30
ทรงถูกตรึงพร้อมกับอีกสองคน
ทรงถูกตรึงพร้อมกับอีกสองคน
ปิลาตส่งพระเยซูเจ้าให้ทหารเพื่อนำไปประหารชีวิต
เนื่องจากไม่ได้เป็นพลเมืองโรมัน พระเยซูเจ้าไม่สามารถอุทธรณ์หรือขอให้ส่งคดีไปยัง
จักรพรรดิโรมันได้ นอกนั้นก็ไม่มีโอกาสพักรอความตายอยู่ในคุกได้อีกวันหนึ่งได้ แต่ทรงถูกพาตัวไปยังหลักประหารทันที เพราะฉลองปัสกาใกล้เข้ามาและพระองค์ในฐานะแกะถูกฆ่าเพื่อชดเชยบาปของมนุษย์ควรถูกบูชาอย่างสง่าในวันสมโภช
บรรดาสมณะเรียกร้องให้ลงโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิตโดยทหารโรมัน ไม่ใช่ด้วยการทุ่มหินแบบชาวยิว แต่ด้วยการตรึงกางเขนแบบชาวโรมัน
การตรึงกางเขนเป็นการลงโทษที่ใช้ในระหว่างชาวโรมัน เป็นการลงโทษที่โหดร้าย น่ากลัวและน่าอับอาย ซึ่งมักจะใช้เพื่อลงโทษทาสหรืออาชญากรอันตรายและสิ้นหวังจะเยียวยาได้
นักโทษประหารต้องแบกไม้กางเขนท่อนขวางที่หนักและยังสดอยู่ เพราะไม้ท่อนตั้งมีการปักไว้ในที่ประหารอยู่แล้ว บนเนินเขาที่อยู่นอกกำแพงกรุงเยรูซาเล็มซึ่งมีชื่อว่าโกลกาทาหรือกัลวารีโอ
เส้นทางที่พระเยซูเจ้าและนักโทษเดินสู่แดนประหารเริ่มจากป้อมอันโตนิโอ ซึ่งเป็นที่ตั้งศาล แล้วผ่านไปตามถนนที่อยู่ของชาวเมือง
ขณะเดินมาตามเส้นทาง มีชาวนาคนหนึ่งช่วยพระเยซูเจ้าแบกกางเขนต่อ มีสตรีชาวเยรูซาเล็มที่ร่ำไห้และพูดบรรเทาใจพระองค์ พร้อมกับติดตามพระองค์ไปถึงที่ประหาร
เมื่อถึงที่ประหาร มีการนำน้ำองุ่นผสมมดยอบให้พระองค์ทรงดื่มเพื่อลดความเจ็บปวดให้น้อยลง แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธ พระองค์ทรงถูกเปลื้องพระภูษาและทรงถูกจับนอนบนพื้น พร้อมยืดแขนออกเพื่อตอกตาปู แล้วไม้ท่อนขวางถูกยกขึ้นและตอกยึดติดกับไม้ท่อนตั้ง จากนั้นก็มีการตอกตาปูยึดพระบาท
ด้านบนไม้กางเขน เหนือพระเศียร มีการแขนป้ายระบุโทษประหาร “เยซูนาซาแรธ กษัตริย์ของชาวยิว” บรรดาสมณะพากันประท้วงป้ายดังกล่าว แต่ปิลาตไม่สนใจ
พร้อมกับพระเยซูเจ้า ทหารตรึงกางเขนนักโทษอีกสองคน
ความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าทวีขึ้นจากแผลที่ถูกตาปูตอกทั้งห้า ตามด้วยการสบประมาท หัวเราะเยาะ ความเกลียดชังและคำพูดถากถาง
พระเยซูเจ้าทรงตกเป็นเหยื่อไร้มลทิน พระองค์ไม่ทรงตอบโต้อย่างไร
พระองค์ไม่ตอบโต้การดูหมิ่นสบประมาท แต่ทรงรับบาปของมนุษย์ไว้ในพระองค์ เพื่อความรักต่อเราและความรอดของเรา
พระองค์ไม่ตอบโต้การดูหมิ่นสบประมาท แต่ทรงรับบาปของมนุษย์ไว้ในพระองค์ เพื่อความรักต่อเราและความรอดของเรา
มีการบันทึกพระวาจาเจ็ดประโยคของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน
“ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงอภัยโทษพวกเขา...วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์...ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งลูก...นี่คือลูกของแม่...เรากระหาย...ทุกอย่างจบครบบริบูรณ์...ลูกขอมอบจิตวิญญาณลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์...”
แล้วทรงก้มพระเศียร สิ้นพระชนม์
“ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงอภัยโทษพวกเขา...วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์...ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งลูก...นี่คือลูกของแม่...เรากระหาย...ทุกอย่างจบครบบริบูรณ์...ลูกขอมอบจิตวิญญาณลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์...”
