06 มิถุนายน 2555

เล่าเรื่องพระเยซู ~ 18. จงรักเพื่อนพี่น้อง

Myspace Falling Objects @ JellyMuffin.com

bluesilvanimcross.gif


18
จงรักเพื่อนพี่น้อง
   
       เมื่ออ่านชีวิตของพระเยซูเจ้าและคำสอนของพระองค์ เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเติมเต็มชีวิตมนุษย์ด้วยคำสอนแห่งความสัมพันธ์ที่มนุษย์พึงมีต่อกัน

       ใครที่อยู่ใกล้พระเยซูเจ้า พระองค์จะทรงเสนอให้สร้างหมู่คณะ-พระศาสนจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพระอาณาจักรสวรรค์ โดยต้องมีลักษณะแห่งพฤติกรรมอันขาดไม่ได้ ซึ่งมัทธิวได้เรียบเรียบเข้าด้วยกันและถือว่าเป็นกฎสำหรับชีวิตหมู่คณะ นั่นคือ
  • สุภาพและทำตัวเล็กน้อย ดังเช่นเด็กๆ เพื่อจะเข้าถึงทุกคน
  • น้อมรับการประทับอยู่ของพระเจ้าในสังคมด้วยความรักแบบเด็กๆ
  • ตามหาบุคคลที่ต้องออกจากกลุ่มและอยู่ห่างไกลสุดความสามารถ
  • ตักเตือนแก้ไขพี่น้องที่ทำผิดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาใหม่
  • ให้อภัยเสมอและด้วยเต็มใจเพื่อจะได้รับการอภัยจากพระบิดาเจ้า
  • สวดด้วยกันเพื่อจะมีพระเยซูเจ้าเป็นเพื่อนร่วมทางและเป็นผู้เสนอวิงวอนพระบิดาเจ้า
       กฎเกณฑ์เหล่านี้ ที่พระเยซูเจ้าทรงย้ำบ่อยครั้ง รวมกันอยู่ในคำว่า “รัก” นั่นเอง
       “จงรักกันและกันดังที่เรารักท่าน” คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งศิษย์ของพระองค์ในหลากหลายรูปแบบ และเมื่อทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนไปล่วงหน้าพระองค์ พระองค์ทรงสั่งให้พวกเขามีท่าทีสุภาพอ่อนโยนและเต็มด้วยความรัก ให้การอบรม สร้างประสบการณ์ธรรมทูตและเปิดเส้นทางไว้รอท่าพระองค์
       บนเส้นทางที่นำสู่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าทรงตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะมอบชีวิตของพระองค์ให้แก่ทุกคน เป็นเส้นทางที่ทรงใช้ในการเล่าเรื่องชาวซามารีตันผู้ใจดี ซึ่งถูกถือว่าเป็นคนต่างชาติ แต่ก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ถูกโจรปล้นและทำร้าย ในขณะที่ไม่มีชาวยิวสักคนเดียวที่หยุดเพื่อให้การช่วยเหลือ
       พระเยซูเจ้าทรงถือว่าความรักคือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีเชื้อชาติ แต่เป็นสิ่งสากลสำหรับทุกคน
       ความรักจึงเป็นลักษณะเด่นของผู้ที่เป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง •

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด 

       ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า "ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์"  
       พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา  แล้วตรัสว่า
      "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์

การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป


      "ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็ก ๆ เช่นนี้ ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา
  มัทธิว18: 1-5 

       "ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดา ๆ ที่มีความเชื่อในเราทำบาป ถ้าเขาจะถูกแขวนคอด้วยหินโม่ถ่วงลงใต้ทะเล ก็ยังดีกว่าสำหรับเขา  
      "น่าเสียดายที่โลกนี้ยังมีผู้ที่เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาป ผู้เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาปต้องมีอย่างแน่นอน แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้นั้นเถิด
       "ถ้ามือหรือเท้าของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านเข้าสู่ชีวิต โดยมีมือหรือเท้าข้างเดียวยังดีกว่ามีมือหรือเท่าทั้งสองข้าง แต่ถูกทิ้งลงในไฟนิรันดร
       "ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้าง แต่ต้องถูกทิ้งลงในไฟนรก มัทธิว18: 6-9

