอนและแผ่นดินแห่งเนฟตาลี บนเส้นทางจากทะเลสู่จอร์แดน มีประชาชนต่างชาติอาศัยอยู่ พวกเขาถูกรังแกและหิวโหย เป็นประชาชนที่ดำเนินชีวิตในความมืดและในพื้นที่แห่งความตาย” (อสย 8-9)
       พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางประชาชนเหล่านี้ในช่วงที่ทรงเยาว์อยู่
       บัดนี้ พระองค์เสด็จมาที่เมืองคาร์เปอร์นาอุมเพื่อทำภารกิจที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าอย่างเต็มเวลา นั่นคือ การประกาศข่าวดีของพระเจ้าเพื่อเชื้อเชิญให้ทุกคนกลับมาเป็นของพระเจ้าและไม่ใช่ของซาตานอีกต่อไป •


พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี 

       หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า
       "เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด?"
 (มก 1: 14-15)





พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรก 

       วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
       เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า
       "จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด" 
       ซีโมนทูลตอบว่า
       "พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน"   
       เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด  
       เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบจม
       เมื่อซีโมนเปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า
       "โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป"
       เพราะเขาและคนอื่นๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า
       "อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์"
       เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ (ลก 5: 1-11)



        พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์
        ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า
        "ท่านมายุ่งกับเราทำไมเยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมา ทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร  ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"  
        พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า
        "จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้" 
        เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา
        ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า
        "นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง"
        แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที (มก 1: 21-28)



พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน 
       ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระองค์เสด็จ เข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและยอห์น        
       มารดาของภรรยาซีโมนกำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที
         พระองค์เสด็จเข้าไปจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ นางจึงรับใช้ทุกคน (มก 1: 29-31)



พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก

       เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีผู้นำคนป่วยและคนถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์  คนทั้งเมืองมารวมกันที่ประตู  พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่าง ๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์
( มก 1: 32-34)



พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุมและทรงพระดำเนินทั่วแคว้นกาลิลี
       วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น  ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์  เมื่อพบแล้ว  จึงทูลพระองค์ว่า
        "ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์"   
        พระองค์ตรัสตอบว่า
        "เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำบลใกลเคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้" 
        พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย (มก 1: 35-39)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อน

        ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า
        "ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้"
        พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า
        "เราพอใจ จงหายเถิด" 
        ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ
        พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า  
        "ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว"
        แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว  แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ 
(มก 1: 40-45)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต 

       ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น  
       ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์  แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น
       เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า
       "ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว"
       ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า  "ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เล่า เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น"  
       ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า
       "ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม  อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า 'บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว'  หรือบอกว่า 'ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด'  แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้"พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า  
        "เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด"   
        เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า
        "พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย"
 (มก2: 1-12)
 
พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี 

       พระองค์เสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา  ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี  บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า
        "จงตามเรามาเถิด" 
        เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป


       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา  บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า        "ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า"
       พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า
       "คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป" (มก 2: 13-17)






การโต้เถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร


       บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       "ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย" 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร
       ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม  ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า  เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า ทั้งถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่"
 มาระโก 2: 18-22)



บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
 

       วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาวฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า
       "ทำไมศิษย์ของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า"
        พระองค์ตรัสตอบว่า
       "ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า  กษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดขณะที่มีความยากลำบากและหิวโหย  พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมื่ออาบียาธาร์ เป็นมหาสมณะ ได้เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย"
       แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า
       "วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต    ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย"
 (มก 2: 23-28)


พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

        พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง  ประชาชนบางคนคอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์  
        พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า
        "ลุกขึ้น  มายืนตรงกลางนี่ซิ" 
        แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า
        "ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป" 
        คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่
        พระองค์จึงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจหยาบกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า
        "จงเหยียดมือซิ" 
         เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ
        ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดทันทีพื่อปรึกษาว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร (มาระโก 3: 1-6)



ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
 

       พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามพระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย  จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา  จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงทำก็มาเฝ้าพระองค์
        พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำหนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์
        เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์
        เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" แต่พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิ ให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร 
( มก 3: 7-12, 20-21)

พระญาติของพระเยซูเจ้าเป็นห่วงพระองค์


       พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวยและบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่า ทรงเสียพระสติ






ผู้กลับใจ