แล้วทรงก้มพระเศียร สิ้นพระชนม์
เมื่อเห็นว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว จึงแทงหัวใจพระองค์ด้วยหอก มีพระโลหิตและน้ำไหลย้อนออกมา น้ำและเลือดเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ชีวิตแห่งความรัก” และ “พระจิตเจ้า” ที่หลั่งเพื่อความรอดของโลก
นายทหารที่อยู่ที่นั่นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วอุทาน “คนนี้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นบุตรพระเจ้า”
ทุกอย่างจบลงด้วยการนำพระศพพระเยซูเจ้าลงจากกางเขนและนำไปฝังไว้ในคูหาใหม่
บรรดาสมณะและฟาริสี ต่างจำได้ดีว่าพระเยซูเจ้าตรัสล่วงหน้าว่าพระองค์จะกลับเป็นขึ้นมา จึงประทับตราไว้บนแผ่นหินปิดคูหาและจัดทหารให้เฝ้ายามตลอดเวลา •
ทางไปสู่ที่ประหาร
ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำลังกลับจากชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า
ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้งสตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งข้อนอกคร่ำครวญถึงพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า ‘ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูก ๆ เถิด เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อประชาชนจะพูดว่า “หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำเนิดบุตร และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข”
เวลานั้นประชาชนจะพูดกับภูเขาว่า
“จงถล่มลงมาทับเราเถิด” และพูดกับเนินเขาว่า “จงกลบเราไว้เถิด”
เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับไม้แห้งเล่า’
บรรดาทหารนำผู้ร้ายสองคนไปประหารพร้อมกับพระองค์ด้วย ลก 23:26-32
ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้งสตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งข้อนอกคร่ำครวญถึงพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า ‘ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูก ๆ เถิด เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อประชาชนจะพูดว่า “หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำเนิดบุตร และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข”
เวลานั้นประชาชนจะพูดกับภูเขาว่า
“จงถล่มลงมาทับเราเถิด” และพูดกับเนินเขาว่า “จงกลบเราไว้เถิด”
เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับไม้แห้งเล่า’
บรรดาทหารนำผู้ร้ายสองคนไปประหารพร้อมกับพระองค์ด้วย ลก 23:26-32
พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
ทหารนำน้ำองุ่นเปรี้ยวผสมมดยอบให้พระองค์ดื่ม แต่พระองค์ไม่ทรงดื่ม เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน แล้วแบ่งฉลองพระองค์กันโดยจับสลากว่าใครจะได้สิ่งใด เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน มก15:23-24, ลก15:23-24
พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน มก15:23-24, ลก15:23-24
ปีลาตเขียนป้ายประกาศติดไว้บนไม้กางเขน เป็นข้อความว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”
ชาวยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายประกาศนี้เพราะสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายประกาศนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก
บรรดาหัวหน้าสมณะของชาวยิวกล่าวกับปีลาตว่า
‘อย่าเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่จงเขียนว่าคนนี้ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’
ปีลาตตอบว่า
“เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”
ชาวยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายประกาศนี้เพราะสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายประกาศนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก
บรรดาหัวหน้าสมณะของชาวยิวกล่าวกับปีลาตว่า
‘อย่าเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่จงเขียนว่าคนนี้ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’
ปีลาตตอบว่า
“เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”
ทหารแบ่งฉลองพระองค์
เมื่อบรรดาทหารตรึงพระเยซูเจ้าแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน นำไปคนละส่วน ส่วนเสื้อยาวของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอดตั้งแต่คอจนถึงชายเสื้อ 24เขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าแบ่งเสื้อตัวนี้เลย เราจับสลากกันเถิด ดูว่าใครจะได้” ดังนี้ ก็เป็นจริงตามพระคัมภีร์ ที่ว่า
พวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกัน
และจับสลากเสื้อยาวของข้าพเจ้า
บรรดาทหารก็ทำเช่นนี้ ยน19,19-24
พวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกัน
และจับสลากเสื้อยาวของข้าพเจ้า
บรรดาทหารก็ทำเช่นนี้ ยน19,19-24
พระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนทรงถูกเยาะเย้ย
ประชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้นำเยาะเย้ยพระองค์ว่า ‘เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ ก็ให้เขาช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร’ แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขานำเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย พลางกล่าวว่า ‘ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้นซิ’ ลก23:35-37
ผู้ร้ายกลับใจ
ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า
‘แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ’
แต่อีกคนหนึ่งดุเขากล่าวว่า
‘แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกัน สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย’
แล้วเขาทูลว่า
‘ข้าแต่พระเยซู โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์’
พระองค์ตรัสตอบเขาว่า
‘เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์’ ลก23,39-43
‘แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ’
แต่อีกคนหนึ่งดุเขากล่าวว่า
‘แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกัน สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย’
แล้วเขาทูลว่า