       "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดา ๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์ พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์

แกะที่พลัดหลง

       "ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทางเขาจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ13"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง
       "พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดา ๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป  มัทธิว18: 10-14


การตักเตือนกันฉันพี่น้อง
 


       "ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา มัทธิว18: 15-17 

       "ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย 
       "ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน  จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด

       "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในโลก ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย" มัทธิว18,18
การให้อภัยความผิด 

        เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       "พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่" 
       พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
       "เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง"

อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา

       อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท  
       เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้  
       ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า
       "ขอทรงพระกรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด"  
       กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้
       ขณะที่ผู้รับใช้ออกไปก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า
       "เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด"
       เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า
       "กรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้"    
       แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด
       เพื่อนผู้รับใช้อื่น ๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า
       "เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง  เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ"
       กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น
       พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง มธ 18:21-35


การอธิษฐานภาวนาร่วมกัน 

       "เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้  เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา" มธ 18: 19-20

หมู่บ้านชาวสะมาเรียไม่รับเสด็จพระเยซูเจ้า 

       เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไป ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่ พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคน แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์" ลก 9: 51-56


ความยากลำบากในการเป็นอัครสาวก 

       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า
       "ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ"
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
       "สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ"
       พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า
       "จงตามเรามาเถิด"
       แต่เขาทูลว่า

      "ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน"
       พระองค์ตรัสกับเขาว่า
      "จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า"
       อีกคนหนึ่งทูลว่า
       "พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อน"
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า
       "ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลังผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า" ลก 9: 57-62

พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคน 

       ต่อจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์ เป็นคู่ ๆ ไปทุกตำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ  พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด"
       "จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า
       อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง  เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า 'สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด'  ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก  จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น
        เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้  จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า 'พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว'   
        แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า  'แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้ปรักปรำท่าน จงรู้เถิดว่า  พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว' 
        เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา  ชาวเมืองโสดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น
        'วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว  ฉะนั้น เมืองไทระและเมืองไซดอนจะรับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา  ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย
       ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นสบประมาทเรา ผู้ที่สบประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา'" ลูกา10: 1-16


สาเหตุแท้จริงที่ทำให้บรรดาอัครสาวกชื่นชมยินดี 


      ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า
       "พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามของพระองค์" 
       พระองค์ตรัสตอบว่า
       "เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว" ลูกา10: 17-20

ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี : พระบิดาและพระบุตร 

       ในเวลานั้นพระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า        "ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น
       พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้"

สิทธิพิเศษของบรรดาศิษย์
       แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ตรัสกับเขาโดยเฉพาะ "นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านเห็น  เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นแต่ก็ไม่ได้เห็น   ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง" ลก10: 21-24

บัญญัติเอก 

       ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า
       "พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร"
       พระองค์ตรัสถามเขาว่า
       "ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร" 
       เขาทูลตอบว่า
       "ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" 
       พระองค์ตรัสกับเขาว่า
       "ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต"

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี

       ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
       "แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า"
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า
       "ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา  แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต  สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง  ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น  เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน  แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร  จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า "ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา"  
       ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น"  
       เขาทูลตอบว่า
       "คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา"
       พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด" ลก 10: 25-37

มารธาและมารีย์ 

       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน
       นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า        "พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง" 
       แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า
       "มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก  สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้" ลก 10: 38-42


บทภาวนาของพระเยซูเจ้า 
       วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า
       "พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด"
       พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
       "เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า"
      "ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะพระอาณาจักรจงมาถึง
       โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวันโปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
       เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่นโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การประจญ" ลก 11: 1-4


เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ


       พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า "สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า 'เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด  เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน'  สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า 'อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูก ๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก'  เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า "

คำอธิษฐานภาวนาที่ได้ผล


       เราบอกท่านทั้งหลายว่า "จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิดแล้วท่านจะพบจงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน  เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ  คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้
       ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ  แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้า แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ" ลก 11: 5-13


ผู้กลับใจ