‘ข้าแต่พระเยซู โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์’
พระองค์ตรัสตอบเขาว่า
‘เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์’ ลก23,39-43
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์
เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา ซาบั๊กทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า”
ผู้ที่ยืนอยู่ที่นั่นบางคนได้ยินจึงพูดว่า “ฟังซิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
ชายคนหนึ่งวิ่งไปนำฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย กล่าวว่า “เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” มก15,33-36
เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา ซาบั๊กทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า”
ผู้ที่ยืนอยู่ที่นั่นบางคนได้ยินจึงพูดว่า “ฟังซิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
ชายคนหนึ่งวิ่งไปนำฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย กล่าวว่า “เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” มก15,33-36
พระเยซูเจ้ากับพระมารดา
พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรง ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน ยน19,25-27
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน ยน19,25-27
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็นจริงด้วย
ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำองุ่นเปรี้ยวเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์ ยน19,28-30
ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำองุ่นเปรี้ยวเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์ ยน19,28-30
พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์ ลก 23,46
ทันใดนั้น ม่านในพระวิหาร ก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง แผ่นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินแตก คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงลับไปแล้วกลับคืนชีพ และออกมาจากหลุมศพหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปในนครศักดิ์สิทธิ์แล้วแสดงตนแก่ผู้คนจำนวนมาก
นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”
ที่นั่น สตรีหลายคนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ สตรีเหล่านี้ติดตามพระเยซูเจ้ามาจากแคว้นกาลิลี เพื่อรับใช้พระองค์ ในจำนวนนี้มีมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟและมารดาของบุตรเศเบดี มท 27,51-56
นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”
ที่นั่น สตรีหลายคนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ สตรีเหล่านี้ติดตามพระเยซูเจ้ามาจากแคว้นกาลิลี เพื่อรับใช้พระองค์ ในจำนวนนี้มีมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟและมารดาของบุตรเศเบดี มท 27,51-56
ประชาชนที่มาชุมนุมกันดูเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ข้อนอก พากันกลับไป ลก23,48
ทหารแทงด้านข้างพระวรกายของพระเยซูเจ้า
วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึง และนำศพไป บรรดาทหารทุบขาคนทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าก็เห็น ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกายของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกมา ทันที
ผู้ที่ได้เห็น ก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขา รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า
กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง ยน19,31-37
ผู้ที่ได้เห็น ก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขา รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า
กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง ยน19,31-37
การฝังพระศพ
หลังจากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นศิษย์ลับ ๆ คนหนึ่งของพระเยซูเจ้าเพราะกลัวชาวยิว ขออนุญาตปีลาตอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าลง ปีลาตก็อนุญาต เขา จึงมาอัญเชิญพระศพลง นิโคเดมัสซึ่งก่อนนั้นเคยมาเฝ้าพระองค์เวลากลางคืนก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมที่ผสมด้วยมดยอบและว่านหางจระเข้ หนักประมาณหนึ่งร้อยปอนด์ ทั้งสองคนอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้า ใช้ผ้าพันพระศพพร้อมกับใส่เครื่องหอมตามประเพณีฝังศพของชาวยิว
สถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองของชาวยิว และคูหาอยู่ใกล้ ยน19,38-42
สถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองของชาวยิว และคูหาอยู่ใกล้ ยน19,38-42
ทหารยามเฝ้าพระคูหา
วันรุ่งขึ้น เป็นวันสับบาโต บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีไปพบปีลาตพร้อมกัน กล่าวว่า
“ท่านขอรับ เราจำได้ว่าคนลวงโลกผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยพูดว่า “ฉันจะกลับคืนชีพหลังจากสามวัน” ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สาม เพื่อมิให้บรรดาศิษย์ของเขาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า “เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว” การหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน”
ปีลาตจึงบอกเขาว่า
“ท่านจงจัดทหารยาม ไปเฝ้าตามใจชอบเถิด”
บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวดโดยประทับตราที่หินปิดทางเข้าและวางยามไว้ มธ27,62-66
“ท่านขอรับ เราจำได้ว่าคนลวงโลกผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยพูดว่า “ฉันจะกลับคืนชีพหลังจากสามวัน” ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สาม เพื่อมิให้บรรดาศิษย์ของเขาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า “เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว” การหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน”
ปีลาตจึงบอกเขาว่า
“ท่านจงจัดทหารยาม ไปเฝ้าตามใจชอบเถิด”
บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวดโดยประทับตราที่หินปิดทางเข้าและวางยามไว้ มธ27,62